๑๘
ดูก่อนภิกษุ พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ คือ....เป็นผู้มีดวงตา รู้สินค้าว่าสิ่งนี้ซื้ออย่างนี้ ขายอย่างนี้ เป็นต้นทุนเท่านี้ กำไรเท่านี้ อย่างหนึ่ง….เป็นผู้ฉลาด เข้าใจที่จะซื้อและเข้าใจที่จะขายอย่างหนึ่ง….(เป็นผู้ที่)คฤหบดีและบุตรของคฤหบดีย่อมรับรองด้วยโภคะทั้งหลายว่า “แน่ะสหายพ่อค้าแต่นี้ไป เชิญท่านนำโภคะไปเลี้ยงบุตรภริยาและจงแถม (สินค้าหรือทรัพย์ ?) ให้เราบ้างตามเวลาอันควรเถิด” อย่างหนึ่ง….พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ นี้ ย่อมถึงความใหญ่ ความไพบูลย์ ในโภคทรัพย์ไม่นานเลย
“ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เอ๊า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เอ๊า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง”
“จึ๊ก ชั่กชั่ก จึ๊กชั่กๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง จึ๊ก ชั่กๆ จึ๊กชั่กๆ”
ผู้โดยสารในรถคันนี้มีอยู่ ๔ คน เป็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง และเป็นเด็กชายกับเด็กหญิงคู่หนึ่ง เสียงที่ดังเป็นจังหวะเข้ากับเสียงล้อรถกระทบรางนั้น เป็นเสียงของเด็กชายกับเด็กหญิง ซึ่งยืนคู่กันอยู่ตรงริมหน้าต่าง หญิงสาวผู้ซึ่งนั่งชิดกับตัวเด็กหญิงกลั้นหัวเราะไว้ได้โดยยาก ความคะนองของเด็กทำให้เจ้าหล่อนนึกสนุก มีความรู้สึกคล้ายตัวเป็นเด็กรุ่น ๆ ในสมัยที่ยังเล่าเรียนและเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปหาบิดาในเมื่อโรงเรียนปิดภาคปลายปี แต่ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างตรงกันข้ามและห่างจากเด็กไปนั้น ได้ขมวดคิ้วอย่างรำคาญและลดหนังสือพิมพ์จากระดับตา ทำท่าขยับปากจะห้ามเสียหลายครั้ง แต่แล้วก็ยังหาได้ห้ามไม่ ในที่สุดเขาพับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นกอดอกและทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง
มองดูภูมิประเทศที่รถแล่นผ่าน เป็นที่ราบแลโล่งสุดสายตา ฝนได้เริ่มตกบ้างแล้ว ที่นาบางแห่งมีรอยไถปรากฏอยู่ ชายหนุ่มนึกถึงนาที่เขาเป็นเจ้าของ ทางถิ่นที่เขาอยู่เป็นที่ดอนกว่าถิ่นที่เห็นอยู่บัดนี้ และยังมิได้รับฝนกี่มากน้อย ดังนั้นจึงยังมิได้มีการลงมือไถ แต่ไร่ของเขาอยู่ในระยะปลูกพืชลง และพืชตั้งตัวได้แล้วก็มี อยู่ในระยะที่จะต้องเก็บเกี่ยวผลแห่งพืชก็มี ถ้าจะรอให้งานประการหลังนี้สำเร็จเสียก่อน รวมทั้งงานไถพลิกดินและทับดินทิ้งไว้แล้ว จึงจะลงมือไถนาจะทันกับฤดูกาลหรือไม่
