ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความลำเอียง ๔ คืออะไร คือ ลำเอียงเพราะรักกัน เพราะชังกัน เพราะเขลา เพราะกลัว

บุคคลใดละเมิดธรรม เพราะความรักกัน เพราะความชังกัน เพราะความกลัว เพราะความเขลา ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อมเหมือนพระจันทร์ข้างแรม

 

จิตราทิ้งความฉงนสนเท่ห์ไว้ให้ภรณีไม่ไม่น้อย และถ้าไม่เป็นเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของจิตรา ความสนเท่ห์ของภรณีจะหนักไปในทางที่สงสัยว่าจิตราไม่พอใจภรณีด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง

บัดนี้ภรณีสงสัยแต่เพียงว่า ข่าวดีที่จิตรากล่าวนั้น จะดีในลักษณะเช่นไรหนอ และความสงสัยนั้น ทั้งที่เป็นความสงสัย ก็ได้ทำให้จิตใจของภรณีแช่มชื่นขึ้น ข่าวดี ?! สิ่งที่จัดว่าดีสำหรับบุคคลหนึ่ง ๆ คือสิ่งที่เขาคอยอยู่ หวังอยู่ อยากได้อยู่แล้ว และได้สมกับที่คอยที่หวังที่อยากได้ ชีวิตของภรณีเป็นชีวิตที่อยู่ในความบีบบังคับทั้งทางกายและทางใจ ในดวงความคิดของภรณีย่อมจะมีการคอยการหวัง การอยากได้หลายอย่างหลายชนิดเป็นครู่ใหญ่ ภรณีเพลินไปในความคาดคะเนถึงลักษณะของข่าวดีที่จิตรากล่าวนั้น

แล้วหล่อนนึกได้ถึงงานที่หล่อนจะต้องทำ คะเนเวลาน่าจะถึง ๑๕ นาฬิกาเศษ แม่ครัวคงจะกลับจากตลาดแล้ว ภรณีจะต้องตรวจดูสิ่งของที่แม่ครัวจ่ายมา แล้วช่วยแม่ครัวประกอบอาหารมื้อหลัง ซึ่งจะต้องสำเร็จเรียบร้อยบริโภคได้เมื่อถึงเวลา ๑๗–๑๘ นาฬิกา

เมื่อภรณีมาถึงครัว พบนางเยื้อนมารดาเลี้ยงอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังตรวจสิ่งของในตะกร้าซึ่งแม่ครัวซื้อมาจากตลาด นางเยื้อนทักภรณีว่า

“แม่เศรษฐีใหญ่ไปแล้วรึ ? คุยอะไรกันนะทีละนาน ๆ เรื่องช่างมากจริง จนลืมการลืมงานหมด จนจะสี่โมงแล้วยังไม่ได้ตั้งหม้อข้าว ไอ้ผ้าก็แห้งเต็มราวไม่มีคนเก็บ”

คำพูดเหล่านั้นมิใช่คำที่จำเป็นจะต้องมีคำตอบ ดังนั้นภรณีจึงไม่ตอบว่ากระไร และการใส่น้ำใส่ข้าวลงในหม้อยกขึ้นตั้งบนเตาก็ดี การเก็บผ้าที่แห้งแล้วก็ดี มิใช่เป็นงานที่ภรณีเคยทำประจำอยู่ทุกวัน แท้จริงกิจทั้งสองอย่างนี้ภรณีทำบ้าง ไม่ทำบ้าง สุดแต่โอกาสอันควร กล่าวคือแล้วแต่ผู้ที่มีหน้าที่ทำกิจสองอย่างนั้นมีงานเหลือมือ จนถึงกับต้องมีผู้ช่วยแบ่งงานไปทำเสียบ้างหรือไม่

แต่เพื่อจะเลี่ยงจากการต้องฟังคำติเตียนโดยปราศจากเหตุผลมากกว่าที่ได้ฟังแล้วด้วย และเพื่อหาเวลาอยู่แต่ลำพังสำหรับระงับความฉุนโกรธที่เกิดขึ้นในใจด้วย ภรณีออกจากครัวไปยังหลังเรือนอันเป็นที่ ๆ มีราวตากผ้าขึงอยู่

วิธีที่ภรณีใช้ระงับความโกรธนั้น เป็นวิธีที่ตื้นและง่าย เพราะเป็นวิธีสามัญชนย่อมจะใช้กันทั่วไป ในเมื่อสิ้นหนทางที่จะใช้วิธีอื่นนอกไปจากนี้ ในทันทีที่ได้ฟังคำพูดกัน ขัดกับความรู้สึกซึ่งทำให้อารมณ์โกรธพลุ่งขึ้น ภรณีก็ใช้ความนิ่งเป็นเครื่องกันความอยากโต้ตอบมิให้ปรากฏออกมาเป็นคำพูดได้ ครั้นนิ่งอยู่นานจนได้สติแล้ว ความอยากที่จะโต้ตอบ ที่จะว่ากล่าวก็สิ้นไป แต่ความโกรธขึ้งในใจของภรณีนั้นเมื่อได้ถูกระงับไว้ มิใช่ว่าจะถึงซึ่งความต้องดับลง ตรงกันข้าม ความโกรธของภรณีที่มีต่อแม่เลี้ยงนั้น เนื่องจากที่ถูกกด และไม่มีการแสดงออกมาเสียเลย ได้แปรรูปเป็นความร้อนสุมอยู่ในจิตใจของภรณีเช่นเดียวกับไฟสุมขอน และกระตุ้นเตือนภรณีอยู่มิได้ขาด เพื่อให้หาวิธีที่จะดับร้อนมีอยู่ในตัวด้วย วิธีทำความร้อนให้เกิดแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

และภรณีมีอายุถึง ๒๓ ปี ทั้งเป็นผู้ที่ได้เคยอยู่ในสำนักให้การเรียน และการอบรมทางใจ แก่สตรีอย่างดียิ่งสำนักหนึ่ง ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบจนย่างเข้า ๑๙ ปี นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ได้อ่านมาก ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่า บรรดาความร้อนที่เกิดขึ้นในดวงจิต ไม่มีความร้อนชนิดใดเป็นภัยร้ายแก่เจ้าของจิต เท่ากับความร้อนที่มีความริษยาเป็นมูลเหตุ ส่วนนางจำนงฯ มารดาเลี้ยงของภรณีก็เป็นผู้มีนิสัยช่างริษยา ภรณีจึงรู้ทางที่จะทำความร้อนให้เกิดแก่แม่เลี้ยงโดยง่ายเป็นอย่างดี แต่ทางนั้น ๆ ถ้าภรณีนำมาใช้ เช่นหมั่นเข้าใกล้ชิดท่านบิดา พูดจาเล่นหัวให้ถูกใจท่าน จนท่านแสดงความรักหล่อนออกนอกหน้าหรือพะเน้าพะนอน้องใหญ่น้องเล็ก จนน้องพอใจที่จะใกล้ชิดเล่นหัวกับหล่อนทั้งลับหลังและต่อหน้ามารดา หรือแต่งตัวสวยงามออกจากบ้านไปกับมิตรผู้มั่งคั่งเช่นจิตรา เหล่านี้ก็ล้วนแต่จะทำให้นางจำนงฯ รุ่มร้อนไปด้วยความริษยา ภรณีจะต้องถูกแสงสะท้อนแห่งความร้อนที่หล่อนก่อให้เกิดแก่แม่เลี้ยงกลับมาเผาจิตใจของหล่อนด้วย กล่าวคือนางจำนงฯ จะบ่นว่าขอดข้อน กล่าวร้ายใส่หูหล่อน เมื่อภรณียังถูกความจำเป็นบังคับให้อยู่ร่วมบ้านกับมารดาเลี้ยง หล่อนก็ไม่มีทางเลี่ยงจากการต้องฟังถ้อยคำเหล่านี้ ภรณีจึงเว้นเสียซึ่งการใช้ทางต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วโดยสิ้นเชิง

แต่ยังมีทางบางทางที่ภรณีไม่เคยหยุดยั้งความปรารถนาที่จะนำมาใช้ คือการออกไปจากบ้านที่อยู่ในปัจจุบันในฐานะของผู้มีรายได้มากพอจนไม่ต้องพึ่งผู้หนึ่งผู้ใดในการครองชีพ เมื่อพ้นไปแล้ว นุ่งสวย ห่มสวย ใช้พาหนะงามมาเยี่ยมบิดา มีสิ่งของดี ๆ มาให้แก่น้อง ทางนี้ เมื่อใดภรณีมีโอกาสได้ใช้ เมื่อนั้นนางจำนงฯ จะต้องได้พบกับความร้อนที่จะตามเผาตนไปชั่วชีวิต

แต่ทางนี้มิใช่ทางที่จะได้มาโดยง่าย ภรณีรู้อยู่เหมือนกัน และรู้ประจักษ์จนเกือบจะสิ้นหวังเสียหลายสิบครั้งแล้ว หากแต่ว่าภรณียังอยู่ในวัยสาว คือวัยที่ต้องมีความหวังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต และวัยนี้เป็นวัยแห่งความยึดมั่น ดื้อดึง ทรหด ทนทาน ถึงแม้จะรู้ว่าหวังแล้วความหวังจะอยู่ห่างความสำเร็จจนคาดคะเนไม่ถึงก็ยังหวัง หรือหวังแล้วมองไม่เห็นทางที่ความหวังจะแปรรูปเป็นความสำเร็จขึ้นได้ก็ยังหวัง ตลอดจนกระทั่งรู้ว่าความหวังจะไม่เป็นอื่นนอกจากความหวัง ก็ยังหวังอยู่นั่นเอง

ในระหว่างที่เก็บผ้าแห้งจากราว แล้วพับรวมไว้ในอ่างใหญ่ เพื่อจะรีดในเวลาหลัง ภรณีนึกถึงคำของจิตราที่กล่าวว่า หล่อน ‘อดทนอย่างประหลาด’ คำว่า ‘อย่างประหลาด’ นั้นแสดงว่าจิตราไม่เห็นด้วยกับภรณีในความอดความทน ที่หล่อนอดให้ทนให้แก่แม่เลี้ยง ทั้งนี้ไม่เป็นข้อที่แปลก เพราะจิตรามิได้รู้ถึงแนวความคิดของภรณีในแง่ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตโดยละเอียด จิตรารู้ว่าภรณีเป็นคนมีอุดมคติอันสูง เป็นผู้เพ่งเล็งไปแต่ในทางความดีงาม จิตราไม่อาจมีความรู้ได้ว่า ในอุดมคติของภรณี มีหลักการเสียสละทางกายทางใจ เพื่อความดีความงามของผู้อื่นเป็นส่วนประกอบอย่างสำคัญอยู่ด้วย

ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าของภรณีมีจดหมายอยู่หลายฉบับ จำนวนหนึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ เป็นจดหมายของครูผู้มีอำนาจอยู่ในโรงเรียนที่ภรณีได้รับการศึกษา เขียนมาถึงภรณีในระยะเวลาใกล้ไกลนับเป็นวันบ้าง เป็นสัปดาห์บ้าง เป็นเดือนบ้างตลอดจนถึงนับเป็นปี เป็นจดหมายที่แสดงว่าภรณีมีวิชาสามัญและวิชาพิเศษประเภทหนึ่ง ซึ่งทางโรงเรียนเห็นว่ามีค่าเท่าเทียมกับส่วนของรายจ่ายที่ทางโรงเรียนจะจ่ายเป็นค่าอยู่ ค่าบริโภคของภรณีได้เป็นอย่างดี ถ้าภรณีจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว หล่อนก็อาจจะเลือกทำได้ตามใจทุกเวลา

แต่ใจของภรณีในปัจจุบันและในอดีตอันใกล้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของภรณีในอดีตอันไกลนับได้ ๕ ปีเศษ เมื่อภรณีอายุ ๑๘ เป็นอายุที่จิตใจมีกำลังแรงกล้า อาจจะพุ่งไปในทางดีหรือทางชั่วทางใดทางหนึ่งก็ว่าได้ ด้วยความเร็วปาน ๆ กันทั้งสองทาง และโดยปราศจากความยั้งคิดให้รอบคอบก่อนที่จะพุ่งไปในทางใดทางหนึ่งด้วย ภรณีได้มีความเห็นว่า น้องหญิงคนเล็กของหล่อนซึ่งในเวลานั้นมีอายุเพียง ๑๑ จะเติบโตขึ้นเป็นหญิงดีได้ก็ด้วยการที่เข้าอยู่ประจำในโรงเรียนที่ภรณีกำลังเรียนอยู่ แล้วภรณีก็ได้เริ่มบำเพ็ญการเสียสละเพื่อบุคคลอื่นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา

เวลานั้นภรณีกำลังเรียนอยู่ในชั้นสุดท้ายแห่งมัธยมตอนปลาย วันหนึ่งหลวงจำนงฯ ผู้บิดาได้มาหาหล่อนแล้วแจ้งว่า บุตรีของคุณหลวงคนแรกที่เกิดด้วยนางเยื้อน มีอายุอ่อนกว่าภรณีเพียง ๘ เดือนนั้น ได้หายไปโดยปราศจากร่องรอย แต่ตามความสันนิษฐานของข้าราชการและชาวบ้านในจังหวัดที่คุณหลวงประจำอยู่ เป็นที่เข้าใจว่าหล่อนได้หนีไปกับชายหนุ่มที่เป็นบุตรของพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งในจังหวัดนี้

คุณหลวงได้นั่งปรารภถึงรายละเอียดแห่งเหตุการณ์ ให้ธิดาฟังเป็นเวลา ๒–๔ ชั่วโมง ความโทมนัสของบิดาที่ปรากฏแก่ภรณีได้เร้าความรู้สึกของภรณีทั้งในทางดีทางร้ายให้ลุกพลุ่งขึ้นโดยแรง เมื่อท่านบิดาได้จากหล่อนไปแล้ว จิตใจของภรณีก็ขุ่นมัว สมองครุ่นคิดอยู่แต่ในเรื่องของน้องหญิงคนโต ทั้งกลางคืนกลางวัน

จากการครุ่นคิด ภรณีถูกกระตุ้นเตือนให้ใคร่ครวญถึงเหตุความเสียหายครั้งนี้ ตามความคิดของภรณี อาภรณ์เป็นผู้ที่มีนิสัยอ่อน น่ารัก น่าเอ็นดูทุกประการ แต่เป็นผู้ที่หูเบา ใจเบา โกรธง่าย หายง่าย เชื่อง่าย จำง่าย ลืมง่าย รักง่าย เกลียดง่าย มีอารมณ์เป็นทาสแก่การถูกกระทบโดยง่ายทุกเวลา ส่วนมารดาเลี้ยงของภรณี ซึ่งเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของอาภรณ์นั้น ก็มีนิสัยชอบเคี่ยวเข็ญบุคคลทั้งหลายเป็นนิสัยส่วนสำคัญ เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ห่างไกล เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ใกล้ชิด เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ตนเกลียด เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ตนรัก ผู้ที่นางเยื้อนเกลียดกับผู้ที่นางเยื้อนรัก ถูกนางเยื้อนเคี่ยวเข็ญประมาณเท่าเทียมกัน ผิดกันแต่เพียงว่าฝ่ายหนึ่งถูกเคี่ยวเข็ญอย่างไม่มีขีดคั่น อีกฝ่ายหนึ่งถูกเคี่ยวเข็ญไปในทางที่นางเยื้อนเห็นว่าเป็นทางดี ทางสบาย เช่นนางเยื้อนย่อมเคี่ยวเข็ญลูกเลี้ยงและคนอื่น ๆ ที่นางชังมิให้บริโภคนั่นบริโภคนี่ เพราะเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง มิให้ไปนั่นมานี่ทำนั่นทำนี่เพราะนางเยื้อนเดียดฉันท์ไม่อยากให้ไป ไม่อยากให้ทำ แต่นางเยื้อนย่อมเคี่ยวเข็ญสามีและบุตรธิดาของตนให้บริโภคนั่น บริโภคนี่ที่นางเยื้อนจัดหาไว้ เพราะเห็นว่าเป็นอาหารรสดี และให้ไปนั่นมานี่ เพราะนางเยื้อนเห็นว่าไปแล้วมาแล้วจะเป็นประโยชน์หรือจะเป็นสุข

อนึ่ง ผู้ที่นางเยื้อนเคี่ยวเข็ญด้วยความรักนั้นในบางโอกาสย่อมจะได้รับความตามใจและความพะเน้าพะนอจากนางเยื้อนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เช่นนางเยื้อนอาจยอมให้บุตรธิดาหยิบฉวยเงินเป็นกอบเป็นกำสำหรับไปซื้อไปจ่าย สิ่งที่อยากซื้ออยากจ่ายตามความปรารถนา และยอมให้ทำสิ่งที่เขาไม่อยู่ในฐานะและในวัยที่ควรทำ ครั้นในบางโอกาสก็ถูกนางเยื้อนบ่นว่าด้วยคำร้ายคำหนัก สุดแต่ว่าอารมณ์รักหรืออารมณ์ชังจะชักนำให้เป็นไป อาศัยความใคร่ครวญแล้ว เล็งเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ภรณีตัดสินว่า อาภรณ์น้องสาวของหล่อนเสียไป เพราะเหตุที่ได้รับการปกครองและการอบรมอันนับไม่ได้ว่าอยู่ในลักษณะที่ดี จะมีชีวิตจิตใจดวงใดบ้างในโลกนี้ที่เป็นธาตุแห่งความดีโดยบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ถึงกับจะคงความดีไว้ได้ในเมื่อถูกกระแทกไปมา ระหว่างความกดขี่อย่างรุนแรง และความบำรุงบำเรออย่างสุดขีดมิได้หยุดหย่อนดังที่อาภรณ์ได้รับเป็นเวลาเกือบ ๑๘ ปีเต็ม

ภรณีจึงทำความตั้งใจว่า จะพรากอำไพน้องคนที่สองของหล่อนมาเสียจากการเลี้ยงดู และการอบรมแบบนี้ให้จงได้

ตามปกติในปีที่แล้ว ๆ มาเมื่อเวลาโรงเรียนปิด บางทีภรณีก็พักอยู่กับคุณยายผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองของหล่อน บางทีก็ไปพักกับบิดา สุดแต่ความสมัครใจของหล่อนเองบ้าง สุดแต่ความเห็นชอบของคุณยายบ้างแล้วแต่กรณี ในปลายปีนี้ภรณีขอร้องต่อคุณยายให้หล่อนได้ไปอยู่กับบิดาเพราะความที่ห่วงใยในบิดาด้วย เพราะเจตนาที่จะหาช่องทางกระทำตามความตั้งใจในส่วนที่เกี่ยวกับน้องคนที่สองด้วย หล่อนได้ยอมให้แม่เลี้ยงเคี่ยวเข็ญในประการต่าง ๆ อย่างอดได้ ทนได้ ยิ่งกว่าสมัยใดที่แล้วมา ได้ทำให้อำไพรักใคร่หล่อนจนถึงขีดที่เรียกว่า ‘ติด’ จนไม่ยอมห่าง ครั้นใกล้กำหนดโรงเรียนจะเปิด ภรณีก็ทำให้อำไพตามหล่อนเข้ากรุงเทพฯ จัดให้อำไพเป็นนักเรียนประจำในโรงเรียน ทำอุบายบอกยายว่าการเรียนของตนยังไม่เป็นผลสมบูรณ์ จำเป็นต้องเรียนต่ออีก ๑ ปี เพื่อจะได้ค่าใช้จ่ายที่ยายเคยจ่ายให้แก่ตน มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับน้อง หลอกบิดาและแม่เลี้ยงว่าน้องอายุน้อย เมื่อมีพี่อยู่ประจำในโรงเรียนคนหนึ่งแล้วโรงเรียนย่อมรับน้องไว้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอย่างใด แล้วตนเองทำการสอนอยู่ในโรงเรียน เพื่อทดแทนค่าอยู่และค่าบริโภคซึ่งโรงเรียนต้องสิ้นเปลืองไปเพราะตน

ในตอนค่อนปี ปีนี้เอง คุณยายผู้ปกครองของภรณีได้ถึงแก่กรรมลง ลูกชายคนเดียวของท่านเป็นผู้ได้รับมรดกโดยสิ้นเชิง เขาผู้นี้ ผู้ซึ่งเป็นลุงของภรณี ได้จ่ายเงินสดจำนวนหนึ่งให้แก่หลานเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่ท่านผู้ตายเคยจ่ายสำหรับภรณีในระยะเวลา ๒ ปี เงินจำนวนนี้ภรณีก็ได้สละไปจนสิ้น เพื่อประโยชน์แก่อนาคตของน้อง

ครั้นถึงคราวที่เงินจำนวนนี้สิ้นไปแล้ว ภรณีจำเป็นต้องเจรจาแก่บิดาและมารดาเลี้ยงเพื่อให้ยอมสละเงินเป็นค่าอยู่ประจำในโรงเรียนสำหรับอำไพ หล่อนก็จำเป็นจะต้องแจ้งความจริง ในข้อที่ตัวหล่อนเรียนสำเร็จบริบูรณ์แล้วให้บิดาและมารดาเลี้ยงทราบด้วย หลวงจำนงฯ มีความยินดีที่จะได้ธิดามาอยู่ใกล้เคียงเป็นนิจ นางจำนงฯ พอใจที่จะได้ภรณีมาไว้ใต้อำนาจ ภรณีจึงได้รับคำสั่งอย่างเด็ดขาดให้ลาออกจากโรงเรียนในทันที แต่ส่วนอำไพ—นางเยื้อนเสียดายเงินที่ต้องจ่ายให้แก่โรงเรียนสำหรับเป็นค่าอยู่ค่าบริโภคของอำไพยิ่งนัก แต่ครั้นจะสั่งให้อำไพลาออกจากโรงเรียนพร้อมกับภรณี ก็เกรงจะมีผู้นินทาว่าตนขัดสน ไม่มีทรัพย์จะให้เป็นค่าการศึกษาของลูก จึงให้ลูกลาออกจากโรงเรียนในปีแรกที่ต้องเสียเงิน เช่นเดียวกับผู้ที่เคยร่ำรวยแล้วมาเป็นผู้อัตคัดในภายหลังทุกคนไป นางเยื้อนเกลียดกลัวการที่จะมีผู้กล่าวว่า ตนไม่มีเงินสำหรับใช้จ่ายโดยฟุ่มเฟือยยิ่งนัก ทิษฐิของนางเยื้อนจึงมาเป็นประโยชน์แก่ความปรารถนาของภรณีเข้าตอนหนึ่งดังนี้

แต่ประโยชน์อันนี้ก็มาเป็นความร้อนที่เกิดแก่ภรณีไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน เมื่อใดนางจำนงฯ มีอารมณ์ขุ่นมัวในเรื่องการเงิน เมื่อนั้นภรณีก็ถูกบ่นว่าในฐานะผู้เป็นต้นเหตุให้ทรัพย์ของนางจำนงฯ สิ้นเปลืองไปโดยใช่เหตุ คือทรัพย์ที่นางจำนงฯ ต้องจ่ายไปสำหรับลูกหญิงคนที่สอง เมื่อถูกบ่นถูกว่าดังนี้ บางคราวภรณีก็ภูมิใจในข้อที่ตนกระทำความตั้งใจของตนให้เป็นผลสำเร็จได้ บางคราวภรณีก็น้อยใจแค้นใจ อยากจะตอบจะว่าให้สาสม แต่ถึงจะแค้นเพียงใด อยากเพียงใด ภรณีก็ไม่ทำให้มารดาเลี้ยงเกิดโมโหมากขึ้น เพราะวาจาของหล่อน ภรณีรู้ว่าหล่อนไม่อยู่ในฐานะที่จะชนะแม่เลี้ยงโดยเด็ดขาดได้ ตราบเท่าที่หล่อนยังไม่พ้นชายคาบ้านท่านบิดา และหล่อนจะไปให้พ้นบ้านนี้ได้ก็ต่อเมื่อหล่อนตัดรักตัดห่วง ตัดกังวล ในบิดาและน้องใหญ่น้องเล็กได้แล้ว หรือมิฉะนั้นก็ต่อเมื่อความหวังของหล่อนเข้าสู่สภาพแห่งความเป็นจริงโดยสมบูรณ์

ครั้นพับผ้าใส่อ่างหมดทุกชิ้นแล้ว ภรณียกอ่างไปวางไว้ในห้องอันเป็นที่ ๆ คนใช้และภรณีเองใช้ทำงานบางชนิด เช่น งานรีดผ้า จีบพลูเป็นต้น แล้วหล่อนย้อนกลับไปที่ครัว เพื่อดูว่าแม่ครัวซื้อของสิ่งใดมาเป็นของหวานสำหรับมื้อค่ำวันนี้ และมื้อเช้าวันรุ่งขึ้น นางจำนงฯ มีธรรมเนียมที่ถือไว้เคร่งครัดนักอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ยอมซื้อขนมที่ทำเสร็จจากตลาดมาบริโภคเป็นของหวานเป็นอันขาด ขนมทุกชนิดที่บุคคลผู้เป็นนายในบ้านนี้บริโภคต้องเป็นขนมที่ประกอบสำเร็จขึ้นที่ในบ้านนี้เอง และหน้าที่ทำขนมมักตกอยู่แก่ภรณีเกือบทุกวัน

เฉพาะวันนี้ของหวานจะเป็นกล้วยบวชชี แม่ครัวกำลังขูดมะพร้าว ซึ่งจะใช้ทำแกงเขียวหวานด้วย และบวชชีกล้วยด้วย ภรณีตัดกล้วยเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำ พลางนิ่งฟังนางจำนงฯ กับแม่ครัวสนทนากันไปด้วย นางจำนงฯ มีปกติชอบสนทนากับแม่ครัวเสมอ เรื่องที่สนทนากันนั้นบางทีก็เป็นเรื่องราคาอาหาร บางทีก็เป็นเรื่องเหตุการณ์อันเกิดขึ้นที่ตลาด เช่น การวิ่งราว การวิวาท บางทีก็เป็นเรื่องในบ้านของบุคคลหมู่ใดหมู่หนึ่ง ซึ่งแม่ครัวประจำบ้านนั้น ๆ นำมาเล่าให้เพื่อนแม่ครัวด้วยกันฟัง และบางทีก็เป็นเรื่องของตัวแม่ครัว หรือเรื่องของนางจำนงฯ เอง ซึ่งนางจำนงฯ มีความพอใจที่จะเล่าให้แม่ครัวฟัง คำพูดที่แม่ครัวพูดประกอบเรื่องเป็นคำยอคล้อยตามผู้เป็นนาย คำที่นางจำนงฯ พูดประกอบเรื่องเป็นคำหยิกแกมหยอกผู้เป็นลูกจ้าง บางทีก็เป็นคำหยาบอย่างที่ภรณีฟังแล้วหาเข้าใจว่ากระไรไม่

เมื่อภรณีตัดกล้วยเสร็จ นางจำนงฯ เรียกให้หล่อนมาหั่นหมูต้มที่จะใช้เป็นกับข้าว โดยวิธีหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ จิ้มน้ำซีอิ้ว นางจำนงฯ กล่าวว่าแม่ครัวหั่นหมูเป็นชิ้นหนา เปรียบความหนาแห่งชิ้นหมูเท่ากับครก และท้าวความไปในทางที่เคยใช้พูดกับแม่ครัวเสมอ ความชนิดที่ภรณีฟังแล้วไม่เข้าใจนั้น และเมื่อสิ้นความพอใจที่จะพูดแล้วก็ลุกออกไปจากครัว

ในระยะเดียวกันนี้ มีเสียงเด็กวิ่งไล่กัน พร้อมกับตะโกนและหัวเราะดังเข้ามาในบ้าน เด็กหญิงสุภาพอายุ ๙ ขวบ เด็กชายเพิ่มพงศ์อายุ ๑๒ ขวบ กลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านพร้อมกัน ประมาณ ๔–๕ นาที เด็กทั้งสองก็มาที่ครัว ด้วยเจตนาที่จะพบกับพี่สาวใหญ่ด้วย และเพื่อตรวจดูว่าจะมีสิ่งของอย่างใดที่ตนจะหยิบฉวยใส่ปากได้ด้วย การหยิบฉวยสิ่งของใส่ปากเช่นนี้ ภรณีชังเป็นอย่างยิ่งและมักจะห้ามปรามตักเตือนน้องเป็นนิจ แต่บางคราวเมื่อห้ามแล้วเด็กก็เตรียมที่จะฟังแล้ว มารดาของเด็กก็ออกวาจาเป็นเชิงว่าเด็กมีสิทธิที่จะทำได้ เพราะหิวและเหน็ดเหนื่อยมาจากโรงเรียน เด็กจึงถือเอาคำของมารดาเป็นเครื่องสนับสนุนการกระทำของตัว บางคราวแม้ภรณีเองก็สมเพชแก่น้อง เมื่อน้องบ่นว่า “หนูหิว พี่ภร” หล่อนมักจะเก็บของหวานที่เหลือจากมื้อเช้าไว้ให้น้องรับประทานมื้อบ่ายบ่อยๆ แต่ของหวานจะเหลือให้ภรณีเก็บหรือไม่ ก็แล้วแต่ว่าเด็กทั้งสองจะรับประทานของหวานมื้อเช้ามากน้อยเท่าใดนั่นเอง ส่วนการที่ภรณีจะจัดหาของว่างไว้ให้น้องทุกวันโดยสม่ำเสมอนั้น หล่อนไม่มีโอกาสที่จะทำได้เพราะนางจำนงฯ มีความเห็นว่า ถ้าเด็กบริโภคของว่างเวลาบ่าย ๑๖ นาฬิกาล่วงแล้ว จะรับประทานอาหารค่ำได้น้อย ซึ่งจะเป็นเหตุให้เด็กผอมลง

วันนี้สิ่งของที่แม่ครัวจ่ายมา ไม่เป็นสิ่งที่เด็กจะหยิบใส่ปากเคี้ยวเล่นได้ เด็กชายจึงหยิบกล้วยน้ำว้าที่ภรณีหั่นไว้ใส่ปากเพียงสองชิ้น แล้วก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องครัว เด็กหญิงนั่งลงตรงประตูและกล่าวแก่พี่สาวว่า

“เลขคณิตหนูถูกหมดเลย ครูชมหนูใหญ่ ครูบอกใคร ๆ ทำไม่ถูกสักคน หนูถูกคนเดียว”

ภรณีหัวเราะ “ครูให้หนูทำให้ดูหรือเปล่า ?” หล่อนถาม “ถ้าเผื่อให้ทำ หนูก็จะทำผิดเหมือนคนอื่น”

“แน้ !” สุภาพร้อง “หนูทำต่ออีก ๔ ข้อหนูก็ทำได้หมด”

“ครูตรวจแล้วหรือ ?”

“ยัง ครูให้เป็นการบ้าน”

“ดีละ เดี๋ยวพี่จะตรวจ ดูถีหนูเข้าใจจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเผื่อหนูทำผิดละก็ ครูเขารู้ทีเดียวว่าเมื่อวานนี้หนูไม่ได้ทำเอง”

แล้วหล่อนหันไปถามน้องชาย

“มีการบ้านไหม พงศ์”

“ไม่มี สบายเลยวันนี้”

“ดี ไปผลัดเครื่องแต่งตัวกันเสียทีซีไป๊”

สุภาพลุกขึ้นทันที แต่เพิ่มพงศ์ยังคงเดินเตร่ไปมาแล้วหยิบห่อเล็กห่อน้อยที่วาง ๆ อยู่ขึ้นแก้ดูเพื่อหาของต้องใจ เช่น ถั่วลิสง เต้าหู้ ครั้นแล้วก็ไปชะโงกตัวอยู่เหนือศีรษะแม่ครัวถามว่า “แกงอะไร ? หอมจัง”

“พงศ์” ภรณีทักพร้อมกับขึงตา เมื่อน้องชายรู้ตัวและถอยห่างจากแม่ครัวมาแล้วหล่อนก็พูดสืบไปว่า “แกงเขียวหวานของโปรดของเราน่ะแหละ ไปถอดเสื้อเสียไป๊ พรุ่งนี้ก็จะต้องใส่อีก มันจะได้สกปรกน้อยลงหน่อย แล้วเวลาถอดแล้วละก็ผึ่งเสีย ไอ้เรื่องถอดเสื้อแล้วทิ้งไม่ผึ่ง ไม่วางให้เป็นที่นี่แหละ พี่ขอเท่าไรก็ไม่ได้”

เพิ่มพงศ์เดินทำส้นให้สะดุดพื้นดังตึง ๆ ตั้งแต่กลางห้องครัวจนถึงประตู แล้วก็ออกวิ่งไปที่เรือน

ในทันใดนั้นแม่ครัวก็เอ่ยขึ้นว่า

“เบื่อเหมือนจะตาย พอมาถึงละก็จับนั่นรื้อนี่ ยังกับลิงแสม”

ภรณีไม่เอาใจใส่ต่อคำเหล่านั้น ก้มหน้าทำงานของหล่อนสืบไปโดยไม่พูดว่ากระไร

ราว ๆ เกือบ ๑๖ นาฬิกา หลวงจำนงฯ ก็กลับมาถึงอีกคนหนึ่ง ต่อจากนั้นภรณีก็ได้ยินเสียงมารดาเลี้ยงพูดดังมาจากบนเรือนเป็นระยะเกือบไม่ขาด คุณนายจำนงฯ ขาดหูที่จะเป็นเครื่องรับเสียงของท่านมาหลายชั่วโมงอาศัยหูแม่ครัวและคนใช้ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ย่อมไม่เป็นที่เพียงพอ และจะอาศัยหูของลูกชายลูกหญิง เด็กทั้งสองก็มีค่อยจะอยู่นิ่งให้ท่านพูดด้วย เวลาระหว่าง ๑๖.๐๐ กับ ๑๗.๐๐ นาฬิกานี้จึงเป็นเวลาที่นางจำนงฯ มักจะคอยและเร่งให้มาถึงเร็วเกือบทุกวัน

ราวๆ ๑๗ นาฬิกาเศษ งานในครัวซึ่งภรณีต้องทำและต้องควบคุมก็เสร็จลง ภรณีจึงกลับขึ้นเรือน ในเวลานั้น บิดาของหล่อนและนางจำนงฯ ยังคงพูดกันอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง ส่วนน้องสองคนและเด็กหญิงคนใช้ก็เล่นกันเย็ดถึงอยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง ภรณีเรียกเด็กทั้งสามนั้นมาสั่งในเชิงขอร้องด้วยถ้อยคำที่ฟังเพราะให้น้องทั้งสองช่วยหล่อนทำความสะอาดในห้องต่าง ๆ เด็กหญิงคนใช้มีหน้าที่ ๆ จะกวาดทางหน้าเรือน ภรณีก็เตือนให้ทำเสียตามหน้าที่ เสร็จจากการทำความสะอาดแล้วหล่อนเตือนน้องให้ไปอาบน้ำทำความสะอาดและความสบายให้แก่ตัวก่อนที่จะรับประทานอาหาร ภรณีเองนั้น จะอาบน้ำ ทำความสบายก็ต่อเมื่อพ้นจากงานแล้วและจะเข้านอน ในตอนเย็นนี้หล่อนทำแต่เพียงล้างมือและหวีผมให้เรียบร้อย เพราะเมื่อเสร็จจากการบริโภคแล้วหล่อนจะต้องรีดเสื้อรีดผ้าชิ้นที่ต้องการความเรียบร้อยมากกว่าชิ้นอื่น ๆ อีก เป็นต้นว่า เสื้อชั้นในของบิดา และเสื้อชั้นนอกของนางจำนงฯ รวมทั้งเสื้อผ้าของหล่อนเองด้วย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