๒๖
ผู้ฉลาดจึงอยู่ในถิ่นอันสมควร—ผู้ใดไม่สำคัญหนาวและร้อนยิ่งกว่าหญ้า ทำกิจของบุรุษอยู่ผู้นั้นย่อมไม่คลาดจากความสุข คนผู้สงเคราะห์ทำตนให้เป็นมิตร วาทะของผู้อื่น ปราศจากความตระหนี่ เป็นผู้แนะนำแสดงเหตุผลต่าง ๆ เนือง ๆ ย่อมได้ยศ
ตอนเช้าแห่งวันรุ่งขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์เพิ่งจะส่งแสงเรื่อเรืองลงยังพื้นพิภพ จิตรายืนอยู่บนระเบียงเรือน มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏแก่ตาด้วยความพิศวงและตื่นเต้นระคนกัน หล่อนมีความรู้สึกว่าหล่อนตื่นขึ้นในบ้านอันมีลักษณะเป็นบ้านแท้ ๆ อย่างบ้านมนุษย์ที่มีความเจริญสูง แต่ครั้นแล้วก็รู้สึกตัวว่ากำลังยืนดูภูมิประเทศอยู่กลางป่าต้นไม้ใหญ่ไม่รู้ว่ากี่ชนิด แต่ละต้นไม่ต่ำกว่าครึ่งอ้อมแขน ขึ้นเป็นหย่อมเป็นทิวเป็นหมู่อยู่ทั่วไป ลักษณะถมึงทึงเหมือนจะยืนยันตัวเองว่าเป็นไม้เกิดในดงแล้วก็จะรักษาความอิสระของคงไว้ไม่แยแสต่อความข้องแวะของมนุษย์ บางต้นยืนอยู่โดดเดี่ยวสาขาใหญ่กว้าง กิ่งก้านน้อมลงปกคลุมพื้นดินมีลักษณะเหมือนจะแสดงความคุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอันดีและเตรียมพร้อมที่จะให้ความร่มเย็นแก่มนุษย์ที่จะเข้าอาศัยพักร้อนในร่มเงา นกต่าง ๆ บินขึ้นจากกิ่งไม้ แล้วถลาลงบนพื้นดินเป็นหมู่เป็นคู่เป็นฝูง เสียงร้องแปลก ๆ ต่าง ๆ บางเสียงคล้ายเสียงพูด บางเสียงคล้ายเสียงเพลงสลับกันอยู่แซ่ไป
จิตรายืนนิ่งอยู่นานมาก มีความรู้สึกเป็นสุขด้วยความเบิกบานและความสบายแห่งใจ ครั้นแล้วหล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังเข้ามาใกล้ บันลือเดินอย่างระมัดระวังมิให้ส้นรองเท้ากระทบพื้นเข้ามาหาหล่อน
หล่อนยื่นมือซ้ายซึ่งลอดจากปลายแขนเสื้อกิโมโนสีส้มอ่อนออกส่งให้เขา บันลือจับและกุมไว้พลางหยุดยืนอยู่เคียงหล่อน
“งามมาก” จิตรากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา สายตามองตรงไปยังภูมิประเทศเบื้องหน้า “ถ้าเราเชื่อในเรื่องที่ ๆ เป็นชัยภูมิที่เหมือนอย่างที่คนโบราณท่านเชื่อ ฉันแน่ใจว่าเธอจะได้ความรุ่งเรืองจากที่นี่”
เขายิ้มแต่เพียงนิดเดียวแทนคำตอบ เช่นเดียวกับที่หล่อนได้พูดโดยมิได้มองดูหน้าเขา เขามิได้หันไปดูหน้าหล่อน มีบางเวลาที่ความซาบซึ้งตรึงใจของธรรมชาติทำให้ดวงจิตที่เป็นคู่มิตรแก่กัน มีความรู้สึกอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมิพักต้องอาศัยคำพูดหรืออาการอย่างใดเป็นสื่อในการนัดแนะ ชักชวน จิตรากับบันลือต่างยืนอยู่ด้วยกันเช่นนี้ครู่ใหญ่ แล้วฝ่ายหญิงจึงทำลายความเงียบขึ้น
“เดี๋ยวนี้ฉันไม่สงสัยแล้วว่าคนอย่างเธอ เกิดมาไม่เคยรู้จักว่าความลำบากเป็นอย่างไร ทำไมถึงมาทนอยู่ในบ้านป่าบ้านไร่ได้คราวละนาน ๆ ไม่รู้จักเข็ด ก็เพราะว่าป่าของเธอมันเป็นป่าวิเศษอย่างนี้เอง”
บันลือยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม เป็นการนิ่งเฉพาะอาการภายนอก เขากำลังนึกถึงคำลำบากที่จิตรากล่าว ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เขาได้ผจญมามากในระหว่าง ๒ ปีที่แล้วมา ความลำบากเกี่ยวแก่การตัดสินใจเลือกที่ ทำที่ๆ เลือกแล้วให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตัว ความลำบากในการขยายที่ให้กว้างขวางสมส่วนแห่งโครงการที่ได้วางไว้ ความลำบากเกี่ยวแก่การผูกมิตรกับชาวเมