๒๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรบอกประโยชน์ให้ ท่านพึงโดยสถาน ๔ อย่าง คือ ห้ามเพื่อนจากความชั่วอย่างหนึ่ง ให้ตั้งอยู่ในความดีงามอย่างหนึ่ง ให้ได้ฟัง สิ่งที่ยังไม่เคยฟัง อย่างหนึ่ง บอกทางสวรรค์ให้อย่างหนึ่ง มิตรบอกประโยชน์ให้ ท่านพึงรู้ว่ามีใจดีโดยสถาน ๔ อย่างนี้.
บันลือยืนจ้องดูปีอาโนอันใหญ่และราคาสูงที่สุดในห้าง คล้ายกับว่าเพิ่งจะได้เคยเห็นของสิ่งนี้ครั้งแรกในชีวิต
ความจริงนั้น ด้วยมโนภาพที่เกิดขึ้นในสมองของเขาโดยปัจจุบันทันด่วน เขาเห็นหญิงสาวผู้มีลักษณะดังดอกไม้ที่แย้มกลีบอยู่กับต้น มีอาการเคลื่อนไหวแช่มช้าเหมือนยอดอ่อนของกิ่งไม้ที่ไหวไปตามลม เขาเห็นหล่อนในโรงยาวหลังคามุงจาก อันเป็นที่เก็บเมล็ดพืชสำหรับทำพันธุ์ และเก็บเครื่องมือสำหรับการกสิกรรม เสียงเพลงอันมีกังวานกระหึมและซึ้งล่องลอยอยู่โดยรอบ เป็นภาพที่ประหลาดที่สุดสำหรับสายตาของเขา เพราะว่าเขาไม่เคยคาดฝันว่าจะได้ประสบ เป็นภาพที่ได้ทำความพิศวงให้แก่เขาเป็นที่สุดแล้ว เพราะได้แสดงให้เขารู้ถึงความจริงที่เขาไม่เคยได้คิดได้ฝันว่าจะเป็นไปได้ เขาเห็นต้นคออันขาวกลมที่เนื่องอยู่กับบ่าอันลาดเอนเอียงไปมาตามน้ำหนักแห่งศีรษะ เห็นลำแขนขาวเกลี้ยงเช่นเดียวกับคอเนื่องอยู่กับนิ้วมือที่เคลื่อนไหวไปตามพื้นลูกออร์แกน ภาพอันแปลกตาด้วย เสียงเพลงซึ่งฟังได้ว่าเป็นเพลงชั้นเอกแห่งคริสตศตวรรษที่ ๑๘–๑๙ ด้วย ได้ตรึงเขาไว้ในที่เดียวเป็นเวลานาน เขาไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ แม้ในขณะที่เขาคลายจากความพิศวงเพราะเขารู้ว่าหล่อนจะเห็นเขาไม่ได้ก่อนที่เขาจะรู้ตัว สายตาของหล่อนจ้องจับอยู่กับโน้ตเพลงที่กางอยู่ตรงหน้า และเขายืนอยู่ริมประตูทางเบื้องหลังของหล่อน
เขาได้ตัดสินใจละจากที่นั้น และทำลายความรู้สึกต่าง ๆ อันนอกไปจากความเห็นขันให้หมดไปจากความคิด แต่ในไม่ช้าคำถามต่าง ๆ ซึ่งเขาได้กล่าวออกไปกับนายนพโดยปราศจากความตั้งใจอันแน่นอน ได้ทำให้เขารู้ว่าเขามีหญิงสาวที่ได้รับการศึกษาทางดนตรีและรักการหาความเพลิดเพลินในทางนี้อย่างยิ่งอยู่ในบ้านของเขา นายนพเล่าว่า เจ้าหล่อนได้ไปพบออร์แกนในระหว่างที่หล่อนออกเดินไปเที่ยวกับเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่อง ได้พบโน้ตเพลงซึ่งนายนพเก็บไว้อย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แต่นั้นมาวันใดหล่อนออกไปเที่ยวเล่นกับเด็ก ๆ ก็ตาม หรือเดินเล่นคนเดียวก็ตาม หล่อนได้แวะนั่งดีดหีบเพลงคราวละนาน ๆ เสมอ
หลายครั้งบันลือนึกอยากจะพูดเปิดช่องให้หล่อนแสดงความต้องการเครื่องเพลินอันเป็นศิลปอย่างเอกชิ้นหนึ่งให้ปรากฏแก่เขา แต่ก็ไม่ได้พูดเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหล่อน เขาไม่มีความปรารถนาดีต่อหล่อนเลย เพียงแต่เขาสงบปากสงบคำไม่พูดจาถากถางหล่อนก็เป็นงานที่หนักอยู่แล้วสำหรับความรู้สึกของเขา
แต่บัดนี้ เมื่อเขายืนมองปีอาโนอันใหญ่ เขาเห็นภาพของหล่อนนั่งอยู่หน้าออร์แกน ในสถานอันรุงรังและมืดมัวอย่างถนัด ถนัดจนรู้สึกว่าเป็นภาพที่กระเทือนความคิดเป็นอย่างมาก ความปรารถนาที่จะได้เครื่องดนตรีอันมีค่านี้ไปไว้ที่บ้านในต่างจังหวัดได้เกิดขึ้นแก่เขาอย่างรุนแรง
