๒๘
อานนท์ มาตุคามเป็นผู้มักโกรธ มาตุคามเป็นผู้มักริษยา มาตุคามเป็นผู้มักตระหนี่ มาตุคามเป็นผู้ทรามปัญญา—เหตุนี้แล มาตุคามจึงไม่ได้นั่งในสภา ไม่ประกอบการงาน ไม่ได้รส (สนุก) แห่งการงาน
นายนพหักพวงมาลัยให้ล้อหน้าพ้นจากขอนไม้ที่นอนขวางริมทาง รถเลี้ยวขวับแล้วก็ดังกึง ! กระเทือนไปทั้งคัน เพลารถกระแทกกับตอใต้ดินโดยแรง ทำให้เกิดเสียงดังนั้น และเสียงวี๊ด ! หลายเสียงก็ดังขึ้นตามมาด้วยศีรษะต่อศีรษะ บ่าต่อว่า กระทบกันหลายคู่
“ว้าย ! ตาย ยังงี้ตายแน่ไม่ไหวแล้ว บันลือ นึกว่ารถพังแล้ว แหม ไปกันทำไมน่ะ กลับบ้านดีกว่าอีก ไม่เห็นอยากไปเลย”
เสียงนี้แต่เพียงเสียงเดียว ทำให้ผู้ที่กำลังจะออกเสียงอีกหลายคนนิ่งเงียบไป แล้วเสียง ๆ เดียวกันนี้ก็บ่นต่อไปอีก
“แหม แขนแมนเคล็ดหมด ป่าเป่อดูทำไมกันน่ะไม่เห็นมีอะไรเลย ก็ไอ้ต้นไม้บ้า ๆ ทั้งนั้น ว้าย !” กิ่งไม้เล็ก ๆ กิ่งหนึ่งขีดเสื้อที่ตรงหลังหล่อน “แหม ไม่รู้จะระวังตัวยังไงแล้ว กลับบ้านเถอะนะ บันลือ ถ้ำค้างคาวไปดูมันทำไม นอนอยู่บ้านเสียยังดีกว่า”
ความรำคาญเกิดขึ้น อย่างแรงกล้าแก่สุภาพสตรีอีกสามนางที่อยู่ในรถนั้นด้วย มุกดาก็เอ็ดเอาน้องสาวคนเล็กผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างหล่อน “ถอยไปหน่อยซี หัวเข่าดันก้นพี่จนเจ็บแล้ว”
“ก็มันเลื่อนไปเองนี่คะ คุณพี่ก็” ไพฑูรย์ตอบ
มรกตรู้สึกตัวว่านั่งเบียดน้องคนเล็กมากไปเหมือนกัน ก็ตั้งท่าจะถอย แต่ความกระเทือนของรถทำให้หล่อนเสียหลัก ตะโพกของหล่อนก็กระแทกเข้ากับตะโพกภรณีโดยแรง
ทั้งสองฝ่ายมองดูกันแล้วก็ยิ้ม มรกตกล่าวว่า “เอาอย่างพี่สะใภ้ฉันมั่งซี ใคร ๆ ไม่มีบ่นเลย”
มุกดาพยายามชะโงกหน้ามองดูภรณี แต่ไม่กล้าปล่อยมือจากเสาหลังคารถก็ดูไม่เห็น จึงส่งเสียงมาว่า
“แม่ภรเห็นจะเที่ยวเสียชำนาญแล้ว ไม่ได้ยินเสียงบ่นจนคำเดียวจริง ๆ เสียด้วย”
ภรณีปัดมดแดงที่กระเด็นจากกิ่งไม้มาไต่อยู่บนคอเสื้อมรกตตัวหนึ่งวิ่งไปบนหน้าอกเสื้อหล่อน จึงบอก “มดค่ะคุณกลาง หันมาหน่อยดิฉันจะปัดให้”
มรกตก้มมองดูตัวเอง ไม่เห็นตัวสัตว์ที่ภรณีกล่าวถึงก็หันตัวมาตามที่ภรณีบอก ทันใดนั้นหล่อนกล่าวว่า
“ต๊ายเธอเองล่ะบนบ่าแน่ะตั้ง ๓–๔ ตัว ใครช่วยหน่อยเร้วไอ้มือซ้ายของฉันมันก็ทำอะไรไม่เป็นเสียด้วย”
“ผมเอง ผมเอง” เสน่ห์กล่าว แล้วไล่ปัดมดแดงบนบ่าเสื้อของภรณีด้วยมือทั้งสองข้างอย่างขวักไขว่ มดหนีมือหลบเข้าในคอเสื้อ
ภรณีรู้สึกและพยายามจะปัดอย่างใจเย็น เสน่ห์ไม่รั้งรอจับคอเสื้อหล่อนพับออก และหยิบตัวมดได้อย่างว่องไว
ภรณีกล่าวคำขอบใจเขา แล้วเสริมว่า “มดตัวนิดเดียวอำนาจมากจริง ยุ่งกันเสียแทบตาย”
“อี๊ ! ที่ฉันมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ อะไรยิบ ๆ อยู่ที่คอ บันลือดูทีเถอะน่ะ”
เจริญนั่งอยู่ชิดกับบันลือ เขาใช้เข่ากระแทกเข่าของเพื่อน แล้วพูดวางหน้าตาเฉย
“มด ! บอกว่ามด ไม่ได้ยินรึ ? เอ ทำเป็นพระมณี ฯ ไปได้แฮะ”
มุกดามองดูผู้พูด แล้วมองดูน้องชาย พร้อมกับมองดูส่องสี ทั้งสองนี้นั่งอยู่ติดกัน หญิงผู้เป็นพี่ของฝ่ายชายรู้สึกรำคาญยิ่งนัก ยิ่งเห็นเขาทำตามที่ฝ่ายหญิงขอร้องด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม สีหน้ามุกดาก็บึ้งตึงขึ้นโดยที่หล่อนไม่รู้ตัว
แล้วบันลือพูดขึ้นพร้อมกับมองไปทางหญิงสี่นางที่นั่งตรงกันข้ามกับเขา
“ตอนนี้ระวังหน่อยเจ้าข้า เดี๋ยวเถอะโคลงยังกะลูกคลื่นทีเดียว”
ทั้งนี้เพราะรถกำลังเข้าในทางคดและแคบระหว่างพุ่มไม้สองข้าง ก็ทำอาการทั้งโยกทั้งโยนทั้งส่ายอยู่ไปมาเพียงชั่วสามนาที มรกตก็กระเด็นจากที่นั่งไปทับอยู่บนตักเจริญผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าหล่อน อุบัติเหตุเล็กน้อยนี้ทำให้ผู้ที่ได้เห็นอดหัวเราะมิได้ มรกตเองก็ขันตัวเองและกระดากเจริญด้วยหล่อนพึมพำว่า
“แหม ขอโทษนะคะ ไม่ได้เผลอตัวเลยทำไมเป็นอย่างนั้นก็ไม่ทราบ”
“ตัวคุณเบาน่ะครับ” เจริญตอบด้วยเสียงอันร่าเริง “ผมเองก็เกือบกระเด็นเหมือนกัน”
“โอ๊ย แขนฉันไปแล้ว บันลือ ไม่ไหวละไอ้พนักรถนี่ เกะกะออกจะตาย”
“พังเสียได้ไหม บันลือ พนักนี่น่ะ ?” เจริญถาม “ใช้แขนคนต่างพนักมันนุ่มนวลดีกว่า”
“ไปช้า ๆ อีกหน่อยเถอะ นพ” บันลือบอกไปยังคนขับรถของเขา “มีผู้หญิงหลายคน ใจเร็วอย่างที่พวกเราไปกันเองไม่ได้”
“ยิ่งช้าก็ยิ่งไม่รู้จักถึง” ไพฑูรย์กล่าว หันหน้าออกทางนอกรถ นึกกล่าวหาบันลืออยู่ในใจว่าเขาห่วงส่องสีแต่ผู้เดียว จึงออกคำสั่งนั้นติดต่อไปกับคำโอดครวญของเจ้าหล่อนโดยปกติ ไพฑูรย์ทั้งรักทั้งเกรงพี่ชายของหล่อนมาก แต่หล่อนเป็นผู้ที่อยู่ใต้อำนาจแห่งความริษยาโดยง่าย
“เวลามีถมไป” พี่ชายตอบอย่างอารมณ์ดี “รับประกันว่ากลับถึงบ้านก่อนค่ำ”
“อีกกี่มากน้อยจึงจะถึงถ้ำที่เราจะดู ?” เสน่ห์ถาม
“ราวสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้” แล้วบันลือพูดต่อไปในเสียงหัวเราะ “นายอย่าเพิ่งแน่ใจว่าจะได้ดูถ้ำ อาจจะต้องไปนั่งแหงนคออยู่ตีนเขาก็ได้”
“ตายละ ?” มุกดาอุทาน “แต่คุณเสน่ห์เป็นผู้ชายยังจะต้องอยู่แค่ตีนเขา พวกเราเป็นผู้หญิงจะได้เห็นอะไรล่ะพ่อปุ๊ ?”
