๑๕

ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนั้นย่อมเป็นผู้ทำปัตตกรรม ๔ ประการ—

อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เลี้ยงตน เลี้ยงมารดา บิดา, บุตร ภรรยา บ่าว คนอาศัย เพื่อนฝูง ให้เป็นสุขเอิบอิ่มสำราญดีด้วยโภคทรัพย์ ที่ได้มาด้วยความหมั่นขยัน ที่สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน ที่ต้องทำงานจนเหงื่อไหล ที่ชอบธรรม ที่ได้มาโดยธรรมนี้ เป็นปัตตกรรมประการหนึ่งของอริยสาวกนั้น เป็นการชอบแก่เหตุแล้ว เป็นการสมควรแล้ว เป็นการใช้ (โภคทรัพย์) โดยทางที่ควรใช้แล้ว

 

อำนาจแห่งแสงและสีทำให้ตาพร่า ค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ๆ ภรณี เริ่มมองเห็นคนเป็นคน ชัดเจนขึ้นทีละคนสองคน เห็นตัว เห็นหน้า เห็นเสื้อผ้าที่เขาใส่ เขาเหล่านั้นมากคนด้วยกัน เฉพาะแต่ที่ร่วมโต๊ะกับหล่อน ก็ดูเหมือนประมาณสัก ๑๕–๑๖ คน ส่วนที่โต๊ะรอบนอก ซึ่งล้อมโต๊ะหล่อนอยู่สามด้านอีกเล่า ทั้งหญิงทั้งชายน่าจะไม่น้อยกว่า ๕๐–๖๐ คน

เสียงห้าว แต่อ่อนละมุนละม่อม พูดอยู่ที่ข้างหูหล่อน เสียงนี้ทำให้ภรณีกลับมีอำนาจเหนือประสาทของหล่อนเอง ประสาทที่ได้มึนชาไปเพราะความตื่นเต้น ความประหม่าและความกลัว

เสียงนี้บางทีก็กังวานไปไกลหน่อย กังวานไปทางซ้าย กังวานไปทางขวา กังวานไปทางข้างหน้า แต่กังวานไปทางใดก็ตาม ภรณีไม่มีความรู้สึกว่าเสียงนั้นดังขึ้นกว่าเมื่อพูดอยู่กับหล่อน เหตุไฉนผู้อยู่ไกลถึงปลายโต๊ะก็ฟังได้ยินถนัด ?

ครั้งแรกที่เสียงกังวานขึ้นเบา ๆ สำหรับหูหล่อนโดยเฉพาะแต่ผู้เดียวนั้น เป็นคำถามว่า

“ร้อนไหม ?”

หล่อนตอบว่าไม่ร้อน ที่จริงหล่อนไม่รู้ตัวว่าร้อนหรือหนาว รู้สึกแต่เพียงว่ามือทั้งสองข้างชื้นไปด้วยเหงื่อ

“ที่จริงถ้าเราเลี้ยงกันสัก ๒๐ คน อากาศในห้องนี้กำลังดีทีเดียว นี่คนมากไป ๒ เท่า เครื่องดูดอากาศไม่พอกับจำนวนคน”

หล่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อดูว่าวัตถุที่เขากล่าวถึงนั้น รูปร่างเป็นอย่างไร ดูไปจนทั่วทั้งที่ฝาผนัง ทั้งบนเพดานที่พอจะดูได้โดยไม่ต้องแหงนคอ ก็ไม่เห็นสิ่งใดมีลักษณะควรแก่ชื่อวัตถุที่เขากล่าว แล้วการค้นหาวัตถุนั้นทำให้เกิดความสังเกตว่าไม่มีดวงไฟปรากฏอยู่ในห้องนี้แม้แต่ดวงเดียว แต่แสงสว่างสีชมพูแกมเหลืองก็ส่องอยู่ทั่วทั้งห้อง ทันใดนั้นหล่อนเกิดความรู้สึกว่า ตนของตน ช่างหูป่าตาเถื่อนยิ่งนัก แล้วรู้สึกต่อไปว่า ตนเป็นผู้ต่ำด้อยจนเหลือที่จะประมาณ เมื่อเทียบกับเขาผู้ที่นั่งอยู่ทางเบื้องซ้ายของตัว เขากำลังโต้ตอบอยู่กับผู้ที่อยู่คนละฟากโต๊ะเยื้องไปทางเบื้องขวาของหล่อน หล่อนลอบมองดูเขาได้โดยเต็มตา ความพิศวงแล่นเข้าจับใจ เป็นไปได้หรือที่เขาผู้นี้เป็นคู่หมั้นของหล่อน และ—จะเป็นของหล่อนโดยแท้จริงตามกฎหมาย และตามประเพณีนิยมภายในสองวันข้างหน้า ? ตลอดทั้งตัวของเขามีส่วนที่หล่อนอยากจะติอยู่นิดเดียว ดวงตาของเขามีลักษณะที่ทำให้หล่อนกลัว เขาควรจะหรี่ประกายตาของเขาลงเสียบ้าง เมื่อเขามองดูหล่อน

กังวานแห่งเสียงอันกลม และนุ่มนวล ตั้งอยู่ที่ข้างหูหล่อนอีก

“ต้องการเกลือไหม ? ซ้อสสำหรับปลานี่ออกจะอ่อนเค็มไปหน่อย” เขาหยิบถ้วยเกลือส่งให้หล่อน

“คุณ คุณ บันลือ !”

เขามองไปทางเสียงที่เรียกเขา “ขอโทษ ไม่ทันได้ยิน”

“แล้วกัน ! หูเหืองอื้อหมด ตาก็จะฟางไปเสียด้วยก็ไม่รู้”

“โธ่ เป็นใครบ้างใครก็ฟาง” เสียงออกรับมาจากอีกทางหนึ่ง

“เพียงแต่ฟางน่ะ ยังน้อยไปเสียอีกนะนา !” เสียงข้างภรณีตอบ

อีกครู่หนึ่งเสียงนี้ชวน “รับประทานถั่ว” เขาหยิบจานเชิงน้อยที่ใส่ถั่วส่งให้หล่อน

ภรณีมองไปตรงหน้าโดยเร็ว วิธีที่จะให้ถั่วออกจากภาชนะนั้นเขาทำกันอย่างไร และก่อนที่ถั่วจะเข้าปากจะต้องพักอยู่ที่ไหน มองไปไม่เห็นตัวอย่าง หล่อนจึงปฏิเสธ

“ไม่รับประทานค่ะ ขอบคุณ”

บันลือ หยิบถั่วปากอ้าใส่ไว้ในจานขนมปังของเขา ๒–๓ ซีก แล้วส่งต่อไปให้สุภาพสตรีที่อยู่ต่อไปทางเบื้องซ้าย เมื่อเจ้าหล่อนผู้นั้นหยิบไว้แล้ว และเขาเองก็ได้รับประทานแล้วด้วย เขายกจานเชิงน้อยกลับมาวางให้ตรงหน้าภรณีอีก

“ลองหน่อย กรอบดีนะ หรือไม่ชอบ ?”

คราวนี้ภรณีไม่ปฏิเสธ

เมื่อผู้รับใช้นำห่านอบมาเลิฟ และภรณีได้แบ่งไว้ครบเครื่องด้วยความรู้สึกเชื่อในความรู้ของงานดีขึ้นกว่าเก่ามากแล้ว เสียงที่เพราะหูหล่อนได้ถามขึ้นอีก

“โดยปกติชอบรับประทานกับข้าวฝรั่งไหม ?”

“บางทีก็ชอบ”

“แล้วขยันทำด้วยหรือเปล่า ?”

หล่อนนึกถึงเวลายังอยู่โรงเรียน ชั่วโมงสำหรับการครัวเป็นชั่วโมงที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินมากและหล่อนสามารถที่จะประกอบอาหารฝรั่งได้หลายอย่าง แต่เมื่ออยู่บ้าน—หล่อนตอบตามตรง

“ขยันค่ะ แต่ที่บ้านขาดเครื่องมือ”

“พี่สาว—พี่มุกดาแน่ะเก่งทางนี้ อ้อ จิตราอีกคนหนึ่งยังไงล่ะ ผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น เรื่องเครื่องมือเห็นจะหาเก่ง”

แล้วเขาย้ายความสนใจของเขาไปเฉลี่ยให้แก่แขกคนนั้นคนนี้บ้าง แล้วแต่แขกคนใดจะพูดเท้าความมาเกี่ยวข้องกับตัวเขา บางทีเขาหันมาทางหล่อน เป็นเชิงขอให้แสดงความเห็นในเรื่องที่เขากำลังโต้ตอบอยู่ ภรณียังไม่กล้าพอจะทำดังที่เขาเชิญชวนด้วยกิริยา ก็ยิ้มแทนคำตอบไว้พลางก่อน ระหว่างนี้หล่อนเริ่มจับเสียงดนตรี ที่บรรเลงอยู่ในกระโจมหน้าตึกได้บ้าง เป็นเสียงเพลงทำนองเรียบ ๆ ไม่ดังนัก ไม่ค่อยนัก พอฟังได้เพราะหู แล้วสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ทางขวาหล่อนก็ชวนหล่อนพูดบ้าง แต่เขาพูดเรื่องภาพยนตร์ซึ่งหล่อนไม่มีความรู้ที่จะโต้ตอบกับเขาได้เลย ไม่ช้าเขาก็หันไปพูดกับหญิงอีกคนหนึ่งทางเบื้องขวาของเขา ภรณีไม่เสียใจ หล่อนต้องการจะฟังคำพูดจากเสียงที่เพราะหูหล่อน มากกว่าที่จะพูดเอง หรือตั้งใจฟังเสียงอื่น และสมองของหล่อนกำลังเริ่มแจ่มใสขึ้น พอที่จะสนใจในบุคคลที่อยู่รอบข้าง ไม่ต้องสงสัย เขาเหล่านั้นทุกคนย่อมรู้จักแล้วว่าหล่อนเป็นใคร ฝ่ายหล่อนไม่รู้จักเขา มีนามหลายนาม ทั้งนามหญิงนามชายอยู่ในความจำของภรณี เพราะมีผู้กล่าวแนะนำให้หล่อนรู้จักเมื่อแรกที่เจ้าของนามมาถึง แต่เขาเหล่านี้เมื่อได้รับการแนะนำแล้ว เกือบไม่มีสักคนเดียวที่ได้หยุดสนทนาอยู่กับหล่อน เขาทักหล่อน หรือเพียงแต่ยิ้ม หรือก้มศีรษะให้แล้วก็หันไปทักทายกับคนอื่น ๆ ที่รู้จักคุ้นเคยกันต่อไป ทั้งที่ภรณีมีสติไม่มั่นคง หล่อนก็อดมิได้ที่จะรู้สึกว่า ถึงแม้เขาจะสนทนากันอยู่ทางหนึ่ง แต่สายตาของเขาจับจ้องสังเกตสังกาหล่อนอยู่ ตัวหล่อนเองนั้น เมื่อเขาห่างจากหล่อนไปแล้ว หล่อนจะผสมนามเข้ากับตัวเจ้าของนามก็ผสมไม่ถูก แต่บัดนี้โดยการได้ฟังคนนั้นเรียกคนนี้ คนนี้ออกนามคนโน้น หล่อนรู้จักเขาขึ้นทีละคนสองคน จนเกือบครบตัวผู้ที่ร่วมโต๊ะอยู่กับหล่อน

ในระหว่างการรับประทานของหวาน ซึ่งมีไอสครีมกับขนมฝรั่ง ได้มีผู้ชวนดื่มสำหรับความสุขของเจ้าของบ้าน และเจ้าสาวในอนาคตของเขาด้วย มีผู้ถามแซงขึ้นว่า “อนาคตใกล้หรือไกล ?” เจ้าของบ้านตอบในเสียงหัวเราะ “ไม่ใกล้นักไม่ไกลนัก” เขาไม่ได้บอกกำหนดวันแต่งงานที่เขากะไว้แก่แขกคนหนึ่งคนใดเลย เมื่อตอบไปแล้วเขาหันมายิ้มกับเจ้าสาวในอนาคตของเขาอย่างเป็นกันเอง

สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้นโดยเร็ว ความรู้สึกประหลาดซ่านไปทั่วทั้งตัว

ต่อจากนี้ ผู้รับใช้ได้นำกาแฟมาเสิร์ฟ

ครั้นแล้ว เสียงขาเก้าอี้กระทบพื้นห้องหรือครูดกับพื้นห้อง ซึ่งดังขึ้นซ้อนเสียงพูดอันแซ่แต่เบา รวมกับภาพแห่งบุคคล ๖๐–๗๐ คน ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างไม่เร่งร้อน แต่ถึงกระนั้นก็ดูเป็นภาพที่พลุกพล่านแก่ตาอยู่บ้าง ทำให้ภรณีตื่นจากอารมณ์อันคล้ายอารมณ์ของผู้ที่หลับ และฝันเห็นความวิจิตรของสิ่งต่าง ๆ หลายสิ่งพร้อมกัน ภรณีเกือบจะเป็นคนสุดท้ายในโต๊ะกลางนี้ที่ลุกจากที่นั่ง คู่หมั้นของหล่อนได้จับเก้าอี้เลื่อนที่ให้ด้วยท่าทางอันสุภาพงดงาม พ้นจากที่นั่งแล้วหล่อนชำเลืองดูเขา ไม่แน่ใจว่าควรจะกล่าวคำขอบคุณเขาหรือไม่ ในที่สุดหล่อนไม่กล่าว บรรดาแขกได้เข้ารวมกันเป็นหมู่ ๆ ความวิตกเกิดขึ้นแก่ภรณี หล่อนจะต้องผจญกับความรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้งเหมือนที่ได้ผจญเมื่อก่อนเวลารับประทานอาหารกระมัง ตนควรจะเดินไปทางไหนและไปสู่ที่ใด อยากจะให้ ‘เขา’ บอกยิ่งนัก แต่ไม่กล้าออกปากถาม เขายืนอยู่ข้างหล่อนแต่เยื้องไปข้างหลัง นอกจากนั้นเขาสูงกว่าหล่อนมาก ทั้งที่ส้นรองเท้าของหล่อนมีขนาดสูงถึง ๔ นิ้ว เมื่อเขากับหล่อนเดินคู่กันจากห้องรับแขก มายังห้องรับประทานอาหาร ศีรษะของหล่อนก็ยังอยู่เพียงบ่าเขาเท่านั้นเอง บัดนี้ ถ้าหล่อนจะดูสีหน้าหรือสายตาของเขา เพื่อรู้ว่าเขาประสงค์ให้หล่อนทำอย่างใดต่อไป หล่อนจะต้องเอี้ยวตัวและแหงนหน้าขึ้นดูเขาอย่างจริงจัง ซึ่งหล่อนไม่อาจที่จะทำเป็นอันขาด

แต่หล่อนจะยืนอยู่เช่นนั้นอีกไม่ได้ จะเป็นพิรุธให้คนทั้งหลายรู้ว่า หล่อนมิรู้จะพาตัวไปวางไว้แห่งใด ทันใดนั้นหล่อนคิดถึงชายคนหนึ่งที่มาในงานนี้ วิชิต ! เขาคงได้รับความลำบากใจเช่นเดียวกับหล่อน และสมศรีน้องสาวของเขาก็เหมือนกัน

ภรณีตัดสินใจเดินไปยังประตูที่ติดต่อกับเฉลียงตึกด้านหน้า แขกส่วนมากได้ออกมาทางนี้ วิชิตกับสมศรีอยู่ที่ไหน พี่น้องสองคนนี้แหละที่เป็นแขกของภรณีโดยแท้ คือเป็นผู้ที่ภรณีจดชื่อให้ไปแก่จิตรา แขกอื่นนอกไปจากนี้ล้วนแต่เป็นแขกของบันลือหรือแขกของพี่ของน้องของเขาทั้งสิ้น

หล่อนพิศวงและสบายใจขึ้น เมื่อได้ยินฝีเท้าตามหลังหล่อนมาโดยใกล้ชิด ถึงอย่างไรคงจะเป็น ‘เขา’ นั่นเองไม่ใช่ใครอื่น เขายังตามหล่อนมาด้วย บางทีเขาจะยังไม่ละหล่อนเสีย จะอยู่ใกล้ให้ความดูแลและอุ่นใจแก่หล่อนต่อไปอีกนาน

ชายผู้หนึ่งเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างหน้าหล่อน หล่อนจำเขาได้ว่าเป็นคนหนึ่งในจำนวนแขกที่มาถึงก่อนคนอื่น ๆ และเป็นผู้ที่บันลือเองได้แนะนำให้รู้จักกับหล่อน แต่หล่อนนึกชื่อของเขาไม่ออกเสียแล้ว

“ขออนุญาตเต้นรำกับ—นางเอกของงานในเที่ยวแรกทีเดียวได้ไหม ?” ชายผู้นั้นกล่าว มองดูภรณีก่อน แล้วจึงมองไปยังผู้ที่เขาพูดด้วย

“ไม่ได้” เป็นคำตอบอย่างเด็ดขาด

อีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะ แล้วตอบว่า

“ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ ขอเที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ หวังว่าคงจะไม่หวงถึงกับไม่ให้อีก”

“เที่ยว ๓ เที่ยว ๔ หรือเที่ยวไหน ๆ ก็หวง แต่อนุญาตให้ตกลงกับเจ้าตัวเอง—ถ้า—” เขาชะงัก มีผู้เรียกชื่อเขาหลายครั้ง “ตกลงกันเองก็แล้วกัน ขอโทษ เห็นจะมีธุระอะไรเสียงเรียกถี่จริง”

“ตกลงนะครับ เที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ เป็นของผม ที่จริงผมรู้แล้วว่าเที่ยวที่หนึ่งที่สองนะไม่ได้แน่ เป็นผม ๆ ก็ไม่ยอมให้ใคร” เขาหัวเราะ “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง –” เขามองหล่อนอย่างมีความหมาย “คุณจะออกไปนั่งข้างนอกหรือครับ ?”

“ดิฉันอยากไปหาคุณจิตรา” ภรณีตอบ ชายผู้นี้ไม่มีความอุ่นใจแก่หล่อนเลย ตรงกันข้าม—

“คุณจิตรา ?” เขาขยับไหล่ “ป่านนี้— ป่านนี้คงถูกล้อมจนมองไม่เห็นตัว คุณจิตราไปไหนก็ถูกรุมล้อมที่นั่น คนสวย” เขาหัวเราะอีก “แล้วก็แต่งงานตั้ง ๑๐ ปีแล้ว—”

“ไม่ถึงค่ะ” ภรณีค้าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขาเลย

“เหมือนกันแหละ” เขาตอบอย่างไม่เอาใจใส่ “ ๓ ปีไปแล้วละก็—ออกไปข้างนอกหรือครับ ในนี้ร้อน เจ้าของบ้านเขาพิถีพิถัน ดูซีคุณ หาพัดลมไม่ได้สักอัน แต่ที่บนโน้นมี ผมหมายถึงว่าห้องเต้นรำเห็นจะไม่ร้อน”

เขาพยักเป็นเชิงชวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ออกเดิน หล่อนไม่อยากเดินตามเขา แต่ถ้าไม่เดินก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาทำท่าดังจะประคองหล่อน, แขนเสื้อของเขากระทบแขนหล่อน แล้วด้วยหล่อนหนีบแขนเข้าหาตัวโดยเร็ว การเดินคู่กับชายหนุ่มโดยใกล้ชิด เป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยประสบมาก่อน วันนี้หล่อนรู้ว่าผู้หญิงในสมัยปัจจุบันย่อมทำเช่นนั้นได้ ถึงกระนั้นหล่อนก็หวั่นหวาดในการที่จะทำเหมือนเขา ออกมาถึงเฉลียง เห็นผู้ที่ออกมาก่อนแล้ว ยืนอยู่เป็นกลุ่มก็มี เดินไปทางอื่นก็มี บางคนยิ้มกับหล่อนเป็นเชิงปราศรัย แต่ไม่มีใครเรียกร้องให้หล่อนเข้าไปหา หรือเข้ามาหาหล่อน นักดนตรีที่อยู่ในกระโจมเมื่อครู่ก่อน กำลังจะย้ายที่ ชายผู้อยู่เคียงภรณีบอกแก่หล่อนว่า เขาเหล่านั้นจะขึ้นไปตั้งวงใหม่ที่ในห้องเต้นรำ ภรณีหันเข้าหาพลึงลูกกรง ทำท่าดังหนึ่งมีความทึ่งในวงดนตรีนั้นยิ่งนัก แต่ในใจปรารภอยู่ว่า เมื่อไรชายผู้นี้จะไปเสียที่อื่น แต่ก็อีกน่ะแหละ ถ้าเขาไปเสียหล่อนจะมิถูกทิ้งให้ยืนอยู่แต่ผู้เดียวหรือ ?

เขายืนหันข้างให้ลูกกรง ห่างจากหล่อนประมาณสักคืบครึ่ง ภรณีค่อยพอใจขึ้นบ้าง เขาถามหล่อนว่า

“คุณเห็นจะชอบเต้นรำมาก ?”

หล่อนยิ้มออกมานิดหนึ่ง และรีบตอบ “ดิฉันเต้นไม่เป็นเลยค่ะ”

“อ๋อ” เขาพูดอย่างไม่สงสัย “เห็นจะหมายความว่ายังไม่เคยได้รางวัลที่หนึ่งหรือที่สองอะไรอย่างนั้นใช่ไหม ? ผมไม่ชอบเต้นกับพวกเชี่ยวชาญขนาดนั้น”

“แต่ดิฉันเต้นไม่เป็นเลยจริง ๆ ค่ะ” ภรณียืนยัน มองจับตาเขาอย่างจริงจัง ครั้นรู้สึกตัวว่ากำลังทำเช่นนั้นอยู่ ก็ประหลาดใจตัวเอง ที่มิได้รู้สึกประหม่าหรือพรั่นพรึงอย่างใดเลย “ไม่เคยเต้นเลย นอกจาก—”

“อ๋อ พอแล้ว” เขาขัด “ถ้ามีคำว่านอกจาก ผมต่อเอาเองได้”

“เดี๋ยวค่ะ” ภรณีท้วง “ดิฉันยังพูดไม่จบ ดิฉันไม่เคยเต้นรำจริง ๆ นอกจากเมื่อยังอยู่โรงเรียนเต้นเล่น ๆ กับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน”

คราวนี้สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย แต่แล้วก็พูดว่า

“เข้าใจแล้ว คุณเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งแย้มอยู่กับต้น—” เขาจ้องดูหล่อนมากขึ้น “แย้มอยู่กับต้นในเรือนกระจก บันลือเผอิญเคราะห์ดีสอดส่ายเข้าไปเห็น คงมีคนหลายคนนึกอิจฉา”

หล่อนรู้ว่านั่นเป็นคำยกย่อง แต่เป็นคำยกย่องที่ห่างไกลความจริง ทำให้หล่อนอาย ดอกไม้ในเรือนกระจก! เจ้าประคุณ! หล่อนลอบถอนใจเบา ๆ

“นั่งไหมครับ ?” ชายหนุ่มถามขึ้น “ผมจะไปหาเก้าอี้” ก่อนที่หล่อนจะได้ตอบ เขาละจากหล่อนเดินไปตามทางยาวแห่งเฉลียงโดยเร็ว

ภรณีหันกลับมาทางในตึก หมู่แขกที่ขวักไขว่อยู่เมื่อครู่ก่อนดูบางตาไป เห็นทีจะเข้าไปรวมกันอยู่ในห้องรับแขกและในห้องชั้นบน เสียงพูดเสียงหัวเราะดังมาจากที่ทั่วไป และเสียงกุบกับ กึกกัง ดังแว่ว ๆ อยู่เหนือศีรษะชายหนุ่มที่อาสาไปหาเก้าอี้เดินลับตัวไปทางมุมเฉลียง และหายไปค่อนข้างนาน “คงหาเก้าอี้ไม่ได้” ภรณีนึก “ถ้าเขาไม่กลับมาโดยเร็ว—” ความวิตกมิรู้จะพาตัวไปวางไว้แห่งใดจะกลับมาสู่หล่อน ทันใดนั้นหล่อนนึกถึงวิชิตกับน้องสาว ทั้งสองอยู่ในที่ใด เหตุไฉนหล่อนจึงไม่ได้เห็นเขาเสียเลย ?

ชายสามคนเดินผ่านหล่อนไป แล้วหันกลับมามองดูหล่อน คนหนึ่งจับแขนเสื้อของอีกคนหนึ่งดึงให้หยุด คนที่สามจึงหยุดด้วย แล้วเขาหันหลังกลับ เดินเข้ามาหาหล่อนพร้อมกัน ภรณีเริ่มตกใจ แต่แล้วก็ตั้งสติโดยเร็ว แข็งใจต่อสายตากับผู้ที่ตั้งต้นพูดกับหล่อนและพยายามยิ้มด้วย เขาพูดว่า

“ยังไม่ขึ้นไปข้างบนหรือครับ ?””