แล้วเขานึกถึงการติดต่อหาลูกค้าที่จะรับพืชผลของเขาไปจำหน่ายในท้องตลาด เมื่อปีกลายนี้เขาได้ลูกค้าที่ปฏิบัติการต่อเขาเป็นที่พอใจ แต่เมื่อปีกลายงานของเขายังเป็นแต่เพียงงานที่อยู่ในขั้นทดลอง พืชผลยังมีน้อยลูกค้าที่มาติดต่อเป็นแต่เพียงจำนวนพ่อค้าย่อย ก็รับพืชผลไปจำหน่ายได้สิ้น ปีนี้งานของเขาใหญ่โตกว่าเมื่อปีกลายหลายเท่า เขาต้องติดต่อกับลูกค้าจำพวกพ่อค้าใหญ่ ต้องวิ่งเต้นให้การขนส่งดำเนินไปได้คล่อง เพื่อพืชผลของเขาจะออกสู่ท้องตลาดได้เร็ว ในการนี้เขาต้องสร้างมิตรภาพแก่บุคคลต่างชนิดต่างจำพวก ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท อันเอกชนเป็นเจ้าของ ตลอดจนกระทั่งราษฎรผู้เป็นเจ้าของเกวียน เจ้าของวัว เจ้าของเรือ รวมทั้งผู้มีอาชีพในการรับจ้างถ่อเรือบรรทุกสินค้า
เท่าที่เป็นมาแล้ว งานของเขานับว่าดำเนินไปด้วยดี การติดขัดเล็ก ๆ น้อย ๆ มีบ้างและมีบ่อย ๆ แต่เขาก็ได้แก้ตกไปโดยไม่ยากนัก ในปัจจุบันนี้เขาพอใจว่าเขาได้ทำงานที่เขาชอบสมความปรารถนา อีก ๒–๓ เดือนข้างหน้า ถ้าพืชผลของเขาออกสู่ท้องตลาดโดยบริบูรณ์ เท่าที่เขาคำนวณไว้เขาจะได้ลิ้มรสความภูมิใจแห่งความสำเร็จของเขา
หญิงกลางคนเข้ามาทางประตูข้างหน้า ชายหนุ่มเดินเซเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นกับอาการแกว่งของรถ นางใช้มือจับพนักที่นั่งช่วยพยุงตัวมาจนตลอดทาง ครั้นมาใกล้เด็กทั้งสองก็หยุดและถามว่า
“ทานข้าวกันหรือยัง ย่ำค่ำแล้ว ?”
เด็กทั้งสองหาได้ยินไม่ ด้วยมัวแต่เพลินอยู่กับการส่งเสียงแปลก ๆ ต่าง ๆ เข้ากับจังหวะกับเสียงรถ หญิงสาวจึงช่วยถามซ้ำ
เด็กหญิงเป็นผู้เข้าใจคำถามก่อนก็หันมาดูแล้วหมุนตัวให้หลังพิงกรอบหน้าต่าง เด็กชายหันตามมาได้ฟังคำถามก็เอียงคอมองดูหญิงสูงอายุแล้วว่า
“ไกก็ดิ้น ไม่กินก็ได้ ไกก็ดิ้น ไม่กินก็ได้”
หญิงสาวหัวเราะคิ๊กออกมาทันที และหญิงผู้สูงอายุเองก็ทำหน้าเฉยอยู่ได้โดยยาก อย่างไรก็ตามนางพูดด้วยเสียงดุ
“เอาอีกแล้ว คุณก้อง เดี๋ยวเถอะ คุณพ่อได้ยินเข้าหรอก”
เด็กชายหยุดทำเสียง หันกลับไปหาหน้าต่างอย่างไม่เอาใจใส่ต่ออะไรทั้งสิ้น เด็กหญิงก็ทำตามเด็กชาย หญิงสาวจึงตัดสิน
“ถึงเวลาแล้วก็เอามาให้รับประทานก็แล้วกันแม่พวง”
อีกฝ่ายหนึ่งรับคำโดยอาการนิ่ง ค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังไปตามทาง แต่พอใกล้จะถึงประตูก็ชะงัก ชายหนุ่มได้ใช้มือป้องปาก และร้องเรียกว่า “นม นม มานี่ก่อน”
แต่เมื่อนางพวงกำลังจะเดินเข้าไปหาเขา เขาเกิดนึกรำคาญอาการที่นางพวงก้าวขาช้ามาก ก็ลุกจากที่ไปหานางพวงเสียเอง
“นอกจากข้าวสำหรับเด็ก ๆ แล้ว หามาเผื่อคนอื่นมั่งหรือเปล่า ?” เขาถาม
นางพวงทำท่าสนเท่ห์ “ก็คุณสั่งแต่ว่าให้หาข้าวมาให้คุณเล็ก ๆ—”
เขาร้องจุ๊ ! อย่างรำคาญ “แล้วนมเองน่ะไม่รู้จักหิวรึ ?”
