๗
คนดีทั้งหลายย่อมยินดีในการเกื้อกูลสัตว์ (มีมนุษย์และเดรัจฉาน) ผู้เจริญเมตตาย่อมเป็นที่รักของหมู่มนุษย์ ผู้เจริญเมตตาดีแล้วย่อมหลับแลตื่นเป็นสุข
จิตราชะงักคำพูดไว้กลางคำ มีอาการอ้ำอึ้งแล้วในที่สุดก็นิ่งเงียบไป.
หล่อนมองดูหญิงสาวผู้ที่นั่งอยู่เคียงหล่อน ผู้ที่มองดูหล่อนด้วยสายตาแสดงความสนเท่ห์ เพราะได้เห็นอาการค่อนข้างแปลกประหลาดของหล่อนนั้น
เป็นหญิงสาวที่มีความงามพร้อมทุกส่วนสัด ตั้งแต่เส้นผมอันละเอียดอ่อน วงหน้า ทรวดทรง ผิวพรรณตลอดจนถึงมารยาท ท่วงที วาจา แต่เป็นความงามที่ขาดความผุดผาดอันจะเป็นเครื่องสะดุดตาสะดุดใจ เป็นความงามที่มีความหม่นหมองเจือปนอยู่มาก ถ้าจะเปรียบก็ได้แก่ดวงจันทร์ที่เมฆก้อนใหญ่มาบดบังจนอับแสง แต่สำหรับสายตาของจิตรา ผู้ซึ่งรู้จักหญิงสาวผู้นี้มาแต่เล็กแต่น้อย ทั้งได้มาคุ้นเคยสนิทสนมกันยิ่งขึ้น เมื่อเจ้าหล่อนเติบโตเป็นสาวเต็มที่ได้เล็งเห็นความงามแห่งดวงใจของหล่อนอย่างกระจ่างแจ้ง ความหม่นหมอง อันเป็นแต่เพียงแสงสะท้อนที่เกิดจากความเศร้าแห่งอารมณ์ ย่อมจะพ่ายแพ้แก่ความงามตามธรรมชาติแห่งกายและใจอย่างราบคาบ
เพราะเหตุนี้จิตราจึงอ้ำอึ้งอึกอักขัดข้องใจ จิตรามาพบกับภรณีในวันนี้ด้วยความตั้งใจจะชวนภรณีให้แต่งงานกับบันลือ หล่อนคิดว่าการที่จะพูดชวนภรณีในเรื่องนี้เป็นการง่าย เช่นเดียวกับที่จะพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ทั่วไป และตามความจริงก็ควรจะง่ายเหมือนอย่างที่จิตราคิด ก็เมื่อจิตรากับภรณีรักใคร่สนิทสนมกันคล้ายพี่กับน้อง ความทุกข์ความสุข เรื่องราวส่วนตัวส่วนครอบครัวก็เปิดเผยให้แก่กันได้มาก เหตุไฉนจิตราจะพูดเรื่องการแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดแก่ภรณีไม่ได้เล่า แต่ถึงกระนั้น ภายหลังที่จิตรานั่งพูดกับภรณีอยู่ถึงครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อจะเอ่ยปากพูดเรื่องที่ตนตั้งใจมาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพูด จิตราก็หาอาจที่จะเอ่ยปากได้ไม่
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ในเวลาที่อยู่ลับหลังภรณี จิตรามีความรู้สึกว่า ภรณีเป็นแต่เพียงหญิงสาวเด็ก ๆ ที่มีชีวิตและความเป็นอยู่อันน่าสมเพช หญิงสาวเด็ก ๆ ที่รอรับความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจและกรุณาต่อตน เมื่อจิตรามองเห็นทางที่จะช่วยภรณีให้ไปสู่ความสุขได้ จะแนะนำทางนั้นแก่ภรณี ก็ควรจะทำได้ง่ายเท่ากับจะหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งให้เป็นของกำนัลแก่ภรณีนั่นเอง แต่ครั้งเมื่อจิตรามาอยู่ต่อหน้าภรณีแล้ว หล่อนกลับรู้สึกว่าภรณีมิได้เป็นแต่เพียงหญิงสาวเด็ก ๆ ที่รอรับความกรุณาของเพื่อนมนุษย์ ลักษณะแห่งสีหน้าและท่าทางของหล่อนรวมทั้งกังวานแห่งน้ำเสียงและถ้อยคำที่หล่อนพูด แสดงว่าภรณีเป็นเด็กแต่โดยวัย และโดยทางความรู้ในสภาวะอันแท้จริงของโลกเท่านั้น ในส่วนทางความคิดความรู้สึก ภรณีมีความคิดอย่างหญิงสาวที่อยู่ในวัยสาวเต็มตัว เฉียบแหลม สุขุม รอบคอบ แต่มุ่งไปในทางที่มีอุดมคติและความใฝ่ฝันอันเลิศลอยของตนเป็นเครื่องนำ ความรู้สึกของภรณีเล่าก็ละเอียด ประณีตลึกซึ้ง แต่แรงกล้าตามแบบของผู้ที่มีการเล่าเรียนและการอบรมทางใจมาแต่น้อย หญิงสาวที่มีลักษณะแห่งจิตใจเป็นเช่นนี้ จะรับฟังคำชวนให้แต่งงานอย่างง่าย ๆ คล้ายกับคำชวนให้ไปดูภาพยนตร์ย่อมจะไม่ได้อยู่เอง
จิตรานึกเคืองบันลือ เขาช่างทุ่มเทเอาความรับผิดชอบในเรื่องนี้มาไว้ในมือหล่อนแต่ฝ่ายเดียวเสียจริง ๆ และโดยมิได้ให้เครื่องมือสักชิ้นสักส่วนสำหรับประกอบความสำเร็จมาด้วย!!! เขาไม่ถามแม้แต่ชื่อบิดามารดาของภรณี ไม่ถามแม้แต่ชื่อของโรงเรียนที่ภรณีได้รับการศึกษา ไม่ถามแม้แต่รูปพรรณสัณฐานของภรณีจะสูงต่ำดำขาวประการใด เขาบอกแก่หล่อนว่าเขาตกลงจะแต่งงานกับภรณี เพราะหล่อนมีความเห็นว่าเขาควรทำเช่นนั้น แล้วเขาขอให้หล่อนขอร้องต่อฝ่ายหญิงอย่าให้เขาต้องสวมมงคลเข้าพิธีแต่งงานเป็นครั้งที่ ๓ เพราะเขาได้ทำเช่นนั้นมาแล้วถึง ๒ ครั้ง มีความกระดากที่จะทำซ้ำอีก นอกไปจากนี้ ถ้าฝ่ายหญิงหรือบิดามารดาของหญิงจะเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามประเพณีนิยม เขามอบให้จิตราเป็นผู้ตกลงเด็ดขาดโดยสิ้นเชิง
ถ้าหากว่าบันลือจะได้เห็นตัวภรณีสักครั้งหนึ่ง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จิตราก็ยังจะกล่าวแก่ภรณีได้อย่างเต็มปากว่ามีชายชื่อบันลือได้เห็นภรณีแล้วมีความพอใจ แล้วจิตราก็จะได้กล่าวถึงคุณสมบัติของชายที่ชื่อบันลือให้ภรณีเกิดความนิยมในตัวเขา ชื่อเสียงและฐานะของบันลือย่อมจะเป็นที่ปรารถนาแก่บิดาของภรณีอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว เรื่องราวก็จะดำเนินไปสู่ความสำเร็จโดยง่าย แต่การที่จิตราจะบอกแก่ภรณี ว่าชายหนึ่งต้องการหญิงหนึ่งไปเป็นมารดาให้แก่ลูกของเขา จึงขอให้ภรณีแต่งงานกับเขานั้น หญิงเช่นภรณีจะคิดไปในทางที่ว่าชายนั้นดูถูกตน สำคัญว่าตนเป็นหญิงสิ้นคิด ถึงกับจะยอมสละความเป็นสาว ความเป็นโสด ความอิสระทางใจ รวมทั้งสละความใฝ่ฝันและอุดมคติในแง่ชีวิตสมรสเข้าแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้จากการรับจ้างเป็นแม่เลี้ยงให้กับลูกของชายคนหนึ่ง ดังนี้ความหวังของจิตราที่จะให้ภรณีกับบันลือเป็นผู้มีประโยชน์แก่กัน ก็จะไม่มีโอกาสแปรรูปเป็นความสำเร็จขึ้นได้เป็นอันขาด
“แล้วยังไงอีกล่ะคะ ?” ภรณีถามเมื่อได้รอฟังจิตราอยู่ครู่หนึ่งแล้ว และเมื่อเห็นจิตรายังนิ่งอยู่หล่อนก็หัวเราะแล้วว่า
“คุณพี่ใจลอยไปคิดถึงอะไร เมื่อตะกี้กำลังเล่าถึงเรื่องเชิญตัวเอง ไปรับประทานกับข้าวฝรั่งกับเพื่อนคุณเจริญ”