“ก็เห็นเขาซีครับคุณพี่ เขาใหญ่สูงต้นไม้ต้นเบ้อเร่อ ๆ น่าดู แล้วที่พักก็เย็นสบาย นึกเสียว่าเรามาปิคนิคบนเขา”
“ฉันเอาละ ฉันชอบ” มรกตว่า “มาแล้วนี่ก็ต้องดูว่าป่าแท้ ๆ มันเป็นยังไง ที่จริงไอ้เรื่องป่าเรื่องทะเลมันถูกใจฉันอยู่แล้ว”
“ผู้หญิงบางคนอาจจะเก่งกว่าผู้ชายก็ได้นะ” ไพฑูรย์เสริม “ฉันยังไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ลอง พี่สะใภ้เคยเห็นแล้วหรือยังคะ “ถ้ำนี้—ว้าย!” ตัวหล่อนถูกโยนขึ้นด้วยกำลังกระแทกของรถ ทำให้ศีรษะพุ่งไปถูกบ่ามุกดาโดยแรง “ต๊าย ตาย คุณพี่เจ็บไหม ?”
“ตัวเองน่ะ เจ็บหรือเปล่า ?” พี่สาวใหญ่หันมาย้อนถาม “พ่อปุ๊กลับไปถึงบ้านพี่จะต้องหาหมอมานวด เอาแขนวางไม่ได้เลยนี่ ตัวจะหลุดจากที่นั่งเสียร่ำไป”
“ชวนกลับบ้านก็ไม่กลับนี่” ส่องสีว่า “ตัวฉันคงโปไปหลายแห่งแล้ว อย่าไปให้ถึงเลยน่ะ บันลือ กลับเสียแค่นี้เถอะ แหม ยังจะต้องไปอีกตั้งชั่วโมง แขนขาหลุดหมดกว่าจะถึง”
“พ้นจากคดนี้ไปแล้วก็ถึงทางดีหรอกน่ะ” บันลือพูดด้วยเสียงปลอบ ทำให้ไพฑูรย์นึกหมั่นไส้เขาขึ้นมาอีกทันที หล่อนไม่รู้ว่าพี่ชายของหล่อนรำคาญส่องสีเพียงไร แต่อาศัยความรำคาญของเขาเอง เขาพอจะคาดถึงความรำคาญแห่งพี่น้องของเขาได้ ทำให้เขานึกสังเวชผู้ที่ถูกรำคาญ จึงพยายามจะเอาใจหล่อนไปตามสมควร
เขาพูดขึ้นอีกในครูต่อมา “นั่งอย่าตัวแข็งให้มากนัก ปล่อยให้เลื่อนไปตามจังหวะของรถจะรู้สึกว่าถูกกระแทกน้อยลง—คุณพี่ หลบหน้าเข้ามาเสียหน่อยครับ หนามกิ่งเบ้อเร่อ”
“ทางนี้ล่ะ บันลือ” ส่องสีถาม “ดูข้างซ้ายให้ฉันมั่งซี เธอน่ะดูแต่ข้างขวาข้างเดียวแหละ”
เขารู้สึกว่าหล่อนกวนเขามากด้วยการเรียกขานชื่อเขาไม่หยุดหย่อน และอ่านความหมั่นไส้ที่มีอยู่ในใจแห่งพี่น้องของเขาได้ถนัดยิ่งขึ้น โดยสายตาที่เจ้าหล่อนทั้งสามมองดูส่องสี เขาไม่ติพี่น้องของเขาในข้อที่มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่หวั่น ๆ อยู่ในใจว่าคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้จะทนความหมั่นไส้ไปไม่ได้นาน ก็จะระบายความรู้สึกออกมาโดยทางคำพูดอันระคายหู
มุกดาได้กล่าวแก่เขาอย่างเด็ดขาด ในคืนที่หล่อนมาถึงและพบส่องสีอยู่ที่บ้านน้องชายของหล่อน “พี่อยู่กับคนนี้นานไม่ได้หรอก ถ้าเขาจะอยู่อีกหลายวัน พี่ก็จะหนีกลับพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้” และไพฑูรย์ก็เสริมว่า “ไม่เคยเห็นผู้หญิงอะไรหน้าด้านยังงี้”
บันลือไม่มีคำที่จะตอบแก่พี่น้อง ไม่ใช่เพราะว่าเขาจนปัญญา หรือรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิด แต่เป็นเพราะเขามองเห็นในอึดใจนั้นว่า พี่สาวน้องสาวของเขาจะเข้าใจความคิดความรู้สึกของเขาในเรื่องนี้ไม่ได้เสียแล้ว ความจริงมิใช่แต่เรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป แม้เรื่องอื่น ๆ ที่ตื้นกว่าง่ายกว่าพี่น้องของบันลือก็หาเข้าใจบันลือเสมอไปไม่ การที่ฝ่ายเขากับฝ่ายเจ้าหล่อนต่างมีความรักใคร่กันเป็นอันดีนั้น เป็นเพราะฝ่ายเจ้าหล่อนรักเขาอย่างที่เรียกว่าหลับตารัก และไม่เคยมีความคิดที่จะขัดความประสงค์ หรือขัดความต้องการของเขาเลย และฝ่ายเขามีความเข้าใจในเจ้าหล่อนทั้งสามอย่างละเอียดลออถี่ถ้วน และให้อภัยความบกพร่องประจำตัวของเจ้าหล่อนแต่ละคนโดยสิ้นเชิง
บันลือเป็นผู้ที่มีสมองอันเต็มไปด้วยเหตุผลสำหรับตัวเอง และสำหรับคน ๆ อื่นด้วย แต่เขาไม่เคยมีความพยายามที่จะช่วยคนเขลาให้ฉลาดขึ้น หรือช่วยคนที่มีความคิดสั้นให้คิดยาวขึ้น หรือช่วยคนที่มีความเห็นแคบอยู่ในขอบเขตจำกัดให้คิดเห็นอย่างกว้างขวางขึ้น เขามิได้คิดที่จะอธิบายให้แจ่มแจ้งแก่พี่น้องถึงข้อที่เขาเชิญเจ้าหล่อนมา เพื่อประกอบความเจตนาของเขาในอันจะแสดงว่าเขาเลิกจำความหลังระหว่างตัวเขากับส่องสีเสียสิ้นแล้ว ในปัจจุบันนี้ส่องสีเป็นเพียงสุภาพสตรีที่รู้จักกับเขาอย่างเพื่อนธรรมดา ดังนั้นจึงมาเยี่ยมเยียนและอยู่ด้วยกันพร้อมญาติของบันลือและเพื่อนของบันลือ นอกจากตัวส่องสีเอง เพื่อความสนุกสนานชั่วครั้งคราว เขารู้ว่าถึงแม้เขาจะอธิบายเช่นนี้ พี่น้องของเขาก็จะเข้าใจเขาไม่ได้อยู่นั่นเอง เจ้าหล่อนทั้งสามอาจจะนิ่งไม่โต้แย้งว่ากระไร แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงจะเพ่งเล็งคิดอยู่ว่า ส่องสีเป็นภรรยาบันลือ หย่ากับบันลือไปแต่งงานใหม่ แล้วย้อนกลับมาหาบันลืออีก เพราะเป็นหญิงที่หาความอายมิได้ เพื่อตัดความเดือดร้อนอย่างมากของมุกดา ซึ่งปรากฏโดยคำพูดซ้ำ ๆ หลายครั้งหลายหน “ฉันไม่รู้เลยว่านังนี่อยู่ที่นี่ ไม่รู้เลยจริงๆ” บันลือได้บอกแก่หล่อนว่า “อีกสองวันเขาก็จะกลับแล้ว”