นางพวงนิ่ง ปัญหาข้อนี้ยังไม่ได้ผ่านสมองนางพวงเลย แต่ในที่สุดก็ตอบได้ “หิว นมก็กินเหลือคุณเล็กๆ”
“ก็คนอื่นล่ะ ?” เสียงของเขาห้วนยิ่งขึ้น
นางพวงทำท่าเหมือนจะตอบว่า “จะไปรู้เรอะ” แต่หาได้ตอบออกมาไม่ ชายหนุ่มแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏออกมาทางสีหน้า แล้วหันหลังกลับไปนั่งโดยไม่พูดว่ากระไร
อารมณ์ของเขาที่เรียบเป็นปกติดีเมื่อครู่ก่อน เริ่มจะผันแปร “นี่เรื่องอะไร จะพาคนมาอดข้าวตาม ๆ กัน!” เขารับว่าเขาได้สั่งนางพวงว่า “หาข้าวเย็นไปให้เด็ก ๆ กิน นะ นม” ดังนี้จริง แต่เขาตั้งใจจะให้นางพวงเข้าใจว่า “ต้องมีอาหารเย็นสำหรับผู้หญิงและเด็ก” เพราะเขาได้ชี้แจงแล้วว่ารถไฟจะถึงสถานีเวลาใด และต่อจากนั้นอีกเป็นเวลาเท่าใด นางพวงจึงจะได้เห็นที่อยู่ของเขา ควรหรือนางพวงยังมาตอบแก่เขาได้ว่า “คุณสั่งแต่ให้หาข้าวมาให้คุณเล็ก ๆ”
“ยิ่งแก่ยิ่งโง่” เขาบ่นในใจด้วยความเคือง
แลไปดู ‘ผู้หญิง’ ที่นั่งอยู่กับเด็ก ดูช่างมีเรื่องพูดเรื่องเล่นกับเด็กราวกับพูดกันเล่นกันอยู่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ส่วนเด็กนั้นก็พัวพันอยู่กับหล่อนเกือบตลอดเวลา เขาได้เห็นความสนิทสนมระหว่างลูกของเขากับเจ้าหล่อนแล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาไปถึงบ้านคุณยาย เป็นความสนิทสนมที่สะดุดใจเขา เด็กทั้งสองถ้าจะกล่าวตามเหตุการณ์ มุกดาก็ได้เป็นผู้เลี้ยงมาไม่ต่างกับแม่เลี้ยงลูก และเด็กก็คุ้นและสนิทกับมุกดาจนถึงกับทำฤทธิ์เอาบ่อย ๆ ไม่ผิดกับลูกที่ชอบทำฤทธิ์กับแม่ แต่ถึงกระนั้นเขาไม่เคยเห็นเด็กเข้าคลอเคลียพัวพันอยู่กับมุกดาเหมือนดังที่ได้กระทำต่อหญิงคนนี้ นางพวงเป็นผู้ที่เด็กทั้งสองชอบพัวพันด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าได้พัวพันเมื่อไรก็เกิดเรื่องต้องดุต้องว่ากันเมื่อนั้น เพราะเด็กจะ ‘แหย่’ นางพวงด้วยกิริยาหรือวาจาอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณนายลำดวนเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่เด็กเข้าหาด้วยความเต็มใจ แต่ก็เข้าหาเฉพาะในเวลาที่มีความต้องการในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เช่นต้องการขนมหรือของเล่น หรือต้องการจะฟ้องร้องผู้นั้นผู้นี้ด้วยความโกรธ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการสมใจแล้วก็ละไปเสีย กิริยาที่ได้ของต้องใจแล้ววิ่งไปอวด เมื่อเป็นของกินได้ก็จับใส่ปาก ยัดเยียดให้กิน ดังที่เด็กทำต่อหญิงคนนี้ เป็นกิริยาที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นลูกของเขาทำต่อใครมาก่อน
เมื่อได้พิเคราะห์ดูเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ชายหนุ่มนึกสังเวชลูกชายหญิงของตนยิ่งนัก ภายในจิตไร้สำนึกของเด็กคงจะมีความกระหายในความรักชนิดที่ไม่ถูกแบ่งแยก คือความรักที่มารดาจึงรักลูกในอกของตัวเป็นธรรมชาติอันมีน้ำหนักอยู่มาก ธรรมชาตินี้ทำให้เด็กพร้อมที่จะรักใครสักคนหนึ่งที่รักตัวด้วยความรักดังกล่าวแล้ว เมื่อเห็นใครเขาใจดีต่อ เล่นด้วย หัวเราะด้วย ไม่แสดงความเบื่อหน่าย ให้ตัวรู้สึกแม้แต่สักนิดสักหน่อย ก็เป็นที่ติดเนื้อต้องใจ จึงสนิทสนมกับเขาได้ในเวลาเพียง ๑ เดือน ยิ่งกว่าที่เคยสนิทสนมกับผู้ที่ได้อยู่ใกล้กันมาด้วยเวลาอันนับเป็นจำนวนปี
คิดถึงลูกแล้วก็คิดถึงยาย บุคคลเขารักมากห่วงมากเป็นที่สองรองจากลูก ท่านร้องไห้เมื่อเขาบอกให้เด็กทั้งสองกราบลาท่านครั้นตอนที่เขาอยู่กับท่านสองต่อสอง ก่อนที่จะไปขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ท่านพูดแก่เขาว่า
“ฝากแม่ภรณีด้วยนะ พ่อปุ๊”
แปลก ! คุณยายนี่ก็แปลกมาก ! ราวกับหญิงคนนี้เป็นเลือดในอกที่ท่านยกให้เขา แท้จริงนั้นเขาต่างหากเป็นผู้พาหล่อนมาให้แก่ท่าน !
แต่ก็พอดีกัน เมื่อเขาพาหล่อนมาจากท่านเป็นวันแรก ดูเหมือนเขากำลังจะทำให้หล่อนอดอาหารมื้อเย็น นมพวงนี่ร้าย เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า จะอาศัยต่างหูต่างตา ก็อาศัยไม่ได้เลย
ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งเป็นครั้งที่สอง เดินไปที่ประตู นายถีนั่งอยู่ในชั้นสามกับนางพวง เขากวักมือเรียกเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า
“ป่านนี้ในรถนี่ยังมีอะไรขายไหม ? ข้าวกับไข่หรืออะไรบ้า ๆ ที่เจ้าเคยซื้อกิน ?”
นายถีทำท่าเหมือนจะหัวเราะ “ซื้อมาคุณก็รับประทานไม่เห็นได้สักที” เขาตอบ
“ไอ้บ้า ใครบอกว่าข้าจะกิน นั่นแน่ะ” เขาพยักหน้า ไปทางที่หญิงสาวนั่งอยู่ แล้วใช้ลักษณะบังคับทำให้ตัวหาคำพูด อันบ่งถึงเจ้าหล่อนผู้นั้นโดยตรง “คุณผู้หญิง เอ็งไปออกปัญญายังไงให้มีอะไรพอกินได้หน่อยซี ข้าวผัดอย่าให้เหม็นหืน แล้วไอ้ไข่ทอดอย่าให้มีขี้ตีนโรยหน้า”
นายถีซ่อนความอ้ำอึ้งไว้ในหน้าอันเฉย เมื่อผู้สั่งหันกลับเข้าในรถชั้นสองแล้ว นายถีกลับไปอีกทางหนึ่ง พอดีสวนทางกับนางพวง นายถีอยากจะต่อว่าหญิงสูงอายุในข้อที่มิได้คิดจัดหาอาหารมาให้คุณผู้หญิงยิ่งนัก แต่ด้วยเหตุที่นางพวงได้นำเอาข้อที่ตนถูกตำหนิจากคุณผู้ชาย ไปบ่นกันนายถีเสียเสร็จแล้วเมื่อครู่ก่อน นายถีไม่อยากจะก่อกวนให้นางพวงบ่นอีก จึงระงับปากไว้
อาหารของเด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่อง มีข้าวกับหมูทอดฉีกเป็นฝอย กับไข่พะโล้อย่างละน้อย ๆ พอดี สำหรับปริมาณแห่งความอิ่มของเด็ก นางพวงหยิบของเหล่านี้ออกจากตะกร้า แล้วจัดแจงให้เด็กรับประทาน ในตอนต้นเด็กทั้งสองก็ลงนั่งบริโภคเองเรียบร้อย แต่ภายหลังต่อมาอีกครู่หนึ่ง เมื่อตักข้าวและกับใส่ปากแล้ว ก็วางช้อนเสีย ไปยืนเคี้ยวที่ริมหน้าต่างแล้วก็หันมาตักใหม่ แล้วละจานข้าวไว้ใหม่ หนักเข้านางพวงก็ต้องยกจานตามไปป้อนให้ ภรณีเห็นใจเด็กว่าเป็นธรรมดาที่จะต้องอยากดูสิ่งต่าง ๆ ที่รถไฟได้พาเขาผ่านมา จึงละที่ริมหน้าต่างที่หล่อนนั่งอยู่ให้กับเด็กหญิง รับจานข้าวของเด็กมาวางไว้ข้างตัวและรับหน้าที่ป้อนให้ เด็กชายนั่งตรงกับน้อง นางพวงเป็นผู้ป้อน การรับประทานอาหารของเด็กก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย
เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า มองเห็นวงสีเหลืองแดงรำไรอยู่เหนือยอดไม้ ชาวนาต้อนกระบือกลับเข้าคอก เด็ก ๆ ขึ้นจากน้ำตามหนและบึงริมทางรถไฟ บ้างหิ้ว บ้างสะพายผ้าชิ้นเดียวที่ปกคลุมตัว บ่ายหน้าไปทางเดียวกับสัตว์เลี้ยง เด็กที่ในรถโดยสารชั้นสองก็เงียบหงอยไปด้วย เด็กชายยังยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอียงคอมือห้อยออกนอกรถ พูดพึมพำอยู่กับตัวเองคนเดียว เด็กหญิงนั่งอยู่ริมที่สุดแห่งที่นั่ง พับกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นรูปต่างๆ ซึ่งไม่มีความหมายอันใดเลย แล้วก็คลี่ออกแล้วก็พับใหม่ กลับไปกลับมา ในที่สุดก็ขว้างกระดาษทิ้งโดยแรง ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและร้องฮื้อ! ออกมาด้วยเสียงอันดัง