“บันลือ ถ้าเธอไม่มาช่วยฉันเลือกแผ่นเสียงพวกนี้ฉันจะเลือกอยู่ไม่ได้นาน เพราะฉันเกรงใจเธอกลัวจะเบื่อที่ต้องคอยฉัน”
เขาหันไปทางผู้ที่พูดกับเขาช้าๆ แล้วตอบในเสียงหัวเราะ
“เราก็ตกลงกันมาแล้วยังไง ว่าต่างคนต่างไม่ต้องเกรงใจกันเชิญใช้เวลาของคุณตามสบายจนกว่าจะห้าโมง”
“ก็ฉันอยากจะให้เธอช่วยเลือกนี่นา เธอรู้จักเพลงดีกว่าฉัน” อีกฝ่ายหนึ่งว่า
“ผมคิดว่า รู้จักดีหรือไม่ดีก็ไม่สำคัญเท่าความชอบใจ” เขาแย้งอีก แต่พร้อมกันนั้นเขาละจากที่เก่าเดินไปหาหล่อน
จิตราเงยหน้าขึ้นจากหีบเสียง หันมายิ้มกับเขาด้วยกิริยาอันน่ารักตามเคยของหล่อน เท้าของหล่อนขยับช้า ๆ ไปตามจังหวะเพลง และตัวของหล่อนก็เอนไปมาเล็กน้อยเข้ากับจังหวะอยู่เหมือนกัน หล่อนชี้มือไปยังแผ่นเสียงตั้งใหญ่ ซึ่งผู้ขายยกมาวางให้หล่อนเลือกและพูดว่า
“นั่นแน่ะ ซูเบอรต๑ โมซาร์ท๒ เบโธเวน๓ เป็นแถว ฉันจำไม่ได้ เพลงไหนมันยังไง ขืนต้องเปิดฟังก่อนทุกเพลง ก็ค่ำเปล่าอยู่ที่นี่เอง”
หล่อนพูดขึ้นอีกในครู่ต่อมา ในระหว่างที่บันลือยกแผ่นเสียงขึ้นอ่านดูตัวอักษรทีละแผ่น ๆ แล้วแยกแผ่นที่เขาสนใจไว้ทางหนึ่ง
“นี่ โฟลเทาว์๔ มีอยู่ ๒ แผ่น เป็นยังไงก็ไม่รู้อีตานี่น่ะ บันลือรู้จักไหม ?”
“ผมรู้จักน้อย ดูชื่อเรื่องซี”
“มาร์ธา๕”
“อ๋อ มาร์ธา คุณไม่รู้จักรี ลาสต์ โรส ออฟซัมเมอร์๖ ใคร ๆ ก็รู้จัก”
“ฉันก็รู้จักแต่ลืมว่าเป็นของโฟลเทาว์” จิตราหัวเราะ “ของฉันมีแล้วด้วยซ้ำ เออ เราเอาสองแผ่นนี่ด้วยจะได้ไปเข้าชุด อ้าโซเพียวร์๗” จิตรายกศีรษะทำท่าซาบซึ้งในทีเล่น
บันลือยิ้ม ทันใดนั้นเขาเอื้อมมือไปหยิบแผ่นเสียงส่งให้หล่อนแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพูดว่า
“วานเอาแผ่นนี้ไปเป็นคู่ ริโกเล็ตโต้๘ ของเวอร์ดี้๙ วูเมอน อี๊ส ฟิคเคอล๑๐”
“ฉันมีแล้วย่ะ” จิตราว่าแล้วค้อนให้ “เธอน่ะอะไร ที่ด่าผู้หญิงละก็ถูกใจทั้งนั้นแหละ” นึกถึงหญิงผู้ขายของในห้างนี้ขึ้นได้ จิตราทำลิ้นโผล่ออกมาจากริมฝีปากนิดหนึ่งพลางมองไปดู แต่เจ้าหล่อนผู้นั้นยืนอยู่ค่อนข้างห่าง จิตราขยับเท้าชิดบันลือ จนไหล่ของหล่อนสีกับแขนเสื้อของเขา แล้วพูดสืบไป “นี่แม่น้องสาวของฉันเขายังไม่ได้แสดงอะไรที่จะกลับความคิดของเธอในเรื่องผู้หญิงบ้างหรอกรึ ?”
บันลือเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน ยิ้มอย่างเห็นขัน แต่พูดเป็นเชิงสงสัย “คุณนึกว่าความคิดของผมในเรื่องผู้หญิงเป็นยังไง ถึงได้หวังให้ใคร ๆ มาเป็นผู้กลับให้เป็นอย่างอื่น ทีนี้สมมติว่าในโลกนี้มีใครสักคนที่วิเศษพอที่จะกลับความคิดของผมได้ ใครคนนั้นก็ต้องเป็นคุณจิตราไม่ใช่ใครนอกไปจากนี้หรอก”
หล่อนทำหน้านิ่ว พลางมองดูเขา “พูดอะไรแปลก ๆ เสมอ คุณน่ะ” หล่อนว่า “ผู้ชายจะรู้จักผู้หญิงได้จริงจังก็ต้องเรียนจากเมียของตัว ทำไมถึงจะไพล่ไปเรียนจากเมียของคนอื่น ว่าถึงเธอ เมียคนแรกทำให้เธอเห็นผู้หญิงเป็น—อะไรที่บ้า ๆ บอ ๆ ไอ้อย่างที่ใช้ไม่ได้ไปหมด แต่เมียคนหลังนี่น่ะฉันดูแล้วเชื่อว่าผิดกับคนแรกอย่างน้ำกับไฟ เพราะยังงั้นถึงได้ถามว่า เขาแสดงอะไรให้เธอเปลี่ยนความเห็นในเรื่องผู้หญิงมั่งหรือยัง?”
บันลืออมยิ้มแล้วมองดูแผ่นเสียงเฉยอยู่ ทำท่าเหมือนไม่เข้าใจว่าจิตรากำลังรอฟังคำตอบ เจ้าหล่อนผู้นี้จึงว่า
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกทำตัวให้คนงงเสียทีนะ บอกมาเอาเด็กของฉันไปทำยังไง ? ทำไมเขาถึงไม่บอกข่าวคราวของเขามาให้ฉันรู้มั่ง ? เธอควรจะรู้ว่าเธอมากรุงเทพฯ ทีไรเป็นต้องพบกับฉันทุกที อย่างน้อยควรจะ—ถึงไม่เขียนจดหมายก็ควรจะสั่งอะไรมาสักสองสามคำ”
บันลือเท้าข้อศอกข้างหนึ่งลงบนกรอบข้างตัวเขาหันมามองดูจิตราเต็มหน้า แล้วก็หัวเราะและว่า
“ปัญหามาทีละหลาย ๆ ข้อ จนไม่รู้ว่าจะตอบข้อไหนถูก คุณนี่จะยิ่งกว่าแม่ยายที่คอยตามไล่เต่าไล่แล่นลูกเขย ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเพื่อนผู้หญิงน่ะ เขาทำหน้าที่แทนกันได้ยิ่งกว่าแม่ยายทำหน้าที่แทนลูกสาว”
“ฉันก็มีความคิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้เองว่า เธอน่ะมีอะไร—ไม่บริสุทธิ์อยู่ในใจ” จิตราตอบโดยเร็ว แต่หล่อนพูดไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะแผ่นเสียงได้หมุนไปถึงที่ ๆ ต้องหยุด และผู้ขายได้เดินเข้ามาใกล้หล่อน
“ตกลงเอาแผ่นนี้ด้วย” จิตราสั่ง “นั่น ๕ นี่อีก ๒” หันไปทางบันลือ “ไหนเธอเลือกอะไรได้มั่ง?”
ฝ่ายเขาหัวเราะ “คุณจะเป็นคนฟัง แต่ให้ผมเป็นคนเลือก—”
“ก็ฉันบอกแล้วนี่นาว่าฉันเชื่อเธอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมดนี่แหละ โหลหนึ่งดี ๆ ทั้งนั้น นี่ ซัลลิเว็น๑๑ ต้องการไหม ? มิกาโด๑๒”
“อี้ ไม่เอา มีแล้ว”
“เลอฮาร์๑๓ ล่ะ เมอรี่วิโดว์๑๔”
“เอ๊ะ นั่นไม่มี แต่จืดไม่ชอบ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะเลือกอีกแล้ว” เขามองไปทางผู้ขาย “นี่ครับทั้งหมดนี่ เว้นแต่ ๘ แผ่นที่แยกไว้”
แล้วบันลือละจากที่เก่าเดินไปทางตู้กระจก ซึ่งมีสมุดโน้ตเพลงวางอวดอยู่เป็นแถว มองดูสมุดเหล่านี้แล้วใจของเขาก็กลับไปคิดถึงบ้านในชนบท คราวนี้เป็นคราวแรกที่เขาจากที่นั้นมาด้วยความรู้สึกว่าจากบ้าน แต่ก่อนเขาจากมาด้วยความรู้สึกว่าเขาละงานไว้เบื้องหลัง และถ้าหากว่าเขารีบกลับไป ก็กลับด้วยความเป็นห่วงงาน ที่อยู่ของเขามิได้มีความหมายสำหรับใจของเขายิ่งไปกว่าที่พักคนเดินทาง
เขาได้ยินเสียงจิตราถามขึ้นว่า “ที่บ้านไร่ของเธอมีวิทยุไหม ?”
“ไม่มี” เขาตอบ
“หีบเสียงล่ะ”
“ไม่มีเหมือนกัน” เขาหัวเราะ “ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่นับว่าเป็นของฟุ่มเฟือย”
หล่อนหัวเราะเยาะโดยไม่แสร้งทำให้เป็นอย่างอื่น แล้วเดินเข้ามาใกล้เขา และพูดเสียงเบาพอให้เขาได้ยิน
“ทุเรศ ! อยู่ ๆ ก็ทรมานตัวโดยไม่จำเป็น”
“ผมถือภาษิตของภัสดาคุณยังไงล่ะ จะหากินจากที่ดินก็ต้องอยู่ด้วยของที่เกิดจากดิน ไม่ยังงั้นจะฉิบหาย”
หล่อนทำจมูกยื่นใส่เขา “โคมลอย” หล่อนว่า “ไอ้พรรค์นั้นแหละจะทำให้เธอเบื่อเร็วขึ้นอีกละ ไหน ๆ เราก็ตั้งใจจะทำงานให้เป็นงานจริง ๆ ก็ทำบ้านให้มันเป็นบ้านเสียด้วยสิ นิสัยของเธอน่ะขาดอะไรอยู่อย่างหนึ่ง คือเธอไม่รู้จักเดินสายกลาง อะไร ๆ ของเธอมันสุดสายป่านไปเสียหมด” แล้วหล่อนก็ละจากเขาไปทางอื่น
บันลือมองตามหลอนไปโดยไม่มีเจตนา นึกขำในคำของหล่อนที่แนะนำเขาในเรื่องทำบ้านให้เป็นบ้าน เขากำลังสารภาพกับตัวเองว่าบ้านของเขาในชนบทได้เป็นบ้านตามความหมายอันแท้จริงแห่งภาษาขึ้นแล้ว ก็พอดีจิตรามาพูดขึ้น เขามีความรู้สึกเป็นห่วงบ้านตั้งแต่นาทีแรกที่รถยนต์ได้พาเขาห่างบ้านไปสุดสายตา—เห็นจะเป็นเพราะเขาได้ละลูกทั้งสองของเขาไว้ ณ ที่นั้นกระมัง ?
จิตราชำระเงินเสร็จ เด็กรับใช้ในห้างนำแผ่นเสียงไปไว้ที่รถ เจ้าของรถและเพื่อนหญิงของเขาเดินตามออกไปพร้อมกัน อีก ๕ นาทีภายหลัง รถก็มาจอดในถนนสั้นอันเป็นซอยเล็กถนนหนึ่ง หน้าห้างขายเครื่องยนต์เกี่ยวกับการกสิกรรม
จิตรานั่งอยู่ในรถ บันลือเข้าไปในห้าง หล่อนมองเห็นเขาได้โดยฝาห้องซึ่งเป็นกระจกตลอดด้านหน้า ผู้จัดการห้างโค้งคำนับเขาอย่าง ‘แป้น’ ที่สุด หยิบกระดาษและสมุดต่าง ๆ มากางตรงหน้าเขา ฝ่ายเขาก็ควักสมุดพกและดินสอออกจากกระเป๋าเสื้อ ทั้งสองต่างเขียนและพูดกันไปพลาง แล้วก็ย้ายจากที่เก่าไปยืนพูดกันในที่ใหม่ จิตรามองตามเขาทั้งสองตลอดเวลา หล่อนชอบดูกิริยาท่าทางของบันลือ ไม่ว่าเขาจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะขยับท่าไหน ความประเปรียวเหมาะเจาะสมส่วนไม่มีเวลาที่จะขาดจากอิริยาบถของเขา ในสายตาของจิตราบันลืออาจเป็นต้นเหตุแห่งความอกหักของหญิงได้ง่ายเหลือเกิน ง่ายอย่างที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างใดเลยเพียงแต่เขาจะปล่อยให้หล่อนหลงรูปของเขาโดยไม่แสดงอาการดูถูก หรือแสดงความเห็นขันที่เกิดขึ้นในใจเขาให้ปรากฏแก่เจ้าหล่อน เขาก็จะเป็นฝ่ายที่มีหญิงใฝ่ฝันถึงจนนับไม่ถ้วน
ในฐานะที่ตนเองก็เป็นหญิง และรู้ฤทธิ์เสน่ห์ในตัวบันลือเป็นอย่างดี จิตราขอบใจเขาที่เขามิได้ใช้สิทธิ์อันนั้นเป็นเครื่องทำลายหญิงคนหนึ่งคนใด เมื่อเขาพูดกับผู้หญิงเขาพูดเพราะมาก แต่เขาไม่พยายามให้ใครเชื่อว่าเขาพูดโดยจริงใจ เขาเลือกยอผู้หญิงได้ถูกตรงที่ผู้หญิงต้องการให้ชายชมเสมอ แต่เขาไม่เว้นที่จะแสดงโดยสีหน้าหรือน้ำเสียงให้หญิงรู้ว่าเขายอหล่อน มิใช่ว่าเขาชมหล่อนด้วยความรู้สึกนิยม ดูเหมือนเขาจะถือว่าการยอเป็นกฎอันหนึ่งในการสมาคมกับสตรีไม่ว่าแก่ว่าสาว และเขาดำเนินตามกฎนี้เพื่อให้ถูกตามแนวทางการสมาคม
มองตามเขาเดินลับหายไปทางหลังห้าง จิตราสงสัยนักว่าเขาได้ปฏิบัติตัวของเขาต่อภรรยาคนใหม่ในสถานใด ถ้าเขาได้แสดงความรักต่อภรรยา หรือแม้แต่เพียงจะปล่อยให้ภริยารักเขา โดยไม่ใช้คำพูดหรือสีหน้าให้หล่อนรู้สึกว่าเขาเห็นหล่อน เป็นเหมือนชวนหัวเช่นเดียวกับหญิงทั่วไป ภรณีคงจะเป็นหญิงที่กำลังเริงอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่รสรักอันเริงแรง และการที่ภรณีมิได้คิดจะส่งข่าวคราวถึงจิตราบ้างตามที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งก็น่าจะเป็นเพราะหล่อนเพลินไปในความสุขอันใหม่นี้จนลืมคิดถึงสิ่งอื่น แต่ถ้าในประการตรงกันข้าม คือบันลือปฏิบัติต่อภรรยาเหมือนดังที่เขาปฏิบัติต่อหญิงอื่น ภรณีจะต้องผจญกับความร้อนอย่างมหันต์ที่เกิดขึ้นในใจของหล่อนการที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับบันลือทุกคืนทุกวัน ย่อมเป็นการบังคับมิให้ภรณีหลีกเลี่ยงจากการหลงรักบันลือได้ ดังนี้ภรณีน่าจะกำลังผจญกับความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะไม่มีความร้อนอันใดอีกแล้วในโลกนี้ ที่จะเป็นเหตุแห่งทุกข์หนักโดยแน่แท้ เหมือนความร้อนอันเกิดแต่ความรักที่ไม่มีฝ่ายสนอง
บันลือกลับออกมาทางหน้าร้าน ผู้จัดการห้างเดินตามออกมาส่งและโค้งคำนับอย่าง ‘แป้น’ ยิ่งขึ้นกว่าคราวก่อน ต่างฝ่ายต่างกล่าวคำขอบคุณแก่กันและกัน แล้วบันลือก็เดินอย่างเร็วมาที่รถของเขา
“เบื่อไหม คนสวย ?” เขาถามพร้อมกับที่สตาร์ทเครื่องและมองดูหล่อนด้วยดวงตาแสดงความพอใจ “มัวไปดูเครื่องสูบน้ำแบบใหม่ เลยช้าไปหน่อย”
“ก็สัญญากันแล้วนี่นา ต่างคนต่างจะไม่เบื่อกัน” จิตราตอบ
“แหม ขอบใจจริง นี่จะไปไหนอีก ? เรื่องของผมเสร็จหมดแล้ว ต่อไปนี้แล้วแต่คุณจะสั่ง”
“ฉันอยากไปดูแพรกับไหมพรม”
“ที่ไหนล่ะ ?”
“ก็ออกไปจากตรอกนี้เสียก่อนซี แล้วจะบอกให้ แต่ฉันสงสารเธอเหลือเกิน จะต้องไปนั่งร้อนอยู่ในรถนานนะผู้หญิงซื้อแพรตัดเสื้อน่ะ”
“ถ้าสงสารว่าจะต้องนั่งคอย ผมไปเดินกับคุณด้วยก็ได้ ดีเสียอีกจะได้ฟื้นความรู้ในเรื่องสมัยของผู้หญิง ไม่ยังงั้นจะเป็นตาสีตาสาขึ้นทุกวัน หรือคุณกลัวจะถูกนินทาว่าไปเที่ยวกับชายหนุ่มสองคน”
“ฮื่อ” จิตราอุทาน “ว่าแต่เธอจะอายไม่อยากเดินกับคนรูปร่างอย่างฉัน ไปเที่ยวซัดนั่นซัดนี่”
เขามองมาดูร่างของหล่อนโดยเร็ว แล้วก็หัวเราะและพูดว่า
“ผมไม่ไปเที่ยวออกรับไอ้เรื่องที่ผมไม่ได้ทำหรอก อย่ากลัวไปหน่อยเลย”
หล่อนเงื้อมือดังจะตีเขาที่แขนให้สาใจ แต่มิได้ดี ค้อนพลางกล่าวว่า “พูดอะไรไม่มีละ อย่างน้อยก็สามแง่เสมอ”
ครั้นเมื่อรถออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว จิตราก็พูดขึ้นอีก
“ฉันเปลี่ยนใจเสียแล้วละ บันลือ ออกรู้สึกว่ายืนมาพอแล้วไม่อยากเดินอีก ไปคุยกันที่บ้านเถอะนะ ถ้าเธอไม่มีโปรแกรมอย่างอื่น”
“เอ๊ะ ก็คุณชวนผมกินข้าวกลางวันไว้ไม่ใช่หรือผมจะมีโปรแกรมอื่นได้อย่างไร ?”
“จะไปรู้เรอะ เผื่อเธอมีธุระทางแถวนี้อีกล่ะ”
“ไม่มี” บันลือตอบอย่างหนักแน่น แล้วเร่งรถให้วิ่งเร็วขึ้น
ระหว่างทางทั้งสองคุยกันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ แล้วแต่สิ่งที่ผ่านสายตาเขาไปจะชวนให้คิดชวนให้พูดไม่ช้าก็มาถึงบ้านจิตรา เจ้าของบ้านเชิญแขกเข้าไปในห้องรับแขกแล้วหล่อนเองทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในท่าพักอย่างสบาย
คนใช้ผู้ชายยกแผ่นเสียงเข้ามาในห้อง และนำไปวางที่บนโต๊ะใกล้หีบเสียงเครื่องไฟฟ้าโดยเรียบร้อย แล้วทำท่าจะกลับออกไปจิตราเรียกเขาไว้แล้วถามบันลือ “จะดื่มอะไรคะคุณ เบียร์เอาไหม ? หรือเอาวิศกี้ ?”
เขาสั่นศีรษะโดยเร็ว “น้ำเย็น” เขาตอบ “เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่ากินเหล้าเวลากลางวันแล้วไม่สบายมันร้อนเกินไป”
เขาถือสมุดภาพที่เขาได้หยิบขึ้นจากบนโต๊ะติดมือไว้ด้วย แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“เอาน้ำเย็นมาสองถ้วย” จิตราส่งคนใช้ “แล้วดูถีตาตุ๊นอนหรือยัง ถ้ายังบอกให้เชื้อพามานี่ แล้วบอกคุณแดงมาด้วย” สั่งแล้วหล่อนทำท่าหาความสบายต่อไป ส่วนบันลือก็พลิกสมุดภาพทีละใบ ๆ อย่างแช่มช้า มีท่าว่าดูภาพในสมุดนั้นด้วยความสนใจและเพลิดเพลิน
ครั้นค่อยหายอึดอัดและหายร้อน จิตราจึงเปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ จัดผมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ดีขึ้น แล้วพูดว่า
“เธอเห็นหยำเหยอะไปไหม บันลือ ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อนและทำท่าสนเท่ห์ จิตราหัวเราะแล้วพูดสืบไป
“หยำเหยอะ เผละผละ ท่าทางเป็นคนขี้เกียจ ฉันอ๊ายอาย ไม่อยากพบใครเวลาเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับเธอฉันยอมอาย เพราะไม่รู้จะทำยังไง มีอะไรที่ฉันอยากฟังจากเธอมากเหลือเกิน”
เขามองดูหน้าหล่อน เห็นลักษณะความสวยของหญิงที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง แต่ก็ยังมีความเบิกบานของหญิงสาวที่มีสุขเต็มเปี่ยมปรากฏอยู่ เขารู้ว่าจิตรารู้ดีถึงความที่ตัวหล่อนเป็นผู้มีเสน่ห์อยู่ในรูปและในจริตแต่หล่อนต้องการคำบอกเล่าจากปากผู้อื่นเพื่อความแน่ใจยิ่งขึ้น
“คุณควรจะภูมิใจ ในเวลาที่คุณกำลังทำหน้าที่สร้างชีวิตแก่สัตว์ที่เป็นยอดของสัตว์” เขากล่าวในเสียงเป็นงานเป็นการ ซ่อนความรู้สึกเห็นขันไว้ในหน้า “ผู้หญิงที่กำลังทำหน้าที่อันนี้เป็นผู้ที่มนุษย์ทุกคนต้องมองดูด้วยความนอบน้อมและปรานี ในฐานะที่เป็นมารดาโลก”
หล่อนทำเสียงอืม์ ! ในคอแล้วว่า
“เธอน่ะ พูดอะไรก็พูดตามทฤษฎีเสียมากเหลือเกิน แต่ไอ้ในใจของเธอ—” หล่อนละประโยคค้างไว้เพียงนั้น
บันลือหัวเราะ “ในใจของผมมันมีอะไรมั่งก็ช่างมันปะไร เพราะผมรักตัวของผมมากเกินที่จะทำอะไรให้ผิดไปจากกฎของสังคม จนถึงกับแตกหัก”
“เธอทำให้ฉันนึกถึงพวกตัวโกงในหนัง หรือในหนังสือต่างๆ” หล่อนว่าอย่างจริงจัง “พวกหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าคนทำอย่างหนึ่ง ลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง”
“อ๋อ พวกหน้าไหว้หลังหลอกน่ะ สันดานของเขายังหยาบมากไป” สีหน้าบันลือไม่เปลี่ยนจากลักษณะหัวเราะ “เพราะเขาไม่อายคนด้วยกัน อย่างผมน่ะสันดานประณีตกว่านั้น ผมเพียงแต่หน้าไหว้ในหลอก เพราะผมเป็นคนขี้อาย อายคนไม่เลือกหน้า”
“คนที่สันดานประณีตจริง ๆ เขาอายจนกระทั่งตัวเขาเอง”
“โอ้ คุณจิตรา” บันลือร้อง “คุณนึกว่าคนในโลกนี้มีมากนักหรือ ที่รู้จักตัวเองดีพอ ถึงกับมีโอกาสได้อายตัวเอง ?”
“ทำไมจะไม่มี” หล่อนยืนยัน “คนสุจริตทุกคนต้องรู้จักอายตัวเอง”
“ถูกแล้ว ถ้าเขารู้จักตัวเขาดี เท่ากับที่คนอื่นเขารู้จัก หรือเห็นตัวของเขาเองชัดเท่าที่คนอื่นเขาเห็น แต่คนอย่างนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ตามที่ผมสังเกตนะ คุณจิตราผมจะบอกให้ คนเรารักษาความสุจริตต่อคนอื่นง่ายกว่าที่จะรักษาความสุจริตต่อตัวเอง จะโกหกคนอื่น ไม่ค่อยกล้ากลัวเขาจับได้ แต่กับตัวเองละก็บ่อยที่สุด แล้วโกหกพล่อย ๆ เสียด้วย”
จิตรายอมรับอยู่ในใจว่า เขาพูดตามหลักความจริงอันสูงและประณีต แต่หล่อนไม่สมัครจะยอมรับเช่นนั้นต่อเขา จึงพูดแกมหัวเราะ “เขาว่าคนเราใจของตัวเป็นอย่างไรก็นึกว่าใจคนอื่นเขาเป็นอย่างนั้นด้วย”
บันลือขยับไหล่น้อย ๆ และว่า “ขอบคุณที่ออกปากแสดงความเชื่อว่าผมพูดตามความจริงใจ นับว่าผมไม่ได้เสียสละโดยเปล่าประโยชน์”
หล่อนอมยิ้มมองดูเขานั่งอยู่ ในขณะที่เขาพลิกสมุดภาพดูไปอีก แล้วคนใช้นำน้ำเย็นเข้ามาและบอกว่า
“คุณตุ๊ลงเปลแล้ว”
“หนูแดงล่ะ ?” บันลือถาม
“นั่นซิ หนูแดงทำอะไรอยู่ ?”
“เล่น” ผู้ตอบยิ้มน้อย “ตัดใบไม้เกลื่อน ผมบอกแล้วคุณให้หา”
“ไปบอกอีกไป๊ว่า คุณบันลือมา” จิตราสั่ง
“อย่ากวนแกเลย แกกำลังเล่นเพลิน” บันลือค้าน “เล่นเบื่อเมื่อไหร่แกก็มาเองแหละ”
“เอ้ายังงั้นไม่ต้องไปเร่ง แต่บอกให้รู้นะว่า คุณบันลือมา”
เมื่อคนใช้ไปพ้นแล้ว หล่อนหันกลับมาถามบันลือ
“เด็ก ๆ ของเธอเป็นยังไงมั่งล่ะ ไปอยู่หัวเมืองถูกกับอากาศไหม ?”
“เห็นจะถูก ดูสดใสขึ้นทั้งสองคน”
“ดี แล้วเด็กของฉันล่ะเป็นยังไง ?” หล่อนหัวเราะเมื่อเขาทำท่าไม่เข้าใจ “น้องสาวฉันน่ะ”
“สบายดี ขอบคุณ”
หล่อนร้องจุ๊ ! และว่า “เอาอีกแล้ว ฉันไม่ได้ถามถึงการเจ็บไข้ ไอ้นั่นฉันถามแล้วตั้งแต่นาทีแรกที่พบเธอแล้ว เธอก็ตอบเสร็จแล้ว เวลานี้ฉันถามอย่างอื่น ถามว่าเขาเป็นอย่างไรตามความเห็นของเธอฉันอยากรู้ว่าฉันได้เลือกผู้หญิงดีอย่างที่ฉันอยากให้ดีมาให้กับเธอหรือว่าฉันหลงงมเลือกคนบ้า ๆ มาให้”
“อ๋อ คือว่าผมทำหน้าที่ของผมขาดไปอย่างหนึ่งผมยังไม่ได้ขอบพระเดชพระคุณ คุณจิตราที่ได้หาผู้หญิงสมกับความต้องการของผมครบถ้วน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มมาให้ผมได้”
“เธอไม่มีอะไรจะข้อนฉันแล้วหรือ ทีนี้ถึงมาหาว่าฉันทวงบุญคุณ ? ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอพูดหมายความว่ากระไร”
“โถ จิตรา” เขายิ้ม “หมายความอย่างที่พูดทุกคำ”
“แปลว่าเป็นผู้หญิงที่ถูกใจเธอแล้ว ?”
