ดูกรมหาราช...ธรรมดาเงาของญาติทั้งหลาย ย่อมมีความเย็นเป็นปกติ

 

เสียงน้ำที่ไหลจากก๊อกลงในโอ่งปากกว้างดังซู่ ๆ เป็นระยะสม่ำเสมอเปลี่ยนเป็นเสียง แฉ่ ! ซ่า! แฉ่ ! ซ่า! น้ำแตกกระจายมาโดนนางพวงอย่างเต็มหน้า และกระเด็นถูกศีรษะเด็กหญิงป่องซึ่งกำลังยืนให้นางพวงถูสบู่ตัวอยู่ นางพวงสะดุ้งและร้องด้วยความตกใจ เด็กหญิงหันขวับไปทางที่มาของน้ำ และร้องว่า “แหม ตาก้องนี่แหละ!” แต่ครั้นน้ำกระเซ็นมาอีก และนางพวงวางมือจากขาเด็กหญิง หลบสายน้ำและยกมือลูบหน้า เด็กหญิงเกิดนึกสนุกในการกระทำของพี่ชาย ก็ผละจากนางพวงวิ่งไปที่ก๊อก ใช้มือทั้งสองซ้อนเหนือมือพี่ปิดปากก๊อกไว้แล้วเปิดแล้วปิด แล้วเปิดอีก ทำให้สายน้ำแตกกระจายไปทุกทิศโดยแรง

นางพวงเอ็ดด้วยเสียงอันดัง “ดูซี คุณก้อง ซนอะไรยังงั้น” และเอ็ดต่อไปอีกหลายคำ แต่เสียงของนางถูกกลบเสียด้วยเสียงน้ำและเสียงหัวเราะกิ๊กก๊ากของเด็กทั้งสอง

“คุณก้อง คุณป่อง!” นางพวงเอ็ดดังขึ้นอีก “เลิกนะ ไม่เลิกฉันตีขาลายเดี๋ยวนี้ คุณก้อง ดูซิ หวั่นไหวเสียเมื่อไหร่ นมบอกให้รออยู่ข้างนอกก่อนยังไงล่ะ มาประดังกัน ๒ คนละก็ยังงี้แหละ แม่บัว แม่บัว เอ นังนี่หายไปไหน ปล่อยให้พ่อเข้ามารังควานข้า หยุดนะ คุณก้อง คุณป่อง เอ ! ประเดี๋ยวนี้แหละ”

ตลอดเวลาที่นางเอ็ดอยู่นั้น เด็กทั้งสองก็แย่งกันปิดเปิดปากก๊อกอยู่เรื่อย ๆ พร้อมกันนั้นเด็กชายก้องก็ท่องประโยค “นังนม ขมขื่น นังนม ขมขื่น” ท่องอยู่ได้ ๒–๓ ครั้ง เด็กหญิงป่องก็รับ “นังนม ขมขื่น นังนม ขมขื่น” เสียงสองเสียงประสานกัน แล้วก็มีเสียงลูกขัดเพิ่มขึ้น

“นังนมขมขื่น นังนมขมขื่น เอาว่า นางนมขมขื่น” และส้นเท้าเล็ก ๆ สองส้น ก็กระแทกพื้นเป็นจังหวะเข้ากับลูกขัดด้วย

นางพวงเข้าไปถึงตัวเด็กทั้งสอง จับแขนเด็กชายเหวี่ยงตัวไปทางหนึ่งเบา ๆ พร้อมกับบ่นดุบ่นขู่ไปด้วย แล้วดึงตัวเด็กหญิงป่องกลับมายังที่ ๆ อันวางสบู่อยู่ เพื่อทำการถูตัวต่อ ในระหว่างนั้นเอง เด็กชายก้องก็ตะโกนร้องบทใหม่ขึ้น “ยายป่อง หย็องกรอด ยายป่องหย็องกรอด เอาว่า ยายป่องหย็องกรอด”

เมื่อได้ยินแต่เพียงเสียงที่กล่าวบทเพลง เด็กหญิงก็ยังไม่แสดงความยินดียินร้าย เพราะมือนางนมที่บีบอยู่ออกจะเป็นมือที่หนัก ทำให้ผู้ถูกบีบเกิดความระวังตัว แต่ครั้นเหลียวไปเห็นผู้ท่องบทกำลังทำอาการยึดคอ ยักไหล่ขึ้นสูงจนเห็นซี่โครง เป็นลักษณะที่ตรงกับคำว่า ‘หย็องกรอด’ เด็กหญิงป่องก็ลืมความหนักแห่งมือของนมพวงเสียทีเดียว เบ่งท้องจนสุดกำลัง พลางแอ่นพุงออกไปเบื้องหน้า และร้องว่า “ตาก้องท้องเขียว เอาว่า ตาก้องท้องเขียว”

ด้วยความหมั่นไส้เป็นกำลังมือของนางพวงก็หนีบขาอันขาวเกลี้ยงเข้าครั้งหนึ่ง เป็นอาการหนีบที่ไม่หนักถึงกับจะทำให้เด็กร้องเอ็ดอึง แต่หนักพอที่จะทำให้เสียงที่เอ็ดอึงอยู่แล้วชะงักไป เด็กหญิงตกใจนึกโกรธ กำลังคิดจะออกฤทธิ์ตอบแทนการกระทำของผู้ใหญ่ ก็เห็นนางพวงผละจากตนตรงไปที่ ‘คู่ปรับ’ เกิดความอยากรู้มากกว่าอยากทำฤทธิ์จึงชะงักนิ่งอยู่

นางพวงจับแขนเด็กชายจูงออกไปนอกห้องน้ำ บ่นว่าติเตียน กำชับว่า “อย่าเข้ามาอีกนะ ขืนเข้ามาละก็ ฉัน—” แล้วปล่อยมือเด็ก กลับเข้าในห้องและปิดประตูตามหลังตนเข้ามาด้วย

หลังจากนั้นประมาณสัก ๒๐ นาที ในระหว่างที่นางบัว ‘ผู้ช่วย’ ของนางพวง กำลังสู้รบกับเด็กชายก้องเพื่อจะหวีผมของเด็กให้เรียบ มีเด็กหญิงสวมเสื้อกระโปรงสีเขียว สวมรองเท้าเปิดสีเดียวกับเสื้อ วิ่งแผล็บออกมาจากห้องนอนของมุกดา แล้วเดินกรายทำท่าเป็นหญิงสาวเข้ามายืนอยู่หน้ากระจก