เห็นจะเป็นด้วยความวังเวงแห่งเวลาสายัณห์ ภรณีมีความรู้สึกเศร้าและเซื่องซึมมองดูเด็กที่อยู่ตรงหน้าแล้วคิดถึงน้องชายน้องหญิงของหล่อนเอง ป่านนี้เขาทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อไม่มีพี่สาวคอยเป็นทั้งเพื่อนทั้งครู ทั้งผู้ควบคุมให้ทำงาน เขาทั้งสองจะได้ทำกิจในการเรียน และกิจในการบ้านเหมือนแต่ก่อนหรือหาไม่ ๓๘ วัน ทั้งวันนี้ ภรณีไม่ได้ฟังข่าวน้องคนหนึ่งคนใดเลย บิดาของหล่อนจะรู้หรือไม่ว่าภรณีตกค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ เดือนกว่า ภรณีก็เดาไม่ถูก จิตราได้เล่าให้ภรณีฟังว่า หล่อนเห็นหลวงจำนงฯ ที่สถานีแต่มิทันที่จะได้พูดจากัน ด้วยจิตราเองก็มัวแต่งงงวยในเรื่องที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาว มิได้ไปยังสถานีตามที่กำหนดไว้ และหล่อนมัวแต่ซักถามเรื่องนี้แก่พี่น้องของบันลืออยู่ เมื่อนึกถึงหลวงจำนงฯ ขึ้นได้ หล่อนมองหาก็ไม่เห็นเสียแล้ว
เด็กหญิงโผตัวเข้ามาที่ตักภรณี ศีรษะซบลงกับอกของหล่อนแล้วสีไปมา ภรณีจับต้องเด็กนี้แต่ใจยังคิดถึงเด็กอื่น ภายหลังจึงรู้สึกตัวด้วยเด็กที่อยู่ใกล้ใช้กำลังศีรษะกดกับร่างกายของหล่อนหนักยิ่งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอื๊ออ๊า หญิงสาวจับเด็กให้เงยหน้า ประหลาดว่าความรู้สึกอย่างใดเกิดขึ้นแก่เด็ก จึงแสดงอาการอึดอัดเช่นนี้
“เป็นไง” หล่อนถามเบาเกือบเท่ากระซิบ “เสียงอื๊ออ๊า ๆ ท่าจะเบื่อเต็มแก่แล้ว ?”
เด็กหญิงกลับตัวแล้วทิ้งหลังมาพิงขาภรณีโดยแรง สีหน้าไม่แสดงว่าพื้นดีขึ้น ภรณีจับศีรษะและจัดผมเพื่อจะให้หายยุ่ง เด็กก็สะบัดหนี แต่แล้วก็กลับทิ้งศีรษะลงบนแขนภรณีอีก หญิงสาวรู้ว่า ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งความหงุดหงิดได้เกิดขึ้นในใจเด็ก อาจจะเป็นด้วยความเบื่อ ด้วยความง่วงหรือด้วยความคิดถึงคุณชวด หรือคิดถึงใคร ๆ นอกไปจากนั้น หรือว่ามิได้คิดถึงผู้ใดเลย แต่มีความรู้สึกไปตามธรรมชาติของใจที่หม่นหมองลงเพราะความมืดแห่งธรรมชาติภายนอกบันดาล กำลังคิดหาอุบายจะช่วยให้เด็กแช่มชื่นขึ้น ขาขวาของเด็กก็เหยียดแผล็บออกไปข้างหน้าโดยไว มีน่องของเด็กอีกคนหนึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง แต่ชะรอยการเล็งจะไม่แม่นยำนัก จึงไม่ถูกเป้าถนัด ปลายรองเท้าได้เฉียดเอาผิวหนังเด็กชายก้องแต่เพียงนิดเดียว