“ยังค่ะ ข้างบนเห็นจะสบายสู้ที่นี่ไม่ได้”

“เห็นจะจริง” คนที่สองกล่าว “เผอิญคืนนี้เดือนหงายเสียด้วย ข้างนอกสบายกว่าในห้อง”

“แต่ข้างบนก็มีเฉลียง มองเห็นสนามเหมือนกัน” คนที่สามพูด “เหมาะทีเดียวสำหรับเป็นที่เต้นรำ นั่งไหมครับ ผมจะไปเอาเก้าอี้ ?”

หล่อนค้านโดยเร็ว “ไม่ต้องค่ะ คุณ— มีคนกำลังไปหาให้แล้วค่ะ”

เขาทั้งสามอ่านอาการชะงักของหล่อนผิดไปไกล คนหนึ่งพูดว่า

“มิน่าล่ะ คุณยืนอยู่คนเดียว นึกสงสัยแล้ว แต่นึกว่าคงไปยุ่งอยู่กับพวกแขก ยังบ่นกันว่าน่าสงสาร งานอย่างนี้ต้องรับแขกเองออกจะหนักอยู่สักหน่อย”

อีกสองคนหัวเราะรับคำพูดของเพื่อน ซึ่งภรณีมิได้มีความเข้าใจแม้แต่น้อย แต่มีไหวพริบพอที่จะยิ้มไปกับเขาด้วย

“แต่งานของเขาเรียบดีมากนะ โก้ แล้วครึกครื้นพอดีๆ เครื่องสายเขาก็วิเศษมาก คืนนี้คงรุ่งคาตา” ผู้พูดมองไปยังหน้าสหายของเขาคนละที “เห็นจะเป็นงานที่หรูที่สุดสำหรับปีนี้ เว้นแต่งานของสมาคมใหญ่ ๆ”

“ถ้าไม่ยังงั้นก็ไม่คู่ควรกับ— คนสำคัญที่สุดของงาน” ผู้พูดก้มศีรษะให้ภรณีแล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อน

ภรณีเพิ่งจะเข้าใจเนื้อความแห่งคำพูดเหล่านั้นได้ชัด สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้นด้วยความอาย และความขันในความเขลาของตัวเอง ชายหนุ่มทั้งสามเห็นท่วงทีของหล่อนเป็นที่น่าเอ็นดู เขาพากันมองดูหล่อนด้วยสายตาแสดงความนิยมโดยจริงใจ

ชายผู้อาสาไปหาเก้าอี้กลับมามือเปล่า “บันลือเขาให้ผมพาคุณไปให้คุณจิตรา” เขาบอกมาแต่ไกล แล้วอธิบาย “ผมกำลังจะยกเก้าอี้มา” พูดได้ไม่ทันจบ มีผู้ขัดกลบเสียงเขาขึ้น

“โอ พ่อบันลือ ตัวอยู่เฝ้าไม่ได้ ต้องจัดแจงหาเฒ่าแก่ เห็นพวกเราเป็นคนป่าคนดงไปหรือยังไง”

“คุณจิตราอยู่ที่ไหน ?” ภรณีถาม

“ไม่ทราบ ผมก็ยังไม่เห็น แต่เชื่อว่าคงขึ้นไปข้างบนแล้ว”

“ไปหาให้พบเสียก่อนซี เสน่ห์ก็ !”

เสน่ห์ ! อ้อ เขาชื่อเสน่ห์ ภรณีจะไม่ลืมอีกจนวันตาย แต่ทำไมเขาจึงชื่อเสน่ห์ในเมื่อเขาเป็นชาย หล่อนนึกรำคาญแทนเขา

“ผมเห็นคุณจิตราอยู่ในห้องรับแขก เมื่อก่อนผมเดินมานี่” คนหนึ่งบอก

“เราขึ้นไปในห้องรับแขกก็แล้วกัน” ภรณีเอ่ยขึ้น หล่อนเริ่มมีความกล้า และสัญชาตญาณความใคร่อวดของมนุษย์ก็กำลังถูกปลุก หล่อนได้ผจญกับความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ ‘ด้อย’ น้อยหน้าคนอื่นมามากแล้ว บัดนี้หล่อนจะสำแดงความเป็น ‘เด่น’ ของหล่อนบ้าง “ไปด้วยกันทั้ง ๕ คน ถ้าเผื่อไม่พบก็—” หล่อนหยุด ไม่กล้าชวนมากไปกว่านี้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