นางบัวมิได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดในตัวเด็กหญิงนั้น แต่เด็กชายก้องร้องทักว่า

“อื๋อ อื๋อๆ แม่สาว–นางสาว—อื้ออีสาว—”

“เอ คุณก้องนี้” นางบัวดุ “ทำไมว่าคุณน้องอย่างนั้นนะ สาวเสอวอะไรที่ไหน–คุณป่อง เมื่อไหร่จะลงไปหาคุณป้าละคะ คุณป้าสั่งว่าอาบน้ำแล้วให้ลงไปข้างล่าง”

เด็กหญิงยื่นหน้าเข้าหากระจก ยกมือปัดผมตัวเอง ๒–๓ ครั้ง แล้วก็หยิบแป้งมาผัดหน้า ด้วยเหตุที่ผมของตนเปียกน้ำยังไม่แห้ง มือที่ปัดผมก็เปียกด้วย ครั้นมือนั้นถูกแป้งแล้วมาถูกหน้า หน้าก็กลับด่าง แต่เจ้าของมีความพอใจว่าได้ผัดหน้าแล้ว ส่วนพื้นหน้าจะเป็นอย่างไรมิได้แยแส ป้ายมือเข้ากับหน้าอีก ๒–๓ ครั้ง พอที่จะทำให้สีแดงที่ทาปากไว้เลอะออกมาถึงแก้ม แล้วก็วิ่งปัง ๆ จะออกจากห้องไป

พอดีกับนางบัวปล่อยมือของหล่อนจากเด็กชายก้อง เด็กชายก็วิ่งปราดไปเพื่อจะแข่งน้อง และเมื่อจะขึ้นหน้าได้ก็ร้องว่า “ใครถึงก่อน เออใครถึงก่อน” ฝ่ายเด็กหญิงก็คว้าเสื้อที่เด็กชายสวมอยู่ไว้ได้ด้วยความไว ฝ่ายหนึ่งพยายามสะบัด อีกฝ่ายหนึ่งพยายามรั้ง ดึงกันอยู่เช่นนี้จนถึงประตู จึงปะทะกับนางพวงผู้ซึ่งสวนทางเข้ามา

“เออ” นางพวงร้องด้วยความตกใจและฉุนเฉียว “นี่อะไรกัน เดี๋ยวได้ปากคอแตก ดูเรอะเสื้อแสงยุ่งหมดยังไม่หยุดอีก เดี๋ยวนี้เอง—แม่บัว นั่นยังไงถึงปล่อยให้คุณเล็ก ๆ ไล่ตีกันเสียงออกขรมยังงี้ เดี๋ยวได้ยินไปถึงข้างล่างก็—”

ประโยคหลังของนางพวงทำให้นางบัวได้ความคิดดีจึงว่า “ฉันจะไปฟ้องคุณพ่อ....”

เด็กชายผู้ซึ่งกำลังสะบัดแขนเพื่อจะให้หลุดจากมือนางพวง มีอาการชะงัก แต่เด็กหญิงพยักหน้าตะโกนตอบนางบัวไปว่า

“จ้าง! จ้าง!–คุณพ่ออย่างอยู่นี่”

“อ๊าว ไม่อยู่ ! คอยดูซีจะอยู่หรือไม่อยู่ ลองตีกันอีกซี บัวจะไปฟ้องให้ดู”

“อื๋อ ฟ้อง! คุณพ่ออย่างอยู่หรอก–” เด็กชายกล่าว และเด็กหญิงก็เสริมว่า “คุณพ่อไปบ้านคุณยายหนูก็รู้ เฮ่อว–”

“รู้ก็ลองไปดูซิ อยู่หรือไม่อยู่ คุณพ่อบอกกับคุณป้าว่าจะกลับมาให้ทันรับประทานน้ำชา คุณป่องลงไปยังงั้นซิ แป๊ปเปิ๊บ หลุดจนหมดยังงั้นน่ะ แล้วคุณก้องเสื้อออกมานอกกางเกง ลองลงไปอวดคุณพ่อหน่อยซีคะ”

เด็กทั้งสองทำท่าสงสัยอยู่ขณะหนึ่ง พอเป็นโอกาสให้นางบัวตรงเข้าจัดกระโปรงให้เด็กหญิง ให้นางพวงจัดเสื้อกางเกงให้เด็กชาย และพร้อมกันนั้นนางพวงก็ได้โอกาสที่จะบ่นไปด้วย

“อะไรถึงได้ซนไม่มีรู้จักหยุดรู้จักหย่อนยังงี้—นี่ แล้วพอลงไปถึงข้างล่างก็ลงไปปล้ำกันเสียอีกซี แล้วคุณพ่อจะได้เกลียดหน้าเสียทั้งคู่ อีกสักหน่อยเถอะ คุณพ่อไม่รัก คุณพ่อไปเที่ยวหาลูกใหม่ ตัวก็จะลำบาก ไม่รู้จักอะไร เดี๋ยวนี้คุณพ่อก็เบื่อเต็มทีอยู่แล้ว พอเห็นหน้าลูกก็ตาเขียวปั้ด ถึงทีเวลาพูดกับคนอื่นละก็ยิ้มได้แป้น ๆ”

บ่นไปทำไปจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำชับอีกครั้งหนึ่งให้เด็กระวังตัว แล้วนางพวงก็นำเด็กทั้งสองลงบันไดไปส่งที่ประตูห้องรับแขก

ยืนอยู่ที่นั่นชั่วเวลาที่จะไม่เป็นการน่าเกลียด และเป็นเวลานานพอที่จะเห็นหญิงสาวที่ในห้องนั้นเกือบทั่วคน ตลอดจนมีเวลานึกเกลียดเจ้าหล่อนไว้ล่วงหน้า เพราะมีความยึดถือว่า เจ้าหล่อนเหล่านั้น คือผู้ที่จะมาชิงตำแหน่งมารดาเลี้ยงของเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องแล้วนางพวงก็เลยไปทางอื่น

เมื่อแรกที่เด็กทั้งสองเดินเข้าในห้อง ผู้ที่อยู่ภายในยังไม่มีใครเห็น เขาเหล่านั้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหญิงมีจำนวน ๖ คนทั้งเจ้าของบ้าน กำลังสนใจอยู่กับรูปถ่าย ๓ รูปอันเป็นภาพของชาย ๓ คน สองภาพในจำนวนที่กล่าวนี้เป็นภาพของผู้ที่อยู่มัชฌิมวัย และบัดนี้ได้ล่วงลับไปแล้ว ภาพที่ ๓ เป็นภาพของชายหนุ่มกำลังฉกรรจ์ สวยเก๋ คมคาย เป็นภาพที่ฝ่ายผู้เป็นแขกเอาใจใส่ไม่น้อยอยู่แล้ว และยิ่งเพิ่มความเอาใจใส่มากขึ้น เมื่อถูกกระตุ้นเตือนโดยกำลังหนุนของฝ่ายเจ้าของบ้าน

เสียงถ้วยล้มกระทบจานดังแก๊ก ! และซ่อมตกจากโต๊ะกระทบพื้นห้องดังแกร๋ง ! เจ้าหล่อนทั้ง ๖ คนจึงหันมาดูพร้อมกัน ก็เห็นเด็กชายกำลังมองดูหญิงสาวด้วยสีหน้าแสดงความตกใจ ส่วนเด็กหญิงกำลังถัดลงจากเก้าอี้เพื่อจะเก็บวัตถุที่ตกอยู่ขึ้นไว้ยังที่ ฝ่ายแขกหัวเราะกิริยาของเด็กทั้งสองนั้น ฝ่ายเจ้าของบ้านลุกขึ้นกระวีกระวาดเข้ามาใกล้เด็ก เพื่อดูว่ามีการเสียหายหนักเบาเพียงใด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดบุบสลายก็บ่นแต่เพียงว่า

“ซุ่มซ่ามจริง จะกินจะอยู่ให้มันดีหน่อยก็ไม่ได้แล้วนี่คนไปไหนหมด เด็กจะกินไม่มีใครมาช่วยดูแล”

มีผู้ถามว่า “หลานหรือคะ ?” แล้วมีผู้ตอบ “แน่ละซี—ดูรูปซิเหมือนพ่อไหม” มีการถกเถียงกันเล็กน้อยในข้อปัญหานี้ ผู้ที่รู้จักกับเด็กดีแล้ว เข้ามาจับต้องตัวเด็กและกล่าวคำปราศรัย มีผู้ปรารภขึ้นว่าเค้าหน้าของเด็กไม่เหมือนเค้าหน้าของบิดาตามที่ปรากฏในภาพถ่าย แล้วทายต่อไปว่า เด็กคงจะเหมือนมารดามากกว่าเหมือน ‘คุณพ่อ’ กระมัง

“รูปมารดาแกมีไหม ? ขอดูหน่อยเถอะ”

“จริงแหละ มุกดา ฉันยังไม่เคยเห็นรูปน้องสะใภ้เธอเลยแหละ”

“ก็จะเห็นยังไงล่ะ เกิดมาเขาไม่เคยถ่ายสักที ฉันเคยชวนเขาถ่ายเหมือนกัน เขาว่าเขาอาย เลยไม่ได้ถ่ายจนตายไป”

“โธ่ ! แล้วหนูสองคนนี้เลยไม่ได้เห็นหน้าแม่”

ในเวลานั้นเอง ชายผู้เป็นบิดาของเด็กก็เข้ามาในห้องโดยทางประตูด้านหน้า

มุกดามองเห็นเขาก่อนคนอื่น หล่อนทักขึ้นอย่างดีเนื้อดีใจ

“แหม นึกว่าลืมเมี่ยงจีนของพี่เสียแล้วละ ไหนว่าจะกลับมา ๔ โมง”

บันลือไม่มีความรีบร้อนที่จะตอบ เขากวาดตาไปทั่วห้องโดยรวดเร็ว ในใจเต็มไปด้วยความคิดถึงข้อขำต่าง ๆ สีหน้าของเขาจึงอยู่ในลักษณะอมยิ้ม เมื่อเห็นว่าหญิงที่อยู่ในห้องนั้นเป็นผู้ที่เขารู้จักแล้วถึงสามนาง และทั้งสามนางเป็นเพื่อนของพี่สาว ซึ่งเขาเคยยกไว้ในฐานะเช่นพี่ของเขาก็ทำความเคารพด้วยท่วงท่าของผู้ที่คุ้นเคยกัน ต่อจากนั้นจึงหันไปก้มศีรษะให้หญิงอีกสองนาง แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

มุกดากล่าวแนะนำขึ้นว่า

“นี่สายสวาท นั่นบรรจง—นี่น้องชายฉันจ้ะ”

ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นจากเก้าอี้แสดงคารวะตอบหญิงสาวทั้งสอง แล้วหันไปมองดูสายใจผู้ซึ่งพูดขึ้นว่า

“หนึ่งในสองนั้นเป็นน้องของฉัน”

“ผมทราบแล้ว” เขาตอบ “ทราบจากชื่อที่เพราะเหมือนกัน”

“แล้วบรรจงล่ะ บรรจงก็เป็นน้องใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้เหมือนกัน” สายใจว่า

เขาทำอาการคิด ฉวยโอกาสมองดูเจ้าหล่อนผู้นั้นเต็มตาเป็นทีว่าตนพยายามจะค้นหาเค้าหน้าของผู้ใดผู้หนึ่งในวงหน้าของเจ้าหล่อน แล้วก็สั่นศีรษะ และพูดว่า

“ชี้ตัวคุณพี่ไม่ถูก แต่หวังว่าจะไม่รังเกียจที่จะยอมเป็นน้องของทุกคนในที่นี้”

เจ้าหล่อนทุกคนพากันหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ สายใจอธิบายสืบไปว่า

“บรรจง เป็นน้องคุณบรรเจิด”

‘คุณบรรเจิด’ ในที่นี้หมายถึงขุนบรรเจิดวิทยาการสามีของสายใจนั่นเอง “แหม ผมคิดไปไม่ถึง” บันลือตอบพลางยิ้ม

มีการนิ่งเงียบเกิดขึ้นเมื่อต่างคนต่างคิดหาเรื่องพูดยังไม่ได้ เฉพาะบันลือ เขาไม่ได้นึกที่จะเป็นหัวหน้านำการสนทนา เพราะถือเสียว่าตนเองก็เท่ากับเป็นแขกคนหนึ่ง และผู้ที่ควรนับได้ว่าเป็นฝ่ายเจ้าของบ้านเท่ากับตัวเขาเอง ก็คือสุภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับพี่สาวของเขาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง

อนึ่ง บันลือสมัครใจจะเป็นผู้ฟังและผู้ดูมากกว่าที่จะเป็นผู้พูด และดึงความสนใจของคนทั้งหลายให้มาจับอยู่ที่ตัวเขา เขารู้ว่าสุภาพสตรีสีนางรวมทั้งพี่สาวของเขาด้วย ได้ชักพาเอาหญิงสาวสองคนมาให้เขาพบด้วยเจตนาที่จะยกหล่อนให้เขา เขาต้องการฟังและดูวิธีการที่หญิงทั้งสี่จะแสดง เพื่อจูงใจเขาให้เกิดความพอใจในหญิงที่เจ้าหล่อนชักนำมา นอกจากนั้นเขาอยากจะฟัง และดูท่วงทีของหญิงสาวทั้งสอง

ถึงแม้บันลือจะได้อยู่โดยไม่มีภรรยามาถึง ๕–๖ ปี แต่คราวนี้–หรือที่ถูกควรจะกล่าวว่าหมู่นี้–เป็นหมู่แรกที่เขาสังเกตเห็นว่าวงศ์ญาติของเขา ได้พากันเอาใจใส่ในการหาคู่ให้เขาอย่างออกหน้าออกตา เมื่อต้นเดือนก่อนนี้คือเมื่อเขากลับจากหัวเมืองมาพักอยู่กับคุณยาย น้องสาวคนกลางของเขาได้กล่าวขวัญถึงเพื่อนคนหนึ่งของหล่อนให้ฟังอย่างยืดยาว แรกทีเดียวบันลือนิ่งฟังน้องพูดโดยมีเจตนาแต่อย่างเดียว คือมิให้ตนเองเสียกิริยา บันลือเคยรู้จักและรู้เรื่องของหญิงสาวเป็นจำนวนมากหนักหนา แล้วจนเขาสิ้นความยินดียินร้ายที่จะรู้จักหรือฟังเรื่องของหญิงคนใหม่อีกคนหนึ่ง แต่ครั้นฟังไปๆ นานเข้า เขาสังเกตเห็นว่ามรกตพยายามเน้นถึงคุณสมบัติของเจ้าหล่อนผู้นั้นมากขึ้น นึกสงสัยในเจตนาของหล่อน จึงซักถามไปมาเพื่อจะหาความจริง ก็ได้ความว่าน้องสาวของเขากำลังจะชักนำ ให้เขาเกิดความพอใจในหญิงที่เป็นเพื่อนของหล่อน

ต่อมาอีกไม่ช้า เขาได้พบเจตนาอย่างเดียวกันนี้อีกที่น้องสาวคนเล็ก ข้อที่ทำให้เขานึกขำมากก็เพราะว่าหญิงที่เป็นเพื่อนของไพฑูรย์นี้ ซึ่งเป็นคนละคนกับหญิงที่เป็นเพื่อนของมรกต มีคุณสมบัติเหมือนกับเพื่อนของมรกตทุกประการ กล่าวคือเป็นหญิงที่สวย ที่ได้รับการศึกษาดีมีเชื้อแถวดี มีบิดามารดาเป็นผู้มั่งคั่ง และในท้ายที่สุดข้อที่ทำให้เขานึกขำยิ่งขึ้นอีก “ถ้าพี่ปุ๊ได้เขาก็จะดี”

เขาอดมิได้ที่จะถามว่า “ดีสำหรับใคร ?” และน้องเล็กก็ตอบอย่างที่น้องกลางได้ตอบมาแล้ว “ดีสำหรับทุกคน”

ภายหลังจากนั้น เมื่อเขาพบกับน้องคนหนึ่งคนใด คำกล่าวขวัญถึง ‘เพื่อน’ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ก็เข้ามาปะปนอยู่ในคำสนทนาระหว่างน้องของเขากับตัวเขาด้วยทุกคราวไป

ไม่แต่เพียงน้อง แม้แต่คุณยายผู้ซึ่งรักความสงบเป็นอย่างยิ่ง ผู้ซึ่งไม่เคยสอดมือเข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของลูกหลานคนใด เว้นแต่จะได้รับการขอร้องหรือได้รับข้อหารือ ผู้ซึ่งมีความพอใจแล้วในการที่ได้เห็นหลานหนุ่มหลานสาวตั้งตัวอยู่ในฐานะอันควรและพากันมาให้ท่านชมเชยเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อเขาระลึกถึงท่าน คุณยายผู้ซึ่งพอใจหาความสุขอยู่กับข้าเก่า ๒–๓ คนกับลูกหลานเล็ก ๆ ที่เป็นกำพร้าหรือมีบิดามารดาเป็นผู้ขัดสน หมู่นี้ก็เริ่มแสดงตัวเป็นผู้มีความกังวลอย่างแปลก ๆ ขึ้นบ้างเหมือนกัน

คุณยายปรารภกับหลานบันลือของท่านเรื่องน้องสาวร่วมบิดา แต่ต่างมารดาของท่านคนหนึ่ง น้องคนนี้มีหลานยาย—“มันจบแปดแล้ว” ท่านเล่า “เดี๋ยวนี้จะไปเอา ป.ก.ป.ส. อะไรของเขาต่อไปอีกก็ไม่รู้ ไอ้ตัวก็ไม่สมประกอบ เดี๋ยวเจ็บๆ จะเรียนอะไรกับเขาไหว แต่พ่อแม่ก็ลูกมากเหลือเกิน หาทางทำกินไว้ให้ลูกก็ไม่ได้ ไอ้เราจะห้ามไม่ให้เด็กเรียนก็ไม่ได้เหมือนกัน เงินก็ไม่มีวิชาก็ไม่มี ถ้าพ่อตายเสียแล้วจะเอาอะไรกินกันเข้าไป”

บันลือฟังคำปรารภของท่านด้วยความสนใจ เพราะการสนใจในคำพูดของคุณยาย ในความคิด ในความปรารถนาของคุณยายเป็นสิ่งที่มีประจำตัวบันลืออยู่เป็นนิจ เขาไม่ทันที่จะนึกไหวถึงเจตนาอันแท้จริงของท่าน จนกระทั่งท่านถามเขาว่า เขาได้พบหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขามีความเห็นอย่างใดบ้างในเรื่องรูปโฉมของหล่อน

เขากลั้นยิ้มไว้ได้ด้วยความลำบาก เมื่อเขาจับแนวความคิดของท่านได้ และตอบเรียบ ๆ ว่า “รู้สึกว่าแกไม่เปลี่ยนจากเมื่อเป็นเด็กรุ่น ๆ” “ยายว่าหน้าตาแกดีขึ้น” ท่านตอบ บันลือก็ย้อนถามท่านอย่างซื่อที่สุดว่า “ยังงั้นรึครับ ?”

ครั้นเมื่อวานนี้ คุณยายให้คนใช้มาตามตัวเขาไปหาท่าน แล้วขอร้องให้เขาขับรถพาหลานคนที่ท่านปรารภถึงนั้น ไปดูหอสมุดแห่งชาติในวันรุ่งขึ้น

ใช้ให้หลานชายพาหญิงที่ท่านอยากจะได้เป็นหลานสะใภ้ ไปดูหอสมุดแห่งชาติ ! คุณยายทำให้บันลือพิศวงและหัวเราะอยู่ในใจหลายนาที คุณยายได้ความคิดนี้มาอย่างไร ? หญิงชราอายุปูนท่าน สะกดชื่อตนเองก็ไม่ถูกเหตุไฉนจึงรู้ว่ามีสิ่งที่ได้ชื่อว่า ‘หอสมุดแห่งชาติ’ อยู่ในโลก ? อาจเป็นได้ที่คุณยายเคยได้ยินบันลือพูดถึงหอสมุดแห่งชาติบ้าง เพราะเขาเป็นผู้ที่เคยไปมาติดต่อกับสถานที่นี้บ่อยครั้งอยู่เหมือนกัน ถึงกระนั้นท่านก็ไม่น่าจะมีความรู้ไกลไปถึงกับรู้ว่า สถานที่นั้นมีประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังเป็นนักศึกษา

อย่างไรก็ตาม บันลือได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านโดยเคารพ เขาโทรศัพท์นัดเวลากับเจ้าหล่อนผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นน้องของเขา เขาสละเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมงสำหรับสนทนากับหล่อนไปพลาง และช่วยดูช่วยค้นหนังสือต่าง ๆ ไปพลางที่ในหอสมุด ต่อจากนั้นเขาพาหล่อนไปรับประทานน้ำชาที่ร้านขายอาหารว่างอันเป็นที่โอ่โถงแต่สงัดและสบาย และตลอดเวลาที่กล่าวนั้น เขาระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ สงวนปากสงวนคำ ไม่ใช้สำนวนอันหวานแหลมและคม อย่างที่เขาเคยใช้ต่อหญิงสาวทั่วไป รักษากิริยามิให้มีลักษณะโอ้โลมอยู่ในที ดังที่เขาเคยแสดงต่อหญิงอื่น เพราะเหตุที่หล่อนเป็นหญิงที่คุณยายรักษาและเมตตา เขาเตรียมพร้อมที่จะรักและเมตตาหล่อนด้วย เขาชอบอัธยาศัยของหล่อนซึ่งมีลักษณะอ่อนโยนและไม่ฉูดฉาด สังเกตเห็นว่าหล่อนมีใจจดจ่ออยู่ที่เขาตลอดเวลาที่เขาอยู่กับหล่อน ออกนึกสงสัยว่าได้มีผู้หนึ่งผู้ใดนำความคิดความปรารถนาของคุณยาย มาปลูกไว้ในความคิดของหล่อนบ้างแล้วหรือหาไม่ ตามธรรมดาของผู้ใหญ่ที่รอบคอบ ย่อมจะไม่ชักจูงหญิงสาวที่ตนเมตตากรุณาให้ฝักใฝ่ในชายหนุ่มคนใด ก่อนที่ฝ่ายชายจะแสดงความฝักใฝ่ของเขาในตัวหล่อนให้ปรากฏโดยแน่นอน แต่ถึงกระนั้น เพื่อความปลอดภัย เพื่อกันความแสลงใจซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในภายหน้า เขาเห็นว่าเป็นการจำเป็นที่จะต้องกันมิให้หล่อนมีความรู้สึกต่อเขาเกินกว่าที่ญาติจะพึงรู้สึกต่อญาติ โดยประการฉะนี้ เขาได้แสดงความเห็นสนับสนุนความตั้งใจของหล่อนในอันที่จะหาวิชาไว้เป็นเครื่องช่วยตัว และในการแสดงความเห็นนี้ เขาเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนที่แสดงว่าเขานับหล่อน เสมอด้วยน้องคนหนึ่งของเขา ไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่านั้น

เมื่อได้ไปส่งเจ้าหล่อน ณ ที่อยู่แล้ว ระหว่างที่นั่งรถจะกลับบ้านมายังบ้านของเขาเอง บันลือนึกถึงคำชวนอย่างคะยั้นคะยอของมุกดา “กลับมา ๔ โมงให้ได้นะเพื่อน ๆ พี่เขาบ่นเขาว่าเขาไม่ได้พบพ่อปุ๊นานแล้ว”

บันลืออดยิ้มมิได้ และคิดพิศวง เป็นด้วยเหตุผลกลใดหนอทั้งพี่ทั้งน้อง ทั้งยาย จึงเกิดมามีความตั้งใจที่จะ ‘จับ’ บันลือแต่งงานขึ้นพร้อมกันดังนี้ ?

ทันใดนั้นเขาคิดคำตอบขึ้นได้ เมื่อคำพูดประโยคหนึ่งของเจริญแล่นมาสู่ความจำ “ถ้าแกมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝา—”

อ้อ ! เช่นนี้เอง ด้วยเหตุผลประการใดประการหนึ่งที่บันลือยังจับไม่ได้มั่น ทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งยาย ทั้งเพื่อนต้องการจะล้มความคิดของบันลือที่จะออกไปทำไร่ทำสวนอยู่ในชนบท โดยประการฉะนี้ เขาพากันร้อนรนจะจัดหาภรรยาให้บันลือ–เพื่อจะล่อให้บันลือ ‘ติด’ พระนครถึงกับลืมงานในชนบทกระนั้นหรือ—หรือเพื่อให้ภรรยาเป็นผู้ห้ามปรามทักท้วงบันลือมิให้ทำการงานนั้น—ราวกับว่าผู้หญิงคนเดียวจะมีอิทธิพลใหญ่ยิ่งถึงกับจะขวางความตั้งใจของนายบันลือไว้อยู่ !!!