ข้างฝ่ายส่องสีจะเป็นด้วยหล่อนไม่รู้ถึงความรังเกียจแห่งพี่น้องของบันลือ หรือรู้จึงแกล้งทำให้หนักขึ้นเป็นการท้าทาย ตามธรรมดาของผู้ที่รู้ตัวว่าถูกกดในทางหนึ่งก็ยิ่งพยายามจะเด่นขึ้นในทางนั้น ? พี่น้องของบันลือรังเกียจการที่ส่องสีกับบันลือวิสาสะต่อกัน ส่องสียิ่งทำกิริยาคล้ายกับว่าหล่อนกับบันลือมิใช่แต่เพียงมีการวิสาสะต่อกันเท่านั้น หากมีการสนิทชิดเชื้อกันเป็นที่สุดแล้วด้วย หล่อนพยายามที่จะอยู่ใกล้เขาทุกเวลา หรือมิฉะนั้นก็หาเหตุให้เขามาอยู่ใกล้หล่อน ชื่อของเขาติดอยู่กับริมฝีปากของหล่อน คำหนึ่งก็บันลือ สองคำก็บันลือ จนถึงกับจิตราแอบกระซิบกับบันลือว่า “ไม่ไหวละเธอ อย่างนี้ถ้ายายภรแกไม่ใช่พระละก็แกต้องระเบิดแน่”
เขาออกจะเห็น ๆ ด้วยกับความคิดของจิตรา แต่นึกไม่ออกว่าอาการระเบิดของภรณีจะเป็นเช่นใด เมื่อวานนี้คือรุ่งขึ้นจากวันที่พี่น้องของเขามาถึง เขาเกือบจะไม่ได้พูดกับภรณีโดยตรงแม้แต่สักคำเดียว ประการที่หนึ่งหาเรื่องพูดให้เหมาะกับโอกาสไม่ได้ ประการที่สอง เพราะหญิงห้านาง คือพี่น้องของบันลือ จิตรา และภรณี ดูมีอาการเพลิดเพลินอยู่ในระหว่างหล่อนเองตลอดทั้งวัน คล้ายกับว่าโลกนี้มีแต่ตัวหล่อนห้าคนเท่านั้น บางเวลาเจ้าหล่อนรวมกันเป็นหมู่อยู่ในห้องภรณี รื้อเสื้อซื้อผ้าออกมาอวดกัน สิ่งของกระจุกกระจิกของใครมีอย่างไรก็อวดกันอีก แล้วก็ซักนั่นถามนี่ออกความเห็นต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดการหัวเราะกิ๊กก๊ากเสียงดัง หรือกระซิบกระซาบกันเป็นความลับระหว่างเจ้าหล่อน บางเวลาก็พากันเข้าไปรวมอยู่ในครัว หรือเข้าไปรวมอยู่ในห้องหนังสือ หรือเล่นกับเด็ก ๆ ซึ่งมีจำนวนห้าคน เพราะลูกของไพฑูรย์และลูกของมุกดามาสมทบด้วย บันลือพอใจเมื่อเห็นภรณีกับพี่น้องของเขาเข้ากันได้สนิทดี และพอใจที่พี่น้องของเขาทำกิริยาเป็นกันเองต่อจิตรา โดยปกติเจ้าหล่อนทั้งสามกับจิตรา มักแสดงกิริยาต่อกันอย่างผู้ที่รู้จักกันเพียงเผิน ๆ บันลือรู้ว่าพี่น้องของเขาไม่ชอบจิตราเพราะเหตุว่า จิตราเรียกสามีของหล่อนว่า ‘เจริญ’ สั้น ๆ โดยไม่มีคำนำอันเป็นเครื่องแสดงคารวะต่อสามีนำหน้านาม ส่วนจิตราไม่เคยสนใจในพี่น้องของบันลือเท่าใดนัก เพราะเมื่อได้พบกันต่างฝ่ายต่างไม่มีเรื่องที่จะสนทนากัน คำว่าโลก ‘โลก’ สำหรับพี่น้องของบันลือมีความหมายเป็นขอบเขตจำกัดอยู่เพียงแค่ญาติมิตร พวกพ้องและบริวารของหล่อน ส่วนคำว่า ‘โลก’ สำหรับจิตรานั้น กว้างขวางไพศาลเท่าขอบเขตแห่งโลก ถ้าจิตราแสดงโลกของหล่อนแก่พี่น้องของบันลือ เจ้าหล่อนเหล่านั้นก็มีอาการคล้ายกับผู้หลงทาง หรือมิฉะนั้นก็คล้ายกับผู้ที่ตาบอดแต่กำเนิด ยอมเชื่อไม่ได้เป็นอันขาดว่าโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าแสงสว่าง ถ้าพี่น้องของบันลือแสดงโลกของหล่อนแก่จิตรา จิตราก็มีอาการคล้ายกับผู้ที่ถูกบังคับให้ดูการมหรสพที่เขาดูแล้วหลายครั้ง
รถแล่นออกจากทางคดและแคบ พ้นจากหมู่ไม้ที่หนาแน่นด้วยเถาวัลย์และกอหนามต่าง ๆ ไม้ใหญ่ต้นตรงสูงตระหง่านยืนเด่นอยู่เรียงราย ลักษณะความเป็นป่าอย่างแท้จริงโดยต้นไม้ และอากาศปรากฏแก่สายตาและความรู้สึก มรกตออกอุทานด้วยความตื่นเต้นและเบิกบานคลับคล้ายคลับคลาจะเห็นไปเองว่ามีเสือหมอบอยู่ข้างจอมปลวก และกวางทองยืนเล็มหญ้าอยู่ริมทาง นกต่าง ๆ บินพึ่บพั่บขึ้นจากพุ่มไม้เพราะตกใจด้วยเสียงเครื่องยนต์ บางตัวบินร่อนอยู่หน้ารถเหมือนจะดูให้รู้ว่าสิ่งใดแปลกปลอมมา
แล้วก็มาถึงทางที่สูงขึ้นเป็นเนิน แล้วก็กลับลาดลงพื้นแผ่นดินมีลักษณะเป็นหิน ห้วยน้อยขวางอยู่ตรงหน้ารถแล่นตรงไปสู่ที่นั้นแล้วทำท่าปักหัวลง ฝ่ายหญิงอุทานด้วยความตกใจ นี่อย่างไรกันรถยนต์จะแล่นลงน้ำ ? ส่องสีหันหลังให้หน้ารถคว้าตัวบันลือกอดไว้แน่น หลับตาร้องว่า “หยุด หยุด ฉันไม่ไป”
“พิโธ่ !” ฝ่ายเขาอุทาน น้ำเสียงแสดงความฉุนจนฟังได้ถนัด “อย่างนี้คนขับก็ขวัญเสียหมด ถ้ามีอันตรายใครเขาจะพามานะ”