“เขาชื่อบันลือ” จิตราบอก ตาจับอยู่ที่ตาภรณีด้วยความปรารถนาจะให้แววตาของตนบอกแก่ภรณีว่าเขาผู้ที่ตนกล่าวถึงนั้น มีความสำคัญเกี่ยวกับตนและกับภรณีมิใช่น้อย แต่คู่สนทนาของจิตราไม่เข้าใจความหมายนั้นเลย เจ้าหล่อนพูดว่า
“ที่จริงดิฉันก็พอจะทำได้มั่งหรอก กับข้าวฝรั่งน่ะแต่—ขาดเครื่องมือ ถ้าไม่ยังงั้นดิฉันจะทำให้คุณพี่”
จิตราโบกมือ “อย่ายุ่งเลย” หล่อนว่า “งานของเธอมันมากพออยู่แล้ว พี่อยาก—ภร พี่อยากให้เธอ—ได้ไป—เที่ยวกินอะไร ๆ อร่อยกับพี่มั่ง”
อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มแทนคำตอบ แล้วก็นิ่งอยู่
จิตรารู้ว่าอาการนิ่งของภรณี ก็คืออาการที่หล่อนครุ่นคิดถึงสิ่งที่หล่อนไม่ปรารถนาจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด เพราะเหตุว่าจะเป็นการกล่าวซ้ำกล่าวซาก ถึงเรื่องที่จิตราเคยรู้แล้วจนเจนใจนั่นเอง เฉพาะวันนี้จิตราอยากจะให้ภรณีพูดอีกถึงเรื่องที่ภรณีกำลังคิดอยู่ จิตราอยากจะให้ภรณีพูดถึงเรื่องความคับใจของภรณีโดยละเอียด อยากให้ภรณีแสดงความอ่อนแอ สมกับที่เป็นสาวเด็ก ๆ ที่ต้องการจะระบายความทุกข์ของตนให้ผู้อื่นฟัง เพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความหวังดีต่อตนเช่นจิตรา
แทนที่จะเป็นดังนั้น ภรณีพูดขึ้นว่า
“คุณพี่ค่อยหายคลื่นไส้มั่งหรือยังคะ อาทิตย์หลัง ๆ นี้”
“ค่อยหายน่ะซี ถึงได้เจ๋อไปนั่งกินอยู่ที่โฮเต็ลกับเขาได้ แล้วตั้งแต่วันนั้นมาเลยทำท่าจะหายขาดไม่ค่อยคลื่น ไม่ค่อยเวียน นอกจากเวลาโมโหหรืออัดใจ”
“เมื่อกลางวันนี้ มีคนมานั่งพูดถึงคุณของยาหอมกับนาย แล้วนายก็รับรองว่าดีจริง ดิฉันเกือบจะถามหาซื้อไว้แล้ว เพราะจะจำไว้บอกคุณพี่ แล้วเกิดนึกสงสัยว่าคุณพี่จะไม่รับประทานกระมัง ยาหอมยาเหิม”
“ไม่เคยกิน” จิตราบอก “แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมกินเสียทีเดียว แต่ก่อนเมื่อคุณแม่ยังอยู่ เอะอะท่านก็แนะนำยาหอมเรื่อย พี่ก็รับ ๆ กับท่านไปยังงั้น ลงท้ายก็ไม่กิน โธ่ ก็เราเป็นคนกินยายากจะตาย”
“เคราะห์ดีที่เป็นคนไม่เจ็บไม่ไข้นะคะ แหม, อีหมู่ที่คุณพี่ออดแอดคลื่นไส้เวียนศีรษะบ่อย ๆ น่ะ ดิฉันไม่ค่อยสบายใจเลย สงสารคุณพี่ว่าจะต้องฝืนใจกินยา—”
จิตราหัวเราะ “โธ่ อุตส่าห์สงสาร ควรจะสมน้ำหน้าถึงจะถูก เจริญละเขาเป็นเดือดเป็นแค้นเสียเหลือเกินเรื่องฉันกินยายาก พอบ่นไม่สบายเขาแช่งให้เจ็บมาก ๆ เพราะเขาเกลียดเรื่องเราดื้อไม่กินยานี่แหละ”
“ก็แช่งแต่ปาก” ภรณีว่า “เจ็บมากจริงเข้าก็ขี้คร้านจะวิ่งหาหมอให้ไม่ทัน”
ทั้งสองฝ่ายต่างหัวเราะอย่างพออกพอใจด้วยกัน แล้วจิตราถามขึ้นโดยอาศัยความคิดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องนำคือ ความคิดที่จะล่อให้ภรณีออกความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตสมรสโดยทั่ว ๆ ไป
“รู้ได้อย่างไรว่าเขาแช่งแต่ปาก ?”