“จะหาที่ถูกยิ่งกว่านี้เห็นจะไม่ได้ ?”
“เธอรักแกไหม–ถามจริง ๆ ?”
“รัก” เขาตอบหน้าเฉย แล้วก็ยิ้มออกมาในทันทีและว่า “ไม่เชื่อซี !”
“ไม่รู้” จิตราตอบอย่างตรึกตรอง “เธอน่ะเป็นผู้ชายที่—แปลก—หรือ—อะไรไม่รู้ เธอมีเวลาทำตัวให้คน—ไม่รู้จะเข้าใจเธอว่ายังไง—แล้วภรเขาทำอะไรมั่งทั้งวัน–”
“ตรงนี้ตอบไม่ถูก เพราะผมเองเช้าขึ้นก็ออกทำงานทั้งวัน ๆ เหมือนกัน”
“เล่าไปให้ตลอด” หล่อนสั่งเด็ดขาด “ตั้งแต่ตื่นนอน เธอทำอะไรมั่ง กินอาหารเวลาไหน กี่มื้อ ตื่นกี่โมงนอนกี่ทุ่ม ?”
“โธ่ ตายเทียวนาเล่าหมดนี่นะ ไปดูเองเป็นยังไง”
“อื๊อ รู้ว่าไปไม่ได้ถึงได้ท้า”
“เอ๊ะ ทำไม่ถึงไปไม่ได้” เขาทำท่าสงสัยอย่างจริงจัง “ผมรับรอง ไม่ให้อะไรกระทบกระเทือนคุณได้เลย ผมจะถนอมจิตราของผมเหมือนไข่ในหิน มดมิให้ไต่ไรมิให้ตอม”
“อ้อ ยังงั้นเธอก็ต้องเอาฉันใส่ไว้ในมุ้ง แล้วฉันก็เลยไม่ต้องได้ดูได้เห็นอะไรกัน”
“ก็คุณเกิดจะใช้ความคิดของศรีธนญชัยขึ้นมาอย่างนี้ผมก็หมดปัญญา !”
จิตราหัวเราะ “เธอเลี้ยงฉันไหวหรือ ?” หล่อนถาม “ฉันเป็นโรคกินเธอรู้ไหม กินตลอดวันทีเดียว แล้วต้องกินของดี ๆ ของวิเศษต่าง ๆ ขนาดหนวดเต่าเขากระต่าย”
“กระต่ายทางบ้านผมเผอิญไม่มีเขา ขนาดเนื้อกระต่าย เนื้อกวาง เนื้ออีเก้ง พอไหม เจ้าพวกนี้ทางบ้านผมสมบูรณ์ที่สุด นก จะต้องการเมื่อไหร่ ก็ได้เมื่อนั้น”
“แหม ปานาจัดเหลือเกินนี่ ไอ้เนื้อต่าง ๆ น่ะเธอทำอะไรกิน ?”
“ทุกอย่าง ย่าง ทอด อบ สะตู สะเต๊ก แล้วแต่เขาจะทำมาให้”
“เขาน่ะใคร แม่ครัวหรือแม่บ้าน ?”
บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ เมื่อนึกถึงนางเนียบแม่ครัวในฐานะเป็นผู้ประกอบอาหารชนิดที่เขาบรรยายให้จิตราฟัง “แม่บ้าน” เขาตอบ แล้วเล่าต่อไป
“เนื้อวัวหายากหน่อย คือว่าต้องเดินทาง ๓๒ กิโลถึงจะได้มา แต่ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็ได้เพราะ ๓๒ กิโลโดยรถยนต์ ถึงทางจะเลวแสนเลวก็ไม่ถึง ๒ ชั่วโมง”
“หมูล่ะเธอ เนื้อไม่สำคัญเท่าหมู เพราะเราต้องใช้น้ำมัน”
“หมูก็ ๓๒ กิโลเหมือนกัน แต่ว่าเจ๊กเอาส่งสองวันหนหนึ่งเป็นอย่างน้อย บางทีก็ส่งติด ๆ กันแล้วแต่เจ้าเจ๊กเขามีธุระมาทางบ้านเราหรือไม่มี”
“แหม อยู่ไกลตลาดมากเทียวรึ บ้านเธอน่ะ ?”
“ก็ ๓๒ กิโลนั่นแหละ คือระยะทางจากอำเภอมาถึงบ้าน ไอ้ตลาดมันก็อยู่ใกล้ ๆ อำเภอ”
“ฉันอยากให้เจริญไปเที่ยวกับเธอสัก ๒–๓ วัน” จิตรากล่าวอย่างตรึกตรอง “สองปีแล้วเธอเชื่อไหมเจริญทำงานโดยไม่ได้พักเลย”
“ผมก็อยากให้เขาไป” บันลือตอบ “แต่ไม่อยากเท่ากับให้คุณไป”
“อ๋อ ถ้าไม่ตอบอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เธอ” จิตรากล่าววางหน้าเฉย แล้วหล่อนก็ถามสืบไป “อาหารอย่างอื่นล่ะ ผัก ไก่ ไข่ ขนมปังปอนด์ ?”
“โอ๊ย ไอ้สามอย่างแรกน่ะเหลือเฟือ ขนมปังมีแต่หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ อย่างขนมปังเจ๊ก ไม่กินเสียดีกว่า”
“งั้นเวลาเช้าเธอกินอะไร ? ข้าวต้ม ?”
“ผมมีหมูเบคอนกับขนมปังอย่างดีกินทุกวัน” เขาหัวเราะ “ทั้งสองอย่างทำขึ้นในบ้านผม เพราะยังงั้นถึงได้บอกว่าขอบพระเดชพระคุณคุณจิตราเป็นล้นพ้น ที่ได้หาแม่บ้านชั้นที่หนึ่งให้”
จิตรามองดูเขาอย่างไม่แน่ใจนัก แล้วพูดเป็นเชิงปรารภ
“ดี ฉันพอจะมองเห็นแล้วว่าภรของฉันทำอะไรมั่ง นิสัยของเขาเป็นคนไม่ชอบอยู่เปล่าอยู่แล้ว และยังไงอีกล่ะ นอกไปจากการบ้านแล้วเขาทำอะไรอีก ?”