เสียงน้ำแตกดังซ่ายาว เมื่อล้อรถหมุนผ่านแล้วรถก็ตั้งหัวขึ้น ครู่หนึ่ง แล้วจึงตั้งตัวตรงแล่นไปอย่างธรรมดา
เสน่ห์พึมพำว่า “เอาอยู่ ท่าทางยังกะช้างขึ้นเขา”
เจริญตอบว่า “รถหัวเมืองเขาเก่งยังงี้แหละ—คุณส่องสีพ้นแล้วครับ” เขาพูดต่อและทำหน้าพิกล
บันลือฉุนส่องสียังไม่หาย แต่ก็อดกันไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อน “ปล่อยผมซี คุณ” เขาว่า “ถ้าอยากจะกอดประเดี๋ยวถึงค่อยกอดใหม่ ยังจะต้องผ่านอีกสามห้วย แล้วจึงจะถึงเขา”
มรกตแอบกระซิบแก่ภรณีว่า “ยังไงพี่สะใภ้ ? ของเรานะนั่นนะ ทำไมไม่เรียกเอาของเรามาไว้ จะเป็นจะตายยังได้กอดกัน”
ไพฑูรย์ใช้ข้อศอกถองพี่สาวโดยแรง แล้วว่า “โธ่ พี่เขียวยังไปยั่วแกอีก”
“ของธรรมดาค่ะ” ภรณีตอบ แต่หล่อนมิได้เงยหน้าของหล่อนขึ้นให้สองพี่น้องเห็น
ในระหว่างนี้บันลือกล่าวแก่ส่องสีว่า
“ถ้ากลัวจริง ๆ ลงเสียจากรถแล้วเดินบุกน้ำไปก็ได้ น้ำมันแค่ตาตุ่มเท่านั้นเอง หรืออย่างมากก็เพียงข้อเท้า”
“แล้วเกือกฉันจะได้เปียกหมดซี”
คำตอบของหล่อนทำให้เขาอึ้งไป รองเท้าเปียกน้ำกับแขนหักคอหัก ความสำคัญมันใกล้กันนักหรือ ? แต่นี่แหละคือตัวส่องสีแท้ ๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นเรื่องเป็นราว เหลวยิ่งกว่าเหลว แหลกยิ่งกว่าแหลก รักขึ้นมาก็ทำไปตามรัก เกลียดขึ้นมาก็ทำไปตามเกลียด กลัวขึ้นมาก็ทำไปตามกลัว อยากขึ้นมาก็ทำไปตามอยาก สิ่งอื่นนอกไปจากที่ตัวกำลังรู้สึกอยู่เป็นอันว่าไม่นึกถึง เพราะเช่นนี้จึงเสียหูไปข้างหนึ่งเพราะน้ำมือของสามี ชายคนนั้นทำถูกที่ใช้กำลังเป็นเครื่องปราบส่องสี เขาเป็นคนฉลาดที่คิดถึงวิธีนั้นขึ้นได้ ตัวเขาเอง บันลือ หามีสติปัญญาที่จะปราบส่องสีให้อยู่มือไม่ แต่เขาก็ขอบคุณเทพยเจ้าตลอดทั่วรอบขอบจักรวาลที่มิได้บันดาลความฉลาดอันนี้ให้เกิดแก่เขา
เมื่อรถผ่านห้วยที่สอง ความเชื่อในแรงเครื่องยนต์และในความสามารถของผู้ขับได้ทำให้ความกลัวของผู้โดยสารถอยไปมาก และเมื่อมาถึงห้วยที่สี่ เขาเหล่านี้ได้สังเกตดูวิธีที่รถแล่นลงแล่นขึ้นด้วยความสนุก อันมีความหวั่นใจเจืออยู่ด้วยแต่เพียงเล็กน้อย ส่องสีมิได้กอดตัวบันลืออีก แต่มือของหล่อนยังเกาะแน่นอยู่ที่แขนของเขา และปากของหล่อนก็ยังคงบ่นพึมพำด้วยความเสียวไส้
จากห้วยสุดท้ายนี้ มองเห็นเขาใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาลูกยอดมีลักษณะเหมือนขวดปากบาน บันลือบอกแก่ผู้ที่ร่วมทางกับเขาว่า นั่นคือถ้ำค้างคาว รถแล่นต่อมาอีกครู่ใหญ่ก็ถึงเนินเขาและหมดทางที่รถจะแล่นผ่านต่อไปได้อีก
ทุกคนถอนใจยาวด้วยความโล่งอก เมื่อรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ได้มาถึงที่หมายโดยปลอดภัย บางคนบ่นว่าหิวบางคนบ่นว่ากระหายน้ำ บางคนเหยียดขาแก้เมื่อย เจริญปรารภแก่ภรณีว่า “อย่างนี้ถ้าพี่สาวเธอมาด้วยก็แย่นะ”
บันลือสั่งให้คนใช้นำตะกร้าอาหาร และของใช้ที่จำเป็นบางอย่างล่วงหน้าขึ้นไปก่อน เหลือไว้แต่น้ำซึ่งทุกคนกำลังออกปากแสดงความต้องการ เจริญห่วงปืนเป็นที่สุดที่แล้ว และหวังว่าจะได้ยิงสัตว์ใหญ่อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ร่ำไป บันลือรู้อยู่แก่ใจว่าบนเขานี้มีหมู่บ้านคนและมีคนงานมาทำการขุดมูลค้างคาวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นธรรมดาที่สัตว์ป่าย่อมไม่ออกมาให้เห็นตัวในเวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงเช่นนี้ เขาหัวเราะอยู่ในใจแต่ไม่ขัดคอเพื่อน ปล่อยให้เจริญแบกปืนแล้วก็เที่ยววางไว้ พิงไว้แล้วก็ต้องย้ายที่ใหม่ไม่หยุด เพราะคุณ ๆ ผู้หญิงเธอหวาดว่าปืนจะลั่นไปถูกเธอ
มุกดารับประทานน้ำแล้วก็ขอนั่งพักก่อนที่จะเดินขึ้นเขา ในที่นี้มีศาลาเล็กหลังคามุงด้วยไม้ พื้นทำด้วยไม้ไผ่ ไม่มีฝาทั้งสี่ด้านอยู่ศาลาหนึ่ง พี่น้องสามนางบรรจงไต่บันไดไม้ไผ่สองขั้นขึ้นไปนั่งอย่างเรียบร้อย ส่องสีเรียกร้องความช่วยเหลือของบันลือตามเคย และเมื่อขึ้นไปนั่งอยู่แล้วก็บ่นว่าเจ็บก้น เพราะพื้นศาลาต่ำ ๆ สูงๆ ไม่สม่ำเสมอกัน อากาศเย็นรื่นเป็นที่สบาย กล้วยไม้ออกดอกเป็นช่อระย้าอยู่บนไม้สูง นกใหญ่นกเล็กส่งเสียงเซ็งแซ่ บ้างบิน บ้างกระโดด บ้างเต้น บ้างจิกเอาอาหารจากพื้นดิน หญิงชาวพระนครส่งเสียงแสดงความตื่นเต้นและชี้ชวนให้กันดู ชายชาวพื้นเมืองหัวเราะเยาะความตื่นเต้นของหญิงชาวพระนครอยู่ในใจ
ภรณีเป็นคนสุดท้ายที่นึกถึงการพักผ่อนของตัวเอง หล่อนห่วงมากในการดื่มการบริโภคของผู้ที่มาด้วยกับหล่อน
เมื่อได้ปิดกระติกน้ำแข็งเรียบร้อย และส่งให้คนใช้คนหนึ่งไปแล้ว หล่อนจึงมองหาที่นั่ง บนศาลาน้อยมีคนนั่งห้อยเท้าในท่าสบายอยู่โดยรอบ และพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน หล่อนไม่มีความปรารถนาที่จะเข้าไปร่วมกับเขา ตรงกันข้ามต้องการจะหลบไปอยู่ในที่ใดที่หนึ่งโดยลำพัง แคร่สูงเก่าผุกว้างไม่ถึงศอก ตั้งอยู่ใกล้ร่มไม้ไกลออกไปจากหมู่คน ภรณีเดินตรงไปที่นั่นด้วยความยินดี
หล่อนไม่รู้สึกตัวว่าสายตาคู่หนึ่งมองตามหล่อนไปด้วยอย่างกระหาย สายตาคู่นั้นเห็นรูปโปร่ง เอวกลมและขาเรียวของหล่อนเป็นที่ต้องตา ความสัมผัสเสียดสีโดยปราศจากเจตนาของทั้งสองฝ่าย ในระหว่างชั่วโมงที่แล้วมา ได้ทำความรู้สึกประหลาดให้เกิดแก่ฝ่ายชาย เขาไม่มีความคิดอย่างอื่น นอกไปจากที่จะได้ถูกต้องร่างอันเป็นเสน่ห์นั้นอีก
แคร่สูง สูงเพียงระดับหน้าอกของภรณี อาศัยความเคยชินกับที่พักในป่าในดงเช่นนี้ ภรณีรู้ว่าหล่อนจะต้องใช้กำลังแขนยกตัวขึ้นบนพื้นแคร่จะใช้ขาใช้เท้าหาได้ไม่ วางมือสองข้างลงบนพื้นไม้อย่างใจเย็น คะเนระยะให้พอเหมาะกับการเกร็งข้อเพื่อยกตัว พอขยับจะใช้กำลังดังที่ตั้งท่าก็รู้สึกว่ามีมือสองข้างมาจับที่เอว หล่อนอุทานด้วยความตกใจ และหย่อนตัวให้เท้าทั้งสองลงจรดพื้นดินในทันที
“อ้าว ผมนึกว่าจะช่วยยกตัวคุณ” เสน่ห์กล่าวสีหน้าเรี่ย ๆ ในทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับร่างของภรณีเขามีความรู้สึกว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่สมควร
หล่อนมิได้ไหวไปถึงเจตนาหรือความรู้สึกของเขาเลย ความไม่พอใจของหล่อนที่แล่นเร็วดังสายฟ้านั้นเกิดความหวงตัวอันเป็นนิสัยที่เกิดแต่การฝึกของสตรีเมื่อความตกใจและไม่พอใจพ้นไป หล่อนเชื่อในคำพูดแสดงเจตนาดีของเขาอย่างสนิท ยิ้มกับเขาแล้วตอบว่า
“ไม่ต้องค่ะ ดิฉันขึ้นเองได้”
หล่อนหันกลับเข้าหาแคร่ ในชั่วพริบตาเดียวก็ขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อย
“เก่งมาก” เสน่ห์ชมโดยจริงใจ “ให้ผมนั่งด้วยคนได้ไหม ?”
หล่อนขยับตัวหลีกที่ให้เขา เสน่ห์ทำท่าอย่างเดียวกับภรณี แต่เขาคะเนความสูงของแคร่ผิดไปจึงพลาด เขาต้องปล่อยตัวลงบนพื้นดินดังเก่าแล้วพูดว่า “เอผมนี่สู้คุณก็ไม่ได้” เขาหัวเราะและพยายามใหม่อีกครั้งหนึ่งจึงสำเร็จ
ความรู้สึกอย่างใหม่เกิดขึ้นแก่เขาอีก เมื่อเขาได้นั่งคู่อยู่กับหล่อนแล้วในระยะห่างกันราวหนึ่งศอก ภรณีหันหน้าจากเขา มองไปในที่ไกล สีหน้าของหล่อนค่อนข้างขรึมมาก แต่มิได้ทำความหาตำหนิมิได้แห่งวงหน้าให้บกพร่องไป สีหน้าขรึมของหล่อนทำให้เห็นเป็นผู้ใหญ่ แต่ความละเอียดแห่งผิวและส่วนรวมของเค้าหน้ายังบ่งถึงความเป็นดอกไม้แรกบานของหล่อนอย่างเต็มที่ เขานึกสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่ได้พบหล่อนก่อนที่หล่อนจะได้เป็นของบันลือ
“เมื่อเล็ก ๆ คุณเรียนหนังสือที่โรงเรียนไหน ?” เขาถามขึ้น
หล่อนหันมามองดูเขา แล้วบอกชื่อโรงเรียนเก่าของหล่อน
“เอ ผมรู้จักพวกนักเรียนเก่าโรงเรียนนี้ตั้งเยอะแยะ ญาติของผมยังเรียนอยู่ที่นั่นก็มี ทำไมผมไม่ยักรู้จักคุณ”
หล่อนมีเหตุผลที่จะให้แก่เขาหลายอย่าง แต่เลือกเอาอย่างที่สั้นที่สุดและง่ายที่สุดขึ้นกล่าว “ดิฉันเป็นนักเรียนประจำค่ะ แล้วเวลาโรงเรียนหยุดก็ไปอยู่หัวเมือง”
เขานึกขึ้นได้ว่าเขาได้ยินความข้อนี้มาแล้ว รวมทั้งข้ออื่น ๆ อีกมาก เมื่อเขาเดินทางมากับพี่และน้องของบันลือ เจ้าหล่อนทั้งสามได้กล่าวขวัญถึงภรณี และเรื่องราวของภรณีอยู่พักใหญ่แต่เขาไม่ได้สนใจจำ หรือที่แท้เขาฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง จึงไม่สามารถที่จะปะติดปะต่อข้อความที่ได้ยินให้เป็นเรื่องเป็นราวได้
“พอออกจากโรงเรียนก็แต่งงาน ?” เขาถามต่อ
“โอ๊ะ ดิฉันออกจากโรงเรียนทั้งห้าปีมาแล้ว”
“ระหว่างนั้นคุณไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน จนกระทั่งบันลือไปค้นพบ ? หมอนั่นเคราะห์มันดีพิลึก!”