ฝ่ายที่อ่อนอายุกว่ามีสีหน้าพิศวงในคำถามนั้นแล้วพูดแกมหัวเราะ
“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันสองคน คนหนึ่งจะอยากให้อีกคนหนึ่งเจ็บมากมีหรือคะ เพราะคนหนึ่งเจ็บอีกคนหนึ่งก็ต้องลำบาก ไหนยังจะสงสาร ไหนยังจะรำคาญ”
“ผัวบางคนเขาชอบให้เมียเจ็บก็มี เพราะเขาจะได้หนีไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น”
“แต่คงไม่ใช่สามีของคุณพี่เป็นแน่” เป็นคำตอบอย่างมั่นใจที่สุด
“ไม่แน่นัก” จิตรากล่าว “เราเพิ่งจะอยู่ด้วยกันมาเพียง ๕ ปีเศษ ๆ เท่านั้นเอง อาจจะเป็นเวลาสั้นเกินไปสำหรับที่เขาจะเบื่อเรา ถ้าอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ กว่านี้ จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ได้”
“อุ๊ย อย่างคุณพี่ดิฉันว่ากี่ปี ๆ คุณเจริญก็คงไม่เบื่อ คุณพี่ออก—น่ารักจะตาย” แล้วภรณีหัวเราะมีอาการกระดากเล็กน้อย เพราะได้ชมอีกฝ่ายหนึ่งออกไปตรง ๆ เมื่ออยู่กันต่อหน้าเช่นนั้น
จิตราหัวเราะและลูบแขนภรณีเบา ๆ ในท่าแสดงความเอ็นดู “เรารักกันเราก็ว่ากันดี” หล่อนกล่าว
“ก็แน่ซิคะ แล้วคุณเจริญก็รักคุณพี่–”
“ก็เผื่อเขาหมดรักล่ะ—”
“อุ๊ย ดิฉันว่าไม่มีวันหมดค่ะ ผู้หญิงอย่างคุณพี่” ภรณีหัวเราะอีก คราวนี้มีลักษณะเกรงใจปนอยู่กับความกระดากด้วย “–คุณพี่ไม่ใช่คนที่จะปล่อยตัวของคุณพี่ให้เสื่อมลง เพราะได้แต่งงานไปแล้วนาน ๆ ดิฉันเห็นคุณพี่เจริญขึ้นทั้งทาง—ความสวยงาม และ—ทางนิสัยใจคอ”
“โอ แม่น้องสาว ยอพี่ใหญ่” จิตราอุทานพร้อมกับหัวเราะอย่างชื่นบาน “ภรเชื่อหรือว่าความดีของเมียน่ะจะมัดผัวไว้กับตัวได้เสมอ ?”
ภรณีมองดูคู่สนทนาอย่างพิศวงอีก “ก็คุณพี่ไม่เชื่ออย่างนี้หรอกหรือคะ ?” หล่อนถาม
“เชื่อ พี่น่ะเชื่อ แต่อยากรู้ว่าเธอเชื่อสำหรับคู่อื่นทั่วไปด้วย หรือเชื่อแต่สำหรับคู่ของพี่เท่านั้น”
“สำหรับคู่คุณพี่น่ะเชื่อแน่ แต่สำหรับทั่ว ๆ ไปดิฉันเชื่อตามหลักที่ว่าทำดีก็ต้องได้ผลดีตอบแทน แต่อาจจะมีผู้หญิงบางคนเผอิญเป็นคนอาภัพสามีไม่เห็นความดีก็ได้”
“อ๋อ อย่างนั้นน่ะรึ ความอาภัพของเขามันตั้งต้นอีตรงที่เลือกเอาคนไม่ดีมาเป็นผัว คนดีต้องรู้จักความดีด้วยกันทุกคน ถ้าเรารู้จักเลือก ดูนิสัยใจคอให้เห็นว่าเขาไม่เจ้าชู้นัก ไม่เป็นนักเลง มีปัญญาความรู้ รู้จักผิดรู้จักชอบ แล้วก็มีฐานะดีพอที่จะให้ความสุขแก่เราได้อย่างนี้ก็ใช้ได้แล้ว ทีนี้ผู้หญิงรุ่นใหม่นี่น่ะ ชอบเลือกเอาคนที่ปรูดปราด เวลาอยู่ต่อหน้าเราแสดงความรักจี๋ ๆ ลับหลังไปแล้วความรักไม่มี มีความใคร่”
ภรณีใช้อาการยิ้มแล้วนิ่งอยู่เป็นคำตอบอีกครั้งหนึ่ง จิตราจึงพูดสืบไป
“คนสมัยนี้เขาถือว่าผู้หญิงกับผู้ชายจำเป็นจะต้องรักกันก่อนแล้วถึงจะควรแต่งงานกัน ภรเห็นอย่างนั้นไหม ?”
อีกฝ่ายหนึ่งอึกอัก แล้วก็หัวเราะและกล่าวว่า “ดิฉันยังไม่เคยคิดถึงปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังเลย รู้สึกว่า—ไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน”
“แปลว่ายกให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ?” จิตราถามความยินดีระคนด้วยความประหลาดใจปรากฏอยู่ในกังวานแห่งนี้ “แหม ดี เป็นเด็กดีแท้ ๆ”
ภรณีค้านโดยเร็ว “เดี๋ยวค่ะ คุณพี่” หล่อนว่า “อย่าเพิ่งชม ดิฉันไม่ใช่เด็กดีอย่างนั้นหรอก ยกให้เป็นหน้าที่คุณพ่อกับนาย ! ตายละ ! ป่านนี้ดิฉันไปเป็น—ต๊ายตาย–เป็นภรรยาท่านขุนอายุ ๕๐ เศษ อยู่ทางอิสานแล้ว ที่ว่าไม่เกี่ยวข้อง คือยังไง ๆ ดิฉันคงไม่ต้องแต่งงาน”
จิตราทำหน้านิ่ว “แปลว่ากระไร ?” หล่อนถาม “รู้ได้ยังไง อายุยังไม่ทันจะ ๒๐ –”
“จะ ๒๔ ปีนี้แล้วค่ะ” ภรณีท้วงพลางหัวเราะ คราวนี้จิตราทำตาโต “อะไร ๒๓ แล้ว ? ตายจริง ! วันนั้นฉันบอก—คุณ— เจริญ เขาว่าอายุเธอเห็นจะสัก ๑๘–๑๙ แต่ว่าถึง ๒๓ ก็ไม่ใช่แก่ ฉันแต่งงานเท่าไหร่รู้ไหม ? ๒๘ เกือบ ๒๙”
“ความคิดของดิฉันไม่เกี่ยวกับอายุดอกค่ะ เกี่ยวกับฐานะ กับ—กับอะไร ๆ หลายอย่าง”
“ก็เผื่อผู้ชายเขามีฐานะดีพอแล้ว เขาไม่ต้องคิดถึงฐานะของเธอ เขาคิดถึงแต่คุณสมบัติ รูปสมบัติ—”
“แบบซินเดอเรลลา หรือคะ ? ซินเดอเรลลายังเคยใส่เกือกแก้วไปเต้นรำถึงได้ไปพบกับเจ้าชาย แต่ดิฉัน—” แล้วภรณีก็หัวเราะ
“ไม่เห็นจำเป็นเลย ถึงเธอจะอยู่แต่ในบ้านร้อยปี ไม่ได้โผล่ไปไหน เผื่อไอ้หนที่เธอโผล่ไปน่ะเผอิญมีคนเขาเห็นเธอแล้วเกิดชอบขึ้นมาล่ะ หรือไม่ยังงั้นเขาได้ยินคุณสมบัติของเธอเขาอยากได้เธอ—มันเป็นไปได้ทั้งนั้น ถึงเวลามันจะเป็นละก็”
อีกครั้งหนึ่งภรณียิ้มแล้วนิ่งอยู่ แล้วหล่อนลากเสื่อที่ปูตรงหน้าเตียงเข้ามาใกล้จิตรา พร้อมด้วยหมอน พลางพูดว่า
“คุณพี่นอนเล่นเสียมั่งสิคะ ยิ่งยังไม่แข็งแรงดีเดี๋ยวจะเมื่อย”
จิตรามองดูเสื่อกับหมอนโดยไม่เอาใจใส่ ความคิดของหล่อนยังจดจ่อในเรื่องที่หล่อนพูด แต่ภรณีเอ่ยขึ้นอีกว่า “ลายหมอนนั่นที่คุณพี่ให้ขอยืมยังไงล่ะคะ ปักแล้วสวยดีจริง แต่ดิฉันว่าดิฉันเลือกสีผิด กลีบกุหลาบแทนที่จะใช้สีชมพู ควรจะใช้สีส้ม”
“อุตส่าห์มีเวลาปักหมอน” จิตรากล่าวสีหน้าขรึมรู้สึกหงุดหงิดในใจอย่างประหลาด “ทำแล้วมีใครชอบใครชมที่นี่?”