ถึงกระนั้นเด็กชายก็หันขวับมาอย่างฉุนเฉียว ภรณีว่องไวมาก ก็หิ้วตัวเด็กหญิงขึ้นวางบนตักหล่อนอย่างฉับพลันกอดไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า
“หนูทำอย่างนั้นไม่สวยเลย” เงยหน้าขึ้นพูดกับเด็กชาย “ขอโทษ น้องไม่ได้แกล้งค่ะ เท้ามันไปถูกเข้าเอง”
เด็กชายไม่โต้ตอบ ละจากที่เก่าไถลตัวไปกับขอบที่นั่ง แล้วก็ไถลไปทางอื่นอีก ส่วนเด็กหญิงยังนั่งหน้าคว่ำอยู่บนตักภรณี
พอค่ำสนิท ไฟฟ้าในรถเปิดสว่าง ส่วนภูมิประเทศสองข้างทางมีความมืดขมุกขมัวปกคลุมอยู่ทั่วไป เด็กทั้งสองไม่เหลียวแลไปทางหน้าต่างอีก ก็มาพันพัวอยู่ตามข้างตัวภรณี และแก่งแย่งกันในอันจะถือเอาร่างกายของเจ้าหล่อนตลอดจนกระทั่งมือและแขนไปยึดไปกุมของคนเสียแต่ฝ่ายเดียว ภรณีรู้สึกรำคาญแต่ก็ห้ามความรู้สึกไว้ได้ ค่อย ๆ ปลอบโยนเด็กด้วยอุบายต่าง ๆ เช่นชวนให้เล่นจ้ำจี้ ตีไก่ ซ่อนนิ้วมือให้เด็กจับและทายให้ถูกว่านิ้วไหนเป็นนิ้วกลาง เด็กทั้งสองเล่นกันไปพลาง หัวเราะกันบ้างเถียงทะเลาะกันบ้าง จนกระทั่งถึงเวลาที่นายถียกอาหารเข้ามาให้ภรณี
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ หล่อนไม่รู้สึกหิวและยังมิได้คิดถึงเรื่องอาหารเลย แต่เมื่อมีผู้จัดหามาให้ก็เห็นว่าไม่ควรที่จะทำอย่างอื่น นอกจากบริโภคให้เสร็จไปเสียโดยเร็ว
หล่อนย้ายจากที่เดิมไปนั่งยังที่ตรงกันข้าม อาหารทั้งสิ้นมีอยู่จานเดียว คือข้าวผัดกับไข่ทอดซึ่งวางมาบนขอบจาน ภรณีไม่ได้นึกถึงรสอาหาร ความรู้สึกของหล่อนไม่ยอมให้หล่อนรับประทานได้เกินกว่า ๗–๘ ช้อน นายถีมิได้นึกจะจัดน้ำมาให้ด้วย ภรณีช่วยตัวหล่อนเองโดยอาศัยน้ำ ในกระติกที่นางพวงเตรียมมาสำหรับเด็กเล็กทั้งสอง
เสร็จจากรับประทาน มีปัญหาข้อหนึ่งเกิดแก่ภรณีหล่อนจะยกจานอาหารของหล่อนไปส่งให้นายถีในรถโน้น หรือจะเดินไปเรียกนายถีให้มายกเอาไป ภรณีตัดสินใจจะทำความคิดข้อแรกก็พอดีเห็นนายถีเดินเข้ามา
ชายคนใช้เมื่อยกจานขึ้นแล้ว ก็พับโต๊ะประจำที่นั่งเข้าที่ไว้ดังเดิมโดยเรียบร้อย
ต่อจากนี้มิช้าก็ถึงคราวที่ภรณีเห็นเด็กทั้งสองแสดงความหงุดหงิดเข้าหากัน จนหล่อนเกือบจะหมดปัญญาที่จะไกล่เกลี่ย หล่อนสงสัยว่าเด็กคงง่วง ทำให้อยากรู้ว่าเวลาได้ล่วงไปถึงกี่ทุ่มแล้ว อีกนานเท่าไรรถไฟจึงจะถึงสถานี หล่อนได้จัดให้เด็กหญิงนอนลงที่ข้างตัว ศีรษะพาดบนตักหล่อนเด็กชายนั้นนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วหล่อนก็เล่านิทานให้เขาทั้งสองฟังนึกน้อยใจว่า นางพวงผู้ซึ่งมีหน้าที่เลี้ยงเด็กโดยตรงมิได้เยี่ยมกรายมาดูเด็กเสียบ้างเลย และบิดาของเด็กก็ก่นแต่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับแล้วฉบับอีก นี่เขาพากันนึกว่าเขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่ครั้งไรกัน ทั้งนี้ภรณีมิได้รู้ว่านางพวงกำลังมีอาการหนักยิ่งกว่าเด็กหลายเท่า และบิดาของเด็กนั้น ถึงแม้จะถือหนังสืออยู่ไม่ขาดมือ ก็รู้ความที่เขาได้อ่านแล้วแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ นัยน์ตาของเขาบอกเขาอยู่อยู่ตลอดเวลาว่าหญิงที่มากับเขาได้ถูกลูกของเขารบกวนอย่างหนัก แต่เขาไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข ก็ได้แต่เวียนดูนาฬิกาข้อมือไม่หยุดหย่อน แล้วก็บังคับสายตาให้ผ่านไปบนหน้ากระดาษเพื่อระงับความรำคาญ
ในที่สุดเมื่อเด็กหญิงปล่อยให้นัยน์ตาหรี่ลง ๆ ทุกทีจนใกล้จะหลับสนิท และเด็กชายหาวแล้วหาวอีกหลายครั้ง และฝืนตาอยู่ได้ก็ด้วยความที่สนใจในเรื่องนิทาน รถไฟก็เปิดหวูดเสียงสนั่น ภรณีโล่งใจดังมีผู้ยกหินออกจากอก มองไปทางบันลือเห็นเขากำลังรวบรวมหนังสือพิมพ์ ยิ่งทำให้ได้ความแน่ใจ หล่อนพูดขึ้นด้วยเสียงอันร่าเริงและชวนให้เด็กตื่นเต้นไปด้วย
“ถึงแล้ว ป่องลุกขึ้นเร็ว ดูถีมีอะไรมั่ง”
ทั้งเด็กหญิงเด็กชายลุกขึ้นถลันไปที่หน้าต่างทันที แต่แล้วก็เบือนหน้ากลับโดยทันทีเหมือนกัน เพราะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด ซึ่งออกจะน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับขวัญของเด็ก ภรณีรีบชี้แจงด้วยเสียงอันแจ่มใสว่ารถยังไม่ถึงสถานีทีเดียวแต่จะถึงในไม่ช้าแล้วชวนให้เด็กจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
รถแล่นช้าลงทุกที ๆ จนเกือบจะหยุดสนิท ภรณีรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น ๆ หล่อนไม่มีเวลาที่จะค้นหาสาเหตุแห่งความวิปริตนี้ เด็กทั้งสองกำลังเต้นอยู่ข้างหล่อน ส่วนอีกทางหนึ่ง นายถีก็กำลังขนกระเป๋าเดินทางของหล่อนลงจากหิ้งเหล็กและออกจากใต้ที่นั่ง แล้วบันลือก็หิ้วกระเป๋าของเขาเข้ามาใกล้
นายถีรายงานขึ้นพร้อมกับที่ลากกระเป๋าใบสุดท้ายออกจากใต้ที่นั่ง
“ป้านมถ้าจะต้องหาม เดินไม่ไหว”
“อ้าวเป็นอะไรไป !” บันลือถาม
“แกว่าแกเมารถ ลุกไม่ขึ้นเลย”
“เอ๊ะ ก็เมื่อสักครู่นี้ก็เห็นยังเดินได้ดีอยู่นี่”
“เพิ่งเมาใหญ่เมื่อมืดแล้ว”
“วะ !” บันลืออุทานแกมหัวเราะ แล้วพูดสืบไป “เจ้าไปจัดการช่วยแกทีสิ คงไม่ถึงกับต้องหามหรอกน่ะทิ้งไอ้กองนี้ไว้นี่แหละ บอกพวกเรามาทางหน้าต่างนี้แกพานมไปขอเขาพักในห้องนายสถานีก่อน”
นายถีเดินลับตัวไปโดยเร็ว บันลือวางกระเป๋าเล็กของเขาไว้ทางหนึ่ง แล้วยกกระเป๋าใหญ่ของภรณีไปที่หน้าต่างด้วยกิริยาอันไม่แสดงความลำบากอย่างใดเลย กระเป๋าหนึ่ง สองกระเป๋า สามกระเป๋า เจ้าหล่อนผู้เป็นเจ้าของยืนมองดูเขาด้วยความรู้สึกประหลาดพิกล แล้วเขาเยี่ยมหน้าออกนอกหน้าต่าง เสียงที่เขาพูดแว่วมาถึงหูหล่อนเบา ๆ และไม่เป็นถ้อยคำ ต่อจากนั้นเขายกกระเป๋าส่งออกไปนอกรถ รวมทั้งสิ้น ๕ ใบด้วยกัน