“ดีดออร์แกนเพลงสวด”
จิตราทำตาโต แล้วตบขาตัวเองดังฉาด แล้วจึงอธิบาย
“ฉันลืมสนิทว่าภรเคยเรียนเปียโนที่โรงเรียนจนเล่นได้ดี พิโธ่ลืมคุยให้เธอฟังไปได้ แล้วไอ้ที่บ้านป่าของเธอทำไมมีออร์แกนด้วย ไหนว่าไม่มีอะไรที่เป็นของฟุ่มเฟือย ?”
“ผมได้มันมา ตั้งแต่แรกที่ผมไปกันสร้างที่ดินนั่นพอผมปลูกกระต๊อบสำหรับพักเสร็จ ก็เอาไอ้นั่นมาไว้ทีเดียว คือว่าแต่ก่อนนี้ที่ใกล้ ๆ อำเภอมันมีโรงสวดคาธอลิคตั้งอยู่ แต่ทีหลังคนที่ไปสวดจะน้อยเข้าหรือยังไง ก็มีการย้ายโรงสวดที่อำเภอไปรวมกับโรงที่จังหวัด นายอำเภอแกเป็นนักดนตรี แกขอซื้อออร์แกนไว้จากจีนหัวหน้าโรงสวด ครั้นมาตอนหลังแกเบื่อออร์แกนอยากจะเล่นอย่างอื่น ก็เกิดอยากจะขายออร์แกนเสีย ข้างผมเป็นคนใหม่ไปกำลังประจบมนุษย์ทุกคนที่มีอิทธิพลอยู่ในแถบนั้น พอนายอำเภอปรารภว่าจะขายผมก็ปรารภว่าจะซื้อ”
“แล้วในระหว่างที่ภรไม่ไปอยู่ เธอก็เก็บไอ้เจ้าออร์แกนอันนั้นไว้เป็นเจ้า ?”
“เปล่า” บันลือตอบ “เผอิญมีประโยชน์ แก่คน ๆ หนึ่ง หัวหน้าคนงานของผมเล่นทุกคืน เสียอย่างเดียวบางทีมันหนวกหู จะอ่านหนังสือหนังหากชักรำคาญแต่ก็ต้องทนให้เขา เพราะไอ้บ้านเราเงียบยิ่งกว่าป่า เอาคนหนุ่มไปไว้ก็เห็นใจมัน”
“แล้วภรเขาเล่นได้ดีไหมเล่นขึ้นใจหรือดูโน้ต ?”
“ดูโน้ตขาดกระร่องกระแร่งดูเหมือนจะมีสักสี่หน้าเท่านั้นเอง แต่เผอิญเป็นเพลงดี เรเคียม๑๕ ของเวอร์ดี๑๖ อเวมาเรีย๑๗ ของคูโน๑๘ นายจีนหัวหน้าโรงสวดคงนึกว่า นายอำเภอเป็นนักออร์แกนมือเอก อุตส่าห์ให้โน้ตเพลงดี ๆ ไว้ เมื่อแรกมาถึงผมก็ขาดรุ่งริ่งมาเต็มทีแล้ว ได้ความว่าเจ้าลูก ๆ ของท่านนายอำเภอฉีกเล่นกันเสียหมด”
จิตรานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“พื้นของเขาดีนา บันลือ เมียเธอน่ะความรู้ของลูกผู้หญิงละเขามีพร้อม ขอให้เธอช่วยหน่อยเท่านั้นแหละ ไม่ต้องอะไรมาก เพียงแต่ว่าอย่าทำไอ้ท่าดีด ๆ หัวร่อ ๆ อย่างน่าหมั่นไส้ของเธอใส่เขาบ่อยนัก พูดกันตรงๆ ฉันไม่ค่อยไว้ใจเธอเลย เธอมีไอ้อะไรที่ฉันไม่เข้าใจ แล้วอ่านเท่าไรก็อ่านไม่ออก ไหว้ทีละ อย่าทำให้เมียของเธอเสีย เสียเพราะไอ้ที่ฉันว่าฉันไม่เข้าใจนี่นะ ผู้หญิงน่ะจะดีหรือจะเลวก็เพราะผัวคนเดียว ถ้ายายภรแกเสียไปล่ะก็ ต้องโทษเธอละ แล้วเธอเองจะต้องเสียใจ ว่าตัวน่ะเหมือนช้อนตักข้าว ไม่รู้รสแกง”
บันลือหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
“ในโคลงเขาว่า เช่นจวักตักข้าว ห่อนรู้รสแกง คุณไปเปลี่ยนของเขาเสียทำไม ถ้าผมถูกลดตำแหน่งจากมนุษย์ลงไปเป็นช้อนได้จะลดลงไปเป็นจวักอีกชั้นหนึ่งก็ไม่เห็นมันแปลกอะไรนี่ แต่ว่าช้อนหรือจวักก็ตาม มันรู้รสแกงแล้วมันอาจจะไม่ชอบก็ได้เหมือนกัน”
“แต่ยังไง ๆ ขอให้รู้เสียก่อน อย่าทำหูหนวก ตาบอด ทิษฐิมานะ มองเห็นแต่แง่เสียของคน พอดี คนดี ๆ ก็จะเลยกลายเป็นคนเสียไปจริง ๆ” แล้วจิตราก็ค้อนจนตาคว่ำ ด้วยความรู้สึกที่หมั่นไส้อย่างจริงจัง