“ดิฉันชมของดิฉันเอง เสียอย่างเดียวลายหมอนที่ไม่เหมาะกับเสื่อ ต้องวางบนเก้าอี้ถึงจะเหมาะ” พูดพลางภรณีลูบคลำหมอนอยู่ไปมา
ผู้ฟังพิศดูหน้าผู้พูด และจับได้ว่าความเศร้ากำลังเข้าครอบงำจิตใจภรณี จิตราก็รู้สึกเศร้าและรำคาญระคนกัน เหตุไฉนภรณีจึงเป็นทั้งผู้ที่อ่อนแอและผู้ที่เข้มแข็ง ภรณีปล่อยตัวให้อยู่ในอำนาจของแม่เลี้ยง กลัวเขา เกรงเขา ทำตามที่เขาสั่ง ปฏิบัติการงานให้แก่เขา หลีกเลี่ยงการที่จะถูกเขาบ่นเขาว่า แม้ในกรณีที่ตนอยู่ในทางถูกอย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้น ภรณีก็รักษาความอิสระทางใจของหล่อนไว้ได้ อิทธิพลใด ๆ ของแม่เลี้ยงไม่สามารถที่จะทำให้การกระทำและความคิดความเห็นของภรณี เหไปจากแนวที่หล่อนได้ไว้จากการอบรมและการศึกษาอันดี การกระทำ คำพูดความคิดของแม่เลี้ยงซึ่งหนักไปในทางตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำบ้าง ในอำนาจความเขลาของผู้ที่ขาดการศึกษาบ้าง ขัดกับความรู้สึกและความเห็นของภรณีทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ภรณีได้รับทั้งความรำคาญอันรุนแรง ทั้งความเดือดร้อนในใจ ภรณีมิได้ทอดตัวลงคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย ดิ้นรนเพื่อจะหนีจากความรำคาญนั้น ๆ หล่อนใช้การนิ่งและความอดทนของหล่อน เพื่อสู้กับการขัดกันทางจิตใจระหว่างแม่เลี้ยงกับหล่อน และใช้อุดมคติอันสูงกับความเชื่อในหลักทำดีได้ดี เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้ฝังอยู่แต่ในทางที่ดีงาม
จิตรามองดูห้องที่หล่อนนั่งอยู่ ห้องนิด กว้างยาวราว ๆ ๔ ศอก มีหน้าต่างเพียงหน้าต่างเดียว มิหนำซ้ำเป็นห้องที่อยู่กับบันไดทางขึ้นลงระหว่างชั้นบนกับชั้นล่าง ที่ตั้งของห้องควรจะเป็นที่เก็บของมากกว่าเป็นห้องสำหรับอยู่ แต่ก็เป็นห้องภรณีใช้เป็นที่สำหรับนอน สำหรับแต่งตัว สำหรับทำงาน สำหรับพักผ่อนและรับแขกด้วยพร้อมเสร็จ และเมื่อภรณีใช้ห้องนี้สำหรับโอกาสต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว หล่อนก็ทำห้องเสียจนมีลักษณะน่าดูน่าใช้ได้อย่างสบายด้วย ที่หน้าต่างช่องเล็กนิดมีม่านสีเย็นตา เย็บโดยฝีมือประณีตไม่มีตำหนิ สะอาด ไม่มีรอยดำรอยด่าง บนเตียงนอนผ้าทุกชิ้นมีรอยฝีมือเย็บฝีมือซ่อมอย่างงดงาม บนม้าเครื่องแป้งซึ่งมีลักษณะเป็นม้าอย่างจริงจังและมีเครื่องตั้งแต่เพียงเท่าที่จำเป็นแท้ ๆ ภรณีก็ทำเสียจนม้าเครื่องแป้งอันกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดูด้วยวิธีจัดให้มีผ้าปู ผ้ารอง ชิ้น เล็ก ๆ บาง ๆ สีสวยลวดลายงาม ม้าเล็กลักษณะไม่ผิดกับม้าที่แม่ครัวทั้งหลายใช้รองนั่งเมื่อเวลาอยู่หน้าเตา เป็นม้าที่ไว้หนังสือในห้องภรณี แต่ถ้าดูผาด ๆ ไม่จับไม่ต้องก็คือโต๊ะหนังสือขนาดเตี้ยและเล็กอย่างที่สุด สำหรับตั้งในห้องที่ผู้อยู่ใช้พื้นห้องและเสื่อแทนเก้าอี้ เพราะภรณีได้ทำผ้าคลุมสีขาวปักเป็นลวดลายปิดบังเนื้อไม้และสัณฐานเดิมของม้าเสียสิ้น
ดูตั้งแต่เพดาน ซอกฝา ใต้เตียง หลังตู้ตลอดจนถึงช่องระหว่างตั้งหนังสือ รวมทั้งสันหนังสือและขอบหนังสือทุกด้าน ไม่มีหยักไย่หรือรอยฝุ่นแม้แต่สักนิด ผ้าสักชิ้น กระดาษสักแผ่น เข็มเสียบผมสักเล่มไม่มีอยู่ผิดที่ ลักษณะของห้องและสิ่งของในห้อง แสดงถึงลักษณะและจิตใจของผู้อยู่ เป็นจิตใจที่มีระเบียบ มีวินัย มีความมั่นคงหนักแน่น เป็นจิตใจที่มีอารมณ์คลุ้มคลั่งเผลอเรอ หรือ ‘ขอไปที’ ไม่เคยได้มีอำนาจเหนือ
ภรณีวางมือจากหมอน คลานไปหยิบหนังสือจากม้าแล้ว คลานกลับมานั่งข้างแขกของหล่อนตามเดิม พูดว่า
“หนังสือของคุณพี่เล่มนี้ ฉีกไปครึ่งหน้าดิฉันเลยเอากระดาษติดแป้งเปียกผนึกไว้ จวนจบแล้วค่ะ เหลืออีก ๓๕ หน้าเท่านั้นเอง ค่อนเล่มเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว—นี่ไงคะตรงที่ขาด”
จิตราพยักหน้า “จำได้แล้ว ตาตุ๊ซีแกฉีกของพี่ เด็กคนนั้นเป็นโรคเห็นหนังสือไม่ได้ เห็นเข้าต้องจับแล้วก็จับให้ขาดเสียด้วยนะ”
“มือหนักแล้วยังไม่รู้จักระวัง อยากกัด นึกเห็นมือแกตุ้ม ๆ น่ารักจัง เมื่อไรคุณพี่จะพาแกมาเที่ยวมั่งคะ ?”