บัดนี้ หลังจากที่ได้ใช้เวลา ๒–๓ อึดใจพิศดูรูปโฉมแห่งหญิงที่พี่สาวสรรค์มาให้เลือก บันลือยิ่งอยากหัวเราะมากขึ้นอีก ตลอดทั้งกายตัวของเจ้าหล่อนทั้งสอง ทั้งทรวดทรงรูปหน้า เค้าหน้า เครื่องหน้า ตลอดจนกระทั่งท่วงทีจริต กิริยา เป็นสามัญ เช่นเดียวกับหญิงทั้งร้อยทั้งพันที่ได้ผ่านตา ผ่านความสังเกตของบันลือมาแล้ว หญิงเช่นนี้แหละหรือที่พี่สาวของบันลือหวังว่าจะให้มาเป็นผู้สร้างความรัก ความพอใจให้เกิดแก่บันลือได้ ? คุณพี่ช่างเป็นพี่ที่ไม่รู้จักนิสัยของน้องชายเสียเลย !

มุกดาเอ่ยขึ้นว่า

“ฉนวนกับปราณีเขาอยากกินเมี่ยงจีนของพี่ สายใจน่ะเขาเป็นเจ้าของตำรา แล้วก็อยากมาดูว่าพี่ไปจำวิชาของเขามาแล้วทำได้ดีเหมือนต้นตำราไหม ? เลยพ่วงน้องมาด้วยอีก ๒ คน”

“บรรจงเขาชอบชิมของแปลก ๆ แล้วก็จำเอาไปทำ” สายใจเล่า “ลิ้นดีเหลือเกินเด็กคนนี้กินอะไรปั๊บต้องรู้ทีเดียวว่าเขาใส่อะไรมั่ง แล้วจำเอาไปทำเหมือนแบบไม่มีผิด”

“อีกสักหน่อยเห็นจะเป็นช่างกับข้าวฝีมือเอกหาตัวจับไม่ได้” บันลือกล่าว แล้วมองหญิงสาวด้วยตาอันมีแววยิ้มปรากฏอยู่ “คิดจะทำการใหญ่มั่งไหมครับ ? พวกที่ไม่มีช่างอยู่กับบ้านจะได้ไปพึ่งบุญ”

หล่อนมองดูเขาอย่างสงสัย แต่ไม่กล้าพอที่จะออกปากถาม สายใจจึงถามแทน

“การใหญ่ยังไง ?”

“เช่นตั้งโรงเรียน หรือตั้งร้านขายอาหาร”

“แหม” เสียงอุทานมากกว่าหนึ่งเสียง และมีเสียงหัวเราะแซงด้วย สายใจตอบว่า “ยังไม่ไหวหรอกค่ะอย่างนั้นใหญ่เกินไป”

และมุกดาก็เสริม “แต่อย่างเรา ๆ อยากทำจะตายยังทำไม่ได้นะ”

“ก็เรามัวแต่อยาก ไม่ทำลงไปจริง ๆ ก็ทำไม่ได้น่ะซิ” ฉนวนว่า และปราณีก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

เมื่อเพื่อนของมุกดาทั้งสองนี้ทำการสอนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ปราณีแต่งงานและมีบุตร ๓ คนแล้ว แต่ยังไม่ละอาชีพเดิมของหล่อน ฉนวนยังเป็นโสดและอาศัยรายได้จากงานอาชีพเป็นปัจจัยช่วยบิดามารดาให้การศึกษาแก่น้อง ซึ่งมีจำนวนหลายคน ทั้งสองเป็นหญิงมีนิสัยเด็ดขาด เมื่อคิดจะทำสิ่งใดก็ทำลงไปโดยไม่ลังเลดังนั้นจึงค่อนข้างจะมีความรู้สึกรำคาญมุกดาบ่อย ๆ ในข้อที่มุกดาเป็นผู้มีเรื่องบ่นถึงการขัดข้องต่าง ๆ เกี่ยวกับความปรารถนาของหล่อนอยู่เสมอ

บัดนี้อาหารว่างมาพร้อมทุกอย่างแล้ว มุกดาจัดแบ่งเมี่ยงให้น้องชายก่อน บันลือเคร่งในมรรยาทส่งจานอาหารต่อไปให้สายสวาท เจ้าหล่อนพยายามจะปฏิเสธมีอาการกระดากเจืออยู่ในกิริยาเป็นส่วนมาก แต่แล้วก็รับจานวางไว้ตรงหน้า เมื่อได้แบ่งเมี่ยงแจกกันทั่วไปและมีอาการปรารภถึงรสและวิธีทำเมี่ยงตามสมควรแล้ว หญิงรุ่นพี่ของบันลือก็ย้อนกลับไปพูดเรื่องการตั้งโรงเรียนการครัว และการตั้งร้านขายอาหาร เพราะบันลือได้ยอเพื่อนของพี่สาวว่า ช่างคิดชนิดอาหารขึ้นใหม่ มีรสแปลกดียิ่งนัก

ความจริงมุกดากับสายใจ มีนิสัยชอบในการคิดการทำอาหารเสมอกันทั้งคู่ และทั้งสองมีความปรารถนาต้องกันในข้อที่อยากจะใช้ความเป็นช่างของตนให้เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แต่ที่มาแห่งความปรารถนานั้นต่างกันไกลมาก ความปรารถนานั้นจึงไม่เป็นสำเร็จขึ้นได้ กล่าวคือความปรารถนาของมุกดาเกิดจากความที่หล่อนเป็นผู้มั่งคั่ง มีผู้คนรับใช้มากจนเกือบจะไม่เคยทำสิ่งใดด้วยมือตนเองเลย เวลาว่างของหล่อนเหลือเฟือ เป็นเหตุให้หล่อนคิดไปว่าชีวิตของหล่อนนั้นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดไป ทำให้เกิดความหงอยเหงา วันหนึ่ง ๆ มิรู้ที่จะทำสิ่งใดให้เพลิดเพลิน ก็บังเกิดความปรารถนาที่จะทำนั่นทำนี่ใหม่ ๆ แปลก ๆ ร่ำไป แต่ครั้นหล่อนปรารภความคิดที่จะทำการใหญ่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดฟังเป็นต้นว่าสามี หรือคุณยาย หรือน้อง ก็ได้ฟังคัดค้านซึ่งประกอบด้วยเหตุผลอันมาจากความมั่งคั่งของหล่อนอีก “ทำทำไมให้มันเหนื่อยแรง มิใช่ว่าจะต้องหาใส่ปากใส่ท้องเมื่อไหร่” แล้วมุกดาก็ไม่ฝ่าฝืนคำคัดค้านเหล่านั้นเพราะความเหนื่อยแรงและความลำบากใจเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยรู้จัก ก็มีความกลัวนักที่จะต้องผจญกับสิ่งทั้งสองนี้ จึงล้มความคิดที่จะทำงานเป็นล่ำเป็นสันเสีย แต่ยังคงรักษาความปรารถนาที่จะทำไว้ในใจเสมอ