เสร็จแล้วเขาหันมาทางธิดา ยกตัวเด็กขึ้นโดยง่ายพร้อมกับพูดว่า “มา พ่อจะอุ้ม” เขายิ้มจับคางเด็กบีบโดยแรง “เลิกโยเยที เดี๋ยวถึงบ้าน” แล้วหันไปหยิบกระเป๋าใบเล็กของเขาเอง แล้วก็เดินตรงไปที่ประตู
แต่เขามิได้ก้าวออกไปก่อนที่จะได้หันมาดู และเห็นว่าภรณีกับเด็กชายได้เดินมาทันเขาแล้ว บันไดรถสูงจากชานสถานีมาก เขาวางกระเป๋าลงเสีย แล้วหันมาโอบตัวเด็กชายลงไปวางบนชานอย่างคล่องแคล่วด้วยมือที่ว่างอยู่ เขาหันกลับมายื่นมือจะช่วยภรณีอีก แต่หล่อนได้ลงไปยืนอยู่ข้างเขาโดยเรียบร้อยแล้ว
อีก ๓ นาทีหลังจากนั้น รถไฟออกแล่นต่อไป สถานีที่บันลือลงเป็นแต่เพียงสถานีย่อยแห่งหนึ่ง นายสถานีเข้ามาทักทายบันลืออย่างผู้คุ้นเคย แต่มีกิริยาแสดงความนับถืออยู่ในที ฝ่ายเขาก็แสดงกิริยาตอบแทนในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อกล่าวอำลาเพื่อจะเดินทางต่อไปบันลือพูดว่า
“วันหลังคุยกันใหม่ วันนี้เด็กง่วงเสียแล้ว ถ้าก็จะหลับในรถยนต์ ผมมีอะไรมาฝากคุณด้วย พรุ่งนี้จะให้คนเอามาให้”
นายถีก็ได้พานางพวงไปรออยู่บนรถยนต์เรียบร้อยแล้ว เมื่อบันลือพาลูกทั้งสองกับภรณีไปถึงนางพวงกำลังหาวเรออย่างขนานใหญ่ รถนั้นเป็นรถบรรทุก แต่มีหลังคาและมีที่นั่งสองแถว ซึ่งมีเบาะรองและมีพนักสำหรับพิงได้อย่างสบาย ภรณีขึ้นนั่งในที่ตรงกับนางพวง บันลือส่งลูกหญิงตามขึ้นไปให้หล่อน ส่วนลูกชายซึ่งยึดมือภรณีแน่นอยู่นั้น บันลือกล่าวชวนว่า
“แกเป็นผู้ชาย ออกมานั่งกับพ่อข้างนอกเถอะ”
เขารับตัวเด็กลงจากรถ ชายอีก ๔ คนรวมทั้งนายถีด้วยก็ขึ้นนั่งเรียงเป็นลำดับกันไปเสียงเครื่องยนต์สตาร์ทรถเคลื่อนจากที่ ภรณีเหลียวไปดูสถานีเป็นครั้งสุดท้ายเห็นแสงไฟเป็นจุดใหญ่แต่ไม่รุ่งโรจน์ ในไม่ช้าก็ลับหายไปกับตาด้วยรถเลี้ยวออกไปตามทาง ๆ หนึ่ง
ต่อจากนั้น ภรณีเห็นแต่ที่ราบอันมีความมืดปกคลุมจนดำสนิท สุดวิสัยที่สายตาจะดูให้เห็นชัด ต่อนาน ๆ เมื่อแสงไฟอันเป็นลำใหญ่ฉายไปต้อง จึงมองเห็นคันนาและต้นไม้ได้บ้าง นางพวงหาวเรอและบ่นพึมพำไม่ขาดปาก ภรณีจับความได้เป็นบางตอนว่าเป็นคำบ่นในเรื่องความมืดแห่งภูมิประเทศและความยาวแห่งระยะทาง ชาย ๔ คนที่อยู่ทางท้ายรถ พูดกันหัวเราะกันเป็นคราว ๆ ด้วยเสียงอันไม่ดังนัก แต่ซึ่งนายถีได้รีบบรรยายและขยายความให้นางพวงเข้าใจว่าเขาพูดกันถึงสัตว์ร้าย เช่นเสือและหมี ภรณีนึกดีใจที่เด็กหญิงป่องหลับอยู่กับตักของหล่อนอย่างสนิท ถ้ามิฉะนั้นก็คงถูกกระทบกระเทือนขวัญ ด้วยความคะนองของนายถี นาน ๆ ครั้งหนึ่งหล่อนได้ยินเสียงบันลือตามลมมากระทบหู เขาพูดกับคนขับรถถึงเรื่องทางข้างหน้าได้รับการซ่อมแซมพอให้รถวิ่งได้โดยสะดวกหรือไม่ แล้วก็ถามถึงรถคันอื่น ๆ รวมทั้งเครื่องยนต์ชนิดอื่นที่เขาใช้ในการงานของเขาด้วย