“ต้องรอให้เจริญเขาว่างเวลาเย็นถึงจะได้ หมู่นี้เขากลับจากทำงานช้าทุกวัน—เธออ่านหนังสือเวลาไหน ? พี่รู้สึกว่าเธออ่านเร็วเหลือเกิน ไม่สมกับที่เป็นทั้งแม่ครัวและต้นเรือน มิหนำซ้ำยังเป็นคนเลี้ยงเด็กอีก”
“ก็ของชอบนี่คะ ก็ต้องหาเวลาอ่านให้จงได้ โดยมากดิฉันอ่านเวลานอน คือว่าเมื่อถึงเวลาที่จะนอนได้ก็ไม่นอนเสีย อ่านหนังสือแทน บางทีตอนหัวค่ำง่วงเต็มแก่หลับไปตื่นหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นอ่านตอนดึก เรื่องหนังสือนี่จำเป็นเหลือเกินค่ะ ต้องอ่าน ไม่อ่านไม่ได้ แหม เพราะอย่างนั้นเวลานอนก่อนที่จะหลับดิฉันนึกถึงพระเดชพระคุณ คุณพี่กับคุณเจริญทุกคื้นทุกคืน เผื่อไม่มีคุณพี่คอยกรุณาส่งนั่นส่งนี่มาให้อ่านเสมอ ดิฉันคง—คงเป็นบ้า หนังสือของคุณพ่อที่ได้จากงานศพบ่อย ๆ ก็เป็นประโยชน์สำหรับดิฉันเหมือนกัน แต่มันหนักไปในทางวิชาธัมมะธัมโมเสียหมด อ่านบ่อย ๆ ไม่ไหวหัวสมองมันไม่ยอมรับ”
“เธอยังดียังอ่านมั่ง พี่ละไม่ได้อ่านเลย หนังสือแจกงานต่าง ๆ พอได้มาก็เก็บเข้าตู้ นอกจากที่เป็นเรื่องแปลกน่าอ่านจริง ๆ”
“ดิฉันถูกบังคับให้ดีด้วยนี่คะ รู้ตัวว่าถ้าไม่ได้อ่านก็จะโง่ลงทุกวัน อีกสักหน่อยก็จะมีความรู้ขนาดเด็กชั้นประถม เพราะอยู่แต่ในรั้วสังกะสีสี่เหลี่ยม ไม่ได้เห็นอะไร ไม่ได้ฟังอะไร—” หล่อนชะงัก และเปลี่ยนเรื่องในทันทีทันใด “คุณพี่ลืมอะไรอย่างหนึ่งแล้วค่ะ ขนาดตัวหนูตุ๊ เดี๋ยวถักไม่ทันใส่เวลาหนาว”
จิตราสั่นศีรษะอย่างไม่เอาใจใส่ “ที่จริงพี่ไม่ได้ลืมแต่— อะไรก็ไม่รู้ อย่าไปถักเลยเสื้อแส้ ตัวที่ถักปีกลายก็ยังใช้ได้—” หล่อนหัวเราะเมื่อเห็นภรณีมีหน้าแสดงความสงสัย “เธอน่ะขยันอย่างประหลาด อดทนอย่างประหลาด พี่เป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ดีสู้เธอไม่ได้” หัวเราะอีก และจับมือภรณีบีบเบา ๆ “วันหลังพี่จะมาคุยด้วยใหม่ แล้วจะเอาหนังสือมาให้อ่านอีก วันนี้ต้องกลับที”
หล่อนชะโงกหน้าไปทางกระจกเงาบนม้าเครื่องแป้งของภรณี แต่มองดูเงาของตนไม่ชัดก็ขยับเข้าไปอีก ส่วนปากก็พูดว่า “หน้าพี่มันโตกว่ากระจกของเธอไปเสียแล้ว”
“กระจกบานนี้เห็นจะเล็กกว่าหน้าคนทุกคนค่ะ” ภรณีตอบ ลากเสื่อออกจากที่เก่าเพื่อมิให้กีดเท้าจิตรา เมื่อจัดเสื่อกับหมอนเข้าที่ดีแล้ว ก็พอดีกับจิตราจัดผมของหล่อนเสร็จ และหันมาพูดว่า “อย่าลงมาส่งพี่นะ เดี๋ยวยายแม่เลี้ยงของเธอจะมาว่าอะไรเธอใส่หูพี่อีก พี่น่ะมันแปลก บ้า รู้แต่ไม่เห็นก็ทนได้ ทั้งรู้ทั้งเห็นละก็ทนไม่ไหว”
ภรณีพนมมือไหว้ แล้วยืนดูจิตราผ่านตนไป สีหน้าแสดงความสงสัยและกังวล ส่วนจิตราเมื่อลงบันไดขั้นหนึ่งแล้ว เกิดความรู้สึกว่ากิริยาและวาจาของตน อาจจะทำให้ภรณีสนเท่ห์และไม่สบายใจ ก็หันกลับมายิ้มและพูดว่า “ทำใจดี ๆ ไว้นะ อีกไม่ช้าพี่จะเอาข่าวดีมาบอก” แล้วหล่อนก็ลงบันไดไป