ส่วนสายใจนั้นความปรารถนาที่จะทำการใหญ่ เกิดจากความอัตคัดในเรื่องเงิน หล่อนผู้นี้กับสามีของหล่อนเป็นผู้ที่มีพี่น้องมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายเผอิญมีนิสัยไทยแท้อยู่ในสันดานด้วยกันอีกด้วย คือนิสัยเผื่อแผ่แก่วงศ์วาน เมื่อเห็นว่าญาติคนใดอัตคัดขัดสนมาขอพึ่ง ก็เลี้ยงดูให้ที่อยู่กิน เป็นเหตุให้หมดเปลืองรายจ่ายถึงกับเกิดการ ‘ชักหน้าไม่ถึงหลัง’ และคราวใดมีการป่วยไข้เกิดขึ้นในครอบครัว ก็เกิดการเป็นหนี้ เพราะต้องยืมเงินผู้อื่นมาใช้เป็นค่าหมอค่ายา เหตุเหล่านี้ทำให้สายใจคิดหางานที่จะนำรายได้มาสู่ครอบครัว แต่ขุนบรรเจิด ฯ เป็นผู้ได้เห็นโลกมากพอสมควรแล้ว ได้เห็นเพื่อนฝูงที่ประกอบการค้า ว่าจะเป็นการค้าแบบใดก็ตาม มีน้อยคนนักหน้าที่จะหาทรัพย์มาเพิ่มพูนครอบครัวได้สำเร็จ มีแต่จะทำรายจ่ายเพิ่มขึ้น แล้วหนี้สินก็ตามมา ในที่สุดการค้าก็ล้ม ผู้ค้าก็ยังคงเป็นหนี้เขาอยู่ ทั้งนี้จะเป็นด้วยเหตุใดขุนบรรเจิด ฯ ก็อ่านไม่ออก แต่ขุนบรรเจิด ฯ รู้ว่างานที่ภรรยาคิดจะทำ จะเป็นการเริ่มตั้งโรงเรียนก็ดี การเริ่มตั้งร้านขายอาหารก็ดี จะต้องมีเงินรองสำหรับขาดทุนเตรียมไว้ให้เพียงพอ เมื่อตนไม่มีทรัพย์ของตนเองเป็นก้อนเป็นกำ ทั้งภรรยาของตนก็เป็นผู้ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอันใด จะต้องยืมทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นทุนรอน หากเกิดการพลั้งพลาด ผลของงานไม่งอกงามสมความคาดหมาย ความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงก็จะตามมา งานที่ทำทั้งโดยทุนและโดยแรงเพื่อจะหนีการ ‘ชักหน้าไม่ถึงหลัง’ และหนีการเป็นหนี้ ก็จะกลายเป็นงานที่เสียทั้งทุนทั้งแรงเพื่อหาหนี้ใส่ตัว โดยนัยนี้อุปสรรคที่ขัดความปรารถนาของสายใจก็คือความอัตคัดในเรื่องทรัพย์ และโดยนัยนี้ สิ่งใดเป็นที่มาแห่งความปรารถนาของสายใจที่จะใช้ความเป็นช่างของตนใช้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง ก็สิ่งนั้นแหละเป็นที่มาแห่งอุปสรรคที่ขัดขวางความปรารถนาของสายใจไว้

ในระหว่างที่ ‘คุณป้า’ ทั้ง ๔ นางกำลังสนทนาโต้แย้งขัดคอหรือคล้อยตามกันเพลินอยู่ เด็กหญิงป่องฉวยโอกาสหยิบน้ำตาลปอนด์จากที่ใส่ลงในถ้วยน้ำชาของตนถึง ๕ ก้อน แล้วใช้ช้อนตักน้ำชาในถ้วยขึ้นเป่าแล้วซดแล้วเป่าแล้วซด แล้วแลบลิ้นเลียปากของตนเองอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อทำอยู่เช่นนี้ประมาณ ๗–๘ ครั้ง บันลือก็แลไปเห็น เขาขมวดคิ้วและนิ่งดูอยู่ก่อน แล้วพยายามจะจับสายตาเด็ก เพื่อจะใช้กิริยาสั่งให้เด็กยุติการกระทำเหล่านั้น บันลือชังผู้ที่เสียมารยาทในการรับประทานยิ่งนัก และถึงแม้ว่าธิดาของเขามีอายุเพียง ๖ ขวบ แต่เพราะเหตุที่เป็นธิดาของเขา เขาถือว่าแม่หนูควรจะได้รับการอบรมดีพอที่จะไม่ใช้ช้อนตักน้ำชาหรือเครื่องดื่มใด ๆ ขึ้นใส่ปากซด

เขาทนนั่งดูต่อไปไม่ได้นาน ก็ไอขึ้นเบา ๆ เพื่อเรียกความเอาใจใส่ของเด็กมาสู่ตัวเขา บุตรชายได้ยินเสียงเขาก่อนและเหลือบตามาดู บันลือพยักหน้าให้ลูกชายบอกลูกหญิงแต่เด็กชายก้องหาเข้าใจไม่ ก็มองดูเขาอย่างงง บันลือนึกไม่พอใจมากขึ้น สีหน้าก็มีลักษณะบึ้งตึง พอดีกับเด็กหญิงมองมาดูเขา เขาก็เขม็งตามองดูเด็กพร้อมกับสั่นศีรษะเป็นอาการห้ามกิริยาที่เด็กทำอยู่ด้วย

ประจวบกับฉนวนก็แลมาทางบันลือเหมือนกัน เพื่อแก้ความสงสัย ที่เขาเห็นปรากฏขึ้นในสีหน้าฉนวน บันลือจึงพูดเรียบ ๆ ว่า “ยายป่องกินน้ำชาไม่เป็นเอาช้อนตักซดเสียอย่างสนุก”