ภรณีก้มลงดูแผ่นดิน ชื่อบันลือเปรียบประดุจคมกริชตัดความรู้สึกใจชื้นเพราะความใหม่ ความแปลก ความสดชื่นแห่งธรรมชาติขาดป่นไปทันที
เสน่ห์มองดูหล่อนโดยเพ่งเล็งยิ่งขึ้น เขารู้สึกถึงความผิดปกติแห่งอารมณ์ของหล่อนและสนเท่ห์อยู่ในใจ เขาชอบความไม่เอาใจใส่ในตัวเขาที่ปรากฏชัดในกิริยาของหล่อนบัดนี้ เพราะเป็นโอกาสที่เขาจะใส่ใจในหล่อนได้ข้างเดียวโดยไม่ต้องระวังกิริยา
แต่ในทันใดนั้นเอง มีอุปสรรคมาขัดความพอใจของเสน่ห์ เสียงบันลือพูดดังมาก ดังผิดปกติที่ผู้หนึ่งผู้ใดในที่นั้นเคยได้ยิน
“เชิญออกเดินเจ้าข้า ท่านที่แยกย้ายกันไปหาความสำราญในที่ต่าง ๆ เชิญออกเดิน”
บันลือมิได้พิเคราะห์ใจของตัวเองว่าเหตุใดจึงพูดดังนี้ และไม่รู้สึกด้วยว่าใจของตนเกิดพลุ่งพล่านขึ้นด้วยโทสะ
เขาออกเดินนำหน้าไป โดยไม่แยแสต่อเสียงโอดครวญของส่องสีซึ่งร้องว่า ทางชันหล่อนเดินไม่ไหว เดินอย่างเร็วไปจน ๒๐ เมตรกว่า จึงหยุดและหันมาดูทางเบื้องหลัง ทางนี้ชันจริง และเป็นทางหินมีตอนที่ลื่นและขรุขระเป็นตอน ๆ แต่ก็เป็นทางที่ผู้หญิงแม้อ่อนแอที่สุดก็ย่อมจะเดินได้ ไม่ถึงกับต้องมีผู้ช่วยฉุดช่วยจูง แน่ใจดังนั้นแล้วบันลือเดินต่อไปอีกด้วยฝีเท้าธรรมดา
สิ้นระยะทางไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เขาหยุดอีกควักผ้าเช็ดหน้าออกเช็ดเหงื่อ ลมเย็นพัดมาต้องทำให้เกิดความรู้สึกชุ่มชื่น ความขุ่นมัวของบันลือค่อยคลายไป
บัดนี้เขารู้สึกตัวแล้วว่าสิ่งใดทำให้เขาพื้นเสีย “ไอ้บ้า! เขาบ่นในใจ “เห็นผู้หญิงไม่ได้ มันให้น้ำลายหยดไปเสียหมด”
มองดูไปยังแถวคน ที่เดินมาใกล้เขาทีละน้อย ๆ ยิ้มออกมาได้ด้วยความขัน เมื่อเห็นเจริญอยู่หลังแถวที่สุด และยังห่างจากแถวมากเสียด้วย เพราะมีส่องสีเป็นลูกตุ้มถ่วง ภรณีเดินอยู่ใกล้ไพฑูรย์ เสน่ห์เดินข้างภรณี “คนหนึ่งก็สำออยจนคลื่นไส้ อีกคนหนึ่งก็—” เขาต่อความรำพึงของตัวเองไม่ถูก เขาจะโกรธหล่อนเพราะเหตุที่หล่อนไม่ออกปากบ่นเรื่องความลำบากแม้แต่สักคำเดียวกระนั้นหรือ ! ลองคิดถึงว่า ถ้าหล่อนเกิดความต้องการผู้ช่วย ผู้พยุง และเสน่ห์จะเป็นผู้ยื่นแขนให้หล่อนเกาะ—“ไอ้เรามันก็สัตว์ตัวผู้” เขาปรารภพร้อมกับยิ้มอย่างระอา
ความจริงกิริยาที่เสน่ห์แสดงต่อภรณี ไม่มีลักษณะผิดแปลกอันควรที่ผู้ใดจะถือเป็นข้อสังเกตแม้แต่สักนิดเลย เสน่ห์ชอบผู้หญิงเป็นที่สุดแล้ว เขามีเพื่อนชายกี่คน เพื่อนเหล่านั้นคนหนึ่ง ๆ มีพี่น้องผู้หญิงกี่คน เสน่ห์ย่อมจะหาช่องทำความรู้จักกับเจ้าหล่อนได้ไม่ขาดจนคนเดียว และผู้หญิงส่วนมากก็ชอบเขาด้วย ข้อนี้เพื่อนของเสน่ห์ทุกคนย่อมจะรู้ดี ในเวลาที่บันลือไปถึงสถานีรถไฟเพื่อรับพี่น้องของเขานั้น เขาพบโทรเลขของเสน่ห์คอยเขาอยู่ มีใจความสั้น ๆ ว่า “มาด้วยคน” เขาไม่มีความรู้สึกอย่างอื่น นอกจากนึกขันนิสัยของเพื่อนคนนี้ นึกจะทำสิ่งใดก็ทำตามความพอใจ หาความสุขสบายได้เป็นนิจ ทั้งไม่มีผู้ใดคิดจะติเตียน หรือตั้งข้อรังเกียจการกระทำของเขา บางทีพี่น้องของบันลือจะได้ชักชวนเสน่ห์ให้ร่วมทางมากับหล่อน เพื่อความสนุก และเสน่ห์ก็พอใจที่จะทำตามความประสงค์ของเพื่อนหญิงตามเคยของเขานั่นเอง ครั้นเมื่อเสน่ห์มาพบปะพูดจากับภรณี ซึ่งเป็นสาวที่สุดในบรรดาหญิงหกคนที่อยู่ด้วยกันและ—และสวยที่สุดด้วย ก็เป็นธรรมดาที่เขาต้องเกิดความพอใจที่จะใกล้ชิดหล่อนยิ่งกว่าคนอื่น
ระยะทางตั้งแต่ที่รถจอดจนถึงที่พักยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร ตัวที่พักเป็นศาลาใหญ่ กว้างขวางและเย็นสบาย ผู้เดินทางนั่งพัก พอหายเหนื่อยแล้วก็รับประทานอาหาร ในระหว่างนี้บันลือสนทนากับชาวถิ่น ผู้ซึ่งทำงานอยู่บนเขา ๒–๓ คนไปพลาง ส่วนคนอื่นๆ ปรารภกันถึงการที่เขาจะขึ้นไปให้ถึงถ้ำ เพราะทางระยะแรกซึ่งเขามองเห็นได้จากที่พักก็ทำให้ฝ่ายผู้หญิงบางคนหมดหวังที่จะขึ้นได้เสียแล้ว มุกดาร้องว่า “ฉันยอมแพ้” ไพฑูรย์ก็ส่ายหน้าส่องสีนั้นรบเร้าขอให้ทุก ๆ คนล้มความคิดที่จะขึ้นไปดูถ้ำเสียทีเดียว และเมื่อเห็นมรกตทำท่ายึดมั่นอยู่ในความตั้งใจที่ว่า “มาแล้วต้องดูให้เห็น” และภรณีก็มีสีหน้าอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงความคิดคล้ายคลึงกับมรกต ส่องสีก็ตั้งหน้าอ้อนวอนบันลือให้อยู่เป็นเพื่อนหล่อน “ใครเขาเก่งก็ให้เขาขึ้นไปก็แล้วกัน เธออยู่เป็นเพื่อนคนไม่เก่งซี” หล่อนว่า “ไปกันเสียหมด พวกที่อยู่จะอยู่กับใครล่ะ ?”
“ก็ถ้าเผื่อผมไม่ไปด้วย คนที่จะขึ้นไปจะไปได้ยังไง ?” บันลือย้อนถาม
“ก็คนอื่นถมไป พวกนี้น่ะ....” ส่องสีพยักหน้าไปทางชาวพื้นเมืองสองคน ซึ่งเป็นคนงานของบันลือ “พวกนี้ขึ้นเขายังกับจิ้งจกไต่ฝาแล้วก็คุณเจริญคุณเสน่ห์อีกล่ะ”
“คุณจะขึ้นจริงๆ รึ?” เสน่ห์ถามภรณี
“ถามคุณกลาง” ภรณีตอบ
“คุณเขียว คิดดูให้ดีนา” เสน่ห์ว่า “นั่นมันไม่ใช่กระได รูปร่างมันก็พะองเราดี ๆ นี่เอง ดูซิ แล้วมันสูงคอตั้งบ่า คุณไต่พะองเป็นหรือ ?”
“ถ้าพี่ปุ๊บอกว่าขึ้นได้ ฉันก็ขึ้นได้เหมือนกัน”
“ขวัญดี ๆ ขึ้นได้” บันลือพูด “ข้อสำคัญอย่าทำมืออ่อนตีนอ่อนง่าย ๆ เท่านั้น ขึ้นกระไดโตกว่าพะองนิดหน่อย แต่ช่วงยาวกว่าพะองมาก มีอยู่ ๗๘ ขั้น ประเดี๋ยวลองไปขึ้นดูสัก ๗–๘ ขั้นก่อนซี ถ้าเชื่อตัวว่าขึ้นได้ก็ขึ้นไป ถ้าใจไม่ดีก็อย่าขึ้นดีกว่า”
“๗๘ ขั้น” เสน่ห์พึมพำ “อย่าขึ้นไปเลยน้า”
“ลื้อเองน่ะแหละ อย่าขึ้นไปดีกว่า” เจริญว่า “เห็นอยู่แล้วไม่ใช่ที่เรียบๆ อย่างโรงเต้นรำ อยู่เป็นเพื่อนคุณส่องสีเถอะ บันลือน่ะ เมียเขาจะขึ้น เขาจะปล่อยให้ไปกับคนอื่นยังไง”
แล้วเจริญมองดูส่องสีเต็มตา นับแต่เวลาแรกที่เจริญได้ทำความรู้จักกับส่องสีในรถไฟ จนกระทั่งถึงเวลานี้ ความคิดของเจริญที่เกี่ยวกับส่องสีได้เปลี่ยนลักษณะไปหลายอย่างจากความสนเท่ห์เพราะเห็นแปลก อย่างที่บุคคลพึงรู้สึกแปลก เมื่อพบสิ่งที่ตนไม่เคยรู้จักมาแต่ก่อน ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงเป็นความเห็นขัน ครั้นเมื่อได้ขันเสียจนเบื่อ ความข้นก็เปลี่ยนเป็นความรำคาญ ต่อจากนั้นก็เป็นไปตามกฎธรรมดา เมื่อบุคคลหนึ่งรำคาญบุคคลหนึ่งบ่อยนัก ภายหลังจะเกิดความดูถูกผู้ที่ตนรำคาญ เจริญกระหายมานานแล้วที่จะเตือนส่องสีว่า ภรณีเป็นภรรยาของบันลือ ถ้าเขาไม่เกรงใจส่องสีในข้อที่เป็นหญิง เขาจะบอกแก่หล่อนอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเห็นหล่อนเป็นผู้หาความคิดมิได้
เสน่ห์มีอาการลังเล เขาเป็นผู้ไม่มีนิสัยชอบการผจญภัย และไม่ชอบความลำบากกายเพื่อเหตุใดเลย ถึงแม้จะได้ร่วมทางไปกับภรณี แต่เป็นการร่วมโดยได้รับความลำบากไปด้วยกัน เขาไม่รู้สึกศรัทธานัก ในที่สุดจึงพูดอ่อยๆ ว่า
“อยู่ก็ได้ ที่จริงผู้ชายไปกันเสียหมด ผู้หญิงก็ว้าเหว่”
เรื่องการขึ้นเขาชั้นที่สองที่สามเป็นอันยุติอยู่เพียงนี้ การสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เจริญเล่าถึงความสนุกสนานในการเข้าป่ายิงสัตว์ให้พี่น้องของบันลือฟัง ต่อจากนั้นอีกครู่ใหญ่บันลือก็ชักนาฬิกาออกดูและพูดขึ้นว่า
“สี่โมงแล้วคณะใจเด็ดควรจะออกเดิน สายไปกว่านี้จะร้อนจัดมากไป แล้วจะขึ้นไปหิวอยู่บนโน้น เพราะว่ากว่าจะกลับลงมาถึงนี่อีกก็ราว ๆ บ่ายโมง”
มรกตหันมาพยักหน้ากับภรณีพลางกล่าวว่า “ไปเราเป็นพวกใจเด็ด” แล้วหล่อนจัดผม จัดเสื้อผ้า และรองเท้าให้กระชับขึ้น
ชาวถิ่นผู้ชำนาญทางคนหนึ่ง กับคนของบันลือคนหนึ่ง มือถือกระติกน้ำเย็น ไต่บันไดซึ่งมีลักษณะเป็นพะองขึ้นไปก่อน ต่อจากนั้นก็ถึงบันลือ มรกต และภรณี เจริญยังยืนอยู่กับผู้ที่มายืนดู แหงนคอมองดูผู้ที่กำลังไต่บันได ออกนึกเสียวไส้แทนหญิงทั้งสอง ในระหว่างที่อยู่บนบันไดนี้ต่างคนต่างต้องช่วยตัวเอง ถ้าผู้อื่นพยายามช่วยกลับจะเป็นการเกะกะแก่การยึดเหนี่ยวและการก้าวเท้ายิ่งขึ้น บันลือหันหน้ากลับมาดูผู้ที่อยู่ข้างหลังเขาบ่อย ๆ และเตือนด้วยเสียงที่ช่วยให้ผู้ฟังใจชื้น “ใจเย็น ๆ อย่ามองลงไปดูข้างล่าง” ในใจเขาเองนั้นเขารู้สึกเช่นเดียวกับเจริญ ถ้าเจ้าหล่อนคนใดคนหนึ่งพลัดตกลงไป—เขาเกือบจะเสียใจที่มิได้คัดค้านความตั้งใจของหล่อนเสียแต่ต้นมือ
ราวเกือบครึ่งชั่วโมง มรกตจึงพ้นจากขั้นบันไดขึ้นยืนในทางแคบริมเขาได้เรียบร้อย ภรณีตามขึ้นมาในระยะติดกันแล้วยืนรอเจริญอยู่ครู่หนึ่ง มรกตสารภาพว่าขาของหล่อนสั่นเทา และต้องการที่นั่งเป็นอย่างยิ่ง เหงื่อออกชุ่มตามตัวหล่อน ภรณีไม่ปริปากว่ากระไร แต่บันลือเห็นว่าผิวหน้าของหล่อนแดงดังผลตำลึงสุก
ทางต่อไปเป็นทางแคบเฉพาะตัวคน และโค้งไปตามริมเขา ทั้งมิใช่ทางร่มรื่นดังทางเบื้องล่าง พ้นจากนั้นไปเป็นทางชันจัด เกือบจะเรียกได้ว่าตั้งสูง เหลือความสามารถที่หญิงผู้เคยเดินแต่บนถนนในเมืองจะยันเท้าและทรงตัวไว้ได้ มรกตร้องเรียก “พี่ปุ๊” เสียงขรม แล้วคว้าแขนเขาไว้มั่นในทันที เขาเหลียวมาดูหล่อน เขาต้องนำตัวของเขาออกนอกทาง เพื่อจะจูงหล่อนให้เดินเคียงไปกับเขา จูงคนหนึ่งอยู่แล้วใจก็เป็นห่วงอีกคนหนึ่งยิ่งนัก นึกชมความกล้าแข็งของเจ้าหล่อนผู้นั้น แต่ทั้งที่นึกชมและเชื่อความกล้าแข็งของหล่อน เขาทนความเป็นห่วงที่วาบ ๆ อยู่ในใจไม่ได้นาน ก็หันไปกล่าวแก่เพื่อนว่า
“เจริญ ช่วยน้องสาวแกหน่อยซี ทางตรงนี้ไว้ใจไม่ได้ ลื่นเหลือเกิน นี่ค่าที่ฝนตกมากน่ะเอง แต่ก่อนไม่เคยลื่นมากอย่างนี้”
เดินบ้างหยุดบ้าง บ่นไปบ้างคุยไปบ้าง บางคราวก็ลื่นไถลจวน ๆ จะล้ม ก็อุทานแสดงความตกใจไปบ้าง ทั้งชายทั้งหญิงมีเหงื่อชุ่มโชกไปด้วยกัน แต่ทั้งที่เหนื่อยแสนเหนื่อย กลัวแสนกลัว ไม่รู้ว่าเท้าของตนจะพลิกแพลงเอากับตนเมื่อไร ทั้งมรกตและภรณีไม่แสดงความรู้สึกให้ออกนอกหน้า คนหนึ่งเกาะอยู่กับพี่ชาย มีความเบิกบาน เพราะได้เขาเป็นผู้คุ้มครองและเชื่อมั่นในความคุ้มครองของเขา คนหนึ่งทิษฐิมานะแรงกล้า แม้มีผู้เตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ก็แสดงว่าตัวเป็นผู้ไม่ต้องการความช่วยเหลือของใคร
๕๕ นาทีเต็มเขาพากันมาถึงที่หมาย เป็นลานกว้างริมลูกเขาอันสูง พื้นที่ประกอบด้วยหิน ดินทราย และมูลค้างคาวที่ทับถมกันอยู่นานจนกลายเป็นดินชั้น ๆ จะหาต้นไม้เป็นที่พักร้อนแม้แต่สักต้นก็ไม่มี มรกตแสดงความประหลาดใจ เมื่อไม่เห็นสิ่งประหลาดชวนดูแม้แต่สักสิ่งเดียว บันลือหัวเราะแล้วตอบว่า
“ก็พี่บอกตั้งแต่เมื่ออยู่บ้านแล้วว่า ไม่มีอะไรน่าดู ว่าถึงประหลาดทำไมจะไม่ประหลาด มีคนกี่คนเคยเห็นถ้ำค้างคาวใหญ่ ๆ ถึงกับมีขี้ให้ขนปีละหลาย ๆ สิบลำเรือ”
“แล้วปากถ้ำอยู่ที่ไหนล่ะคะ ? เราเข้าไปได้ไหม ?”
เขาตอบพร้อมกับหัวเราะอีก “ไอ้เนินสูงทั้งลูกนี่แหละคือตัวถ้ำ ปากถ้ำอยู่ตรงนี้ พอเลี้ยวไปก็เห็น แต่เราต้องหยุดอยู่จนหายหอบเสียก่อน ถ้าไม่ยังงั้นจะสำลักตาย มันเหม็นเหลือที่จะทนทาน เพราะยังงั้นไอ้เรื่องที่จะเข้าไปในถ้ำน่ะออกสงสัย”
“อ้อ ไอ้ขี้ค้างคาวกองโต ๆ ที่บ้านแกน่ะ เอาไปจากที่นี่เองสิ !” เจริญถาม
บันลือพยักหน้า แล้วเขาอธิบายถึงวิธีที่คนงานเข้าไปขุดและขนมูลค้างคาวในถ้ำ มีโคมให้ความสว่างและเครื่องมือในการขุดการขน คนงานคนหนึ่ง ๆ จะทนอยู่ในถ้ำนานกว่า ๑ ชั่วโมง หาได้ไม่ “รางที่เขาเทมันลงไปข้างล่างอยู่ตรงนั้น” เขาบอกในตอนท้าย และชวนให้ผู้ฟังเดินไปดู
ต่อจากนั้นเขาอธิบายการขนส่ง เมื่อมูลค้างคาวได้ถูกเทลงไปรวมอยู่ที่เชิงเขาแล้ว ใช้เกวียนหรือรถยนต์บรรทุกต่อไปโดยระยะทาง ๓๗ กิโลเมตร แล้วจึงถ่ายลงเรือ ล่องลงไปยังพระนคร
“เอ เราออกจากราชการแล้วมาถางป่าแถวนี้ทำไร่มั่งท่าจะดี” เจริญกล่าว ใช้มือป้องหน้ามองดูภูมิประเทศเบื้องต่ำโดยรอบ
“ฮะ ฮะ!” บันลือว่า “นี่แปลว่านายจะยอมเรียกฉันว่าพ่อยังงั้นรึ ?”
เจริญหันมามองดูด้วยความสงสัย ครั้นนึกขึ้นได้ก็หัวเราะแล้วตอบว่า
“เออน่า อย่าเพิ่งคุยโตไป ว่ากันไว้สามปีไม่ใช่รึ ? ให้มันสามเสียก่อนซี”
“ก็แน่ละ แต่การที่นายเกิดจะอยากมาเป็นชาวไร่ แถบนี้ ก็เพราะนายเกิดเชื่อขึ้นมาแล้วว่า งานของฉันมันจะเจริญได้ใช่ไหมล่ะ ?”
“เฮ้ย มันสำคัญที่แม่ย่านางหรอกเพื่อน แม่ย่านางดีอยู่ที่ไหนอยู่ด้วยกันได้ ทำไมงานจะไม่เจริญ”
บันลือยกมือขึ้นแตะหมวก กล่าวว่า “ยอมให้” แล้วก็ยิ้มและหันไปดูภรณี แต่เจ้าหล่อนหันหลังให้เขา กำลังพูดอยู่กับมรกต
บันลือเห็นว่าทุกคนหายใจเป็นปกติดีแล้ว จึงชวนให้เดินต่อไป เลี้ยวจากที่โค้งตอนหนึ่งมองเห็นลานใหญ่เป็นแห่งที่สองตามริมนอกแห่งลาน มีรั้วไม้กั้นอยู่โดยรอบ คนงานหน้าซูบซีดมองเห็นผิวเป็นสีเหลืองแกมเขียว นั่งและยืนอยู่หลายคน เดินใกล้เข้าไปอีก มรกตสะดุ้งทำท่าจะสำลักจริงดังที่บันลือบอกล่วงหน้าไว้ หล่อนหันหลังกลับและวิ่งออกไปทางเก่า คนงานเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะ เจริญแข็งใจเดินเข้าไปจนใกล้ปากถ้ำ และพยายามก้มมองฝ่าความมืดเข้าไปภายใน ภรณีหยุดยืนอยู่ในที่ต้นทางนั้นเอง บันลือหยุดยืนอยู่กับหล่อน มีความรู้สึกคล้ายกับว่า นี่เป็นครั้งแรกระหว่างเวลา ๔๘ ชั่วโมงมานี้ที่เขากับหล่อนได้พบกัน แต่สถานที่อันหาความสบายมิได้ และแม้แต่อากาศบริสุทธิ์ก็ไม่มีพอที่จะให้เขากับหล่อนหายใจ ทำให้เขาสิ้นความคิดที่จะปราศรัยกับหล่อน