ฉนวนหัวเราะ และกล่าวว่า “โถกับเด็กเท่านี้น้ำชามันร้อนกระมั้ง แกดื่มทั้งถ้วยไม่ได้แกก็ตักซดน่ะซี ใช่ไหมหนู ? เล็ก ๆ เท่านี้จะเป็นอะไรไป” แล้วหล่อนก็ลูบหลังเด็กอย่างรักใคร่และปรานี

ส่วน ‘คุณป้า’ อื่น ๆ ก็หันมาเอาใจใส่กับเด็กหญิงอีกครั้งหนึ่งและออกอุทานเป็นเชิงคัดค้านคำติเตียนของบันลือ เด็กหญิงป่องรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ ‘เด่น’ ขึ้นในที่นั้นกำเริบเพราะเหตุที่มีผู้สนับสนุนมากคน จึงจีบปากพูดว่า

“คุณพ่อ พอเห็นหนูก็ตาเขียวปั้ด เมื่อพูดกับคนอื่นละก้อยิ้มแป้น ๆ”

ผู้ที่ได้ยินพากันหัวเราะด้วยความประหลาดใจและพิศวง รวมทั้งตัวบันลือเองด้วย เขาเหล่านั้นคิดไปไม่ถึงว่าเด็กได้จำคำของผู้ใหญ่มากล่าว ก็นึกชมว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ เหตุไฉนจึงมีความฉลาดพูดจาเข้าเรื่องจนแทบไม่น่าเชื่อ มุกดานั้นเกรงใจน้องชายมาก กลัวน้องจะโกรธหลาน จึงฝืนใจดุไปตามควร

“ดู ทำแก่ไปว่าคุณพ่อเขา เดี๋ยวเขาโกรธเอาหรอก”

บันลือไม่ทันที่จะได้ตอบหรือแสดงความรู้สึกอย่างใด เขาต้องหันไปฟังคนใช้ซึ่งเข้ามาแจ้งแก่เขาว่า มีผู้ต้องการจะพูดโทรศัพท์ด้วย และผู้นั้นบอกนามของเขาว่า ‘เจริญ’

ชายหนุ่มกล่าวขออภัยต่อที่ประชุมแล้วก็ออกจากห้องไป

เมื่อเขายกโทรศัพท์ขึ้นและบอกนามของเขาไปแล้วก็ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายหนึ่งพูดมาว่า “เมียกันเขาใช้ให้บอกแกว่า เขายอมแพ้แกแล้ว”

“เอ๊ะ ยอมแพ้เรื่องอะไร ?”

“เรื่องผัวเป็นม้า เมียเป็นคนขี่น่ะเขาว่ามันขืนโลก”

บันลือหัวเราะลั่นลงไปในเครื่องพูด “แล้วตัวเธอกับภัสดาของเธอล่ะ ?” เขาถาม

“ไม่รู้แฮะ ไม่เห็นเขาสั่งให้บอก—”

“แล้วไอ้ที่สั่งให้บอกน่ะอะไร ?”

“เขาให้บอกว่า เขายอมให้เด็กของเขาเป็นม้า แกเป็นคน—”

คำพูดของเจริญขาดหายไป บันลือได้ยินเสียงอุบอับพึมพำมาแทนที่ นึกรู้ว่าจิตราคงมายืนอยู่ข้างสามีด้วยจึงพูดไปว่า “เกิดการทำร้ายร่างกายกันขึ้นรึ ? พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

เขาได้ยินเสียงแหลมแว่วมาเข้าหูว่า “ทำไมต้องมีการขี่การควบอะไรกัน” แล้วได้ยินเสียงเจริญพูดมาโดยชัดเจน

“เขาสั่งให้บอกว่า ทุกครอบครัว ชายต้องเป็นผู้นำ หญิงควรแต่เป็นผู้เตือนผู้เหนี่ยวรั้ง เมื่อเห็นผู้นำจะก้าวพลาด”

“เพราะจิ๊ง ! ทฤษฎีนี้ !” บันลือตอบไปพร้อมหัวเราะ “ทำไมเจ้าของทฤษฎีไม่พูดเองหนอไหน ๆ ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ นั่นแล้ว”

ได้ยินเสียงเจริญพูดซ้ำคำที่เขาพูดนี้ทุกคำ แล้วได้ยินเสียงจิตราตอบแว่ว ๆ ฟังไม่ได้ความ ภายหลังได้ยินเสียงเจริญพูดมาโดยชัดเจนอีก

“เขาบอกว่าอย่าพูดเป็นเล่นเสียเวลา เขายอมให้แกเป็นผู้นำ ผู้หญิงจะวิ่งตาม แกจะต้องการเด็กของเขาไหมล่ะ ?”

บันลือทำเสียง จุ๊ ! จุ๊ ! แล้วพูดว่า “ฝากจูบให้คุณจิตราสักครึ่งโหลเถอะ ใจดีเป็นแก้วอะไรอย่างนี้”

ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแหลม ฟังไม่ชัดนักแต่ได้ความว่า “มีอย่างรึ ฝากจูบเมียไปกับผัวของเขา”

เขารีบถามต่อไปทันที “ผัวเขารังเกียจรึขอรับ ?” ก็ได้ยินเสียงเจริญตอบกลับมาว่า “มากนักบางทีก็เบื่อเหมือนกัน”

ทั้งสองฝ่ายหัวเราะ

“บอกคุณจิตราว่ากันขอบพระคุณเธออย่างยิ่ง แต่เวลานี้กระทันหันเหลือเกิน ตอบอะไรไม่ถูก อีกสักสองหรือสามวันกันจะไปตอบด้วยตัวเองได้ไหม ?”

ประมาณครึ่งนาทีเขาจึงได้รับคำตอบ

“ได้ แต่อย่าให้กลายเป็น ๒–๓ อาทิตย์ เขาเป็นโรคคอยอะไรแล้วอัดใจ จะอ้วกท่าเดียว”

“โอ๊ ไม่ต้องคอยถึงอาทิตย์เป็นอันขาด” บันลือกล่าว

“ตกลง เลิกกันนะ”

“เลิกกัน ขอบใจ” แล้วบันลือก็วางเครื่องโทรศัพท์ไว้ยังที่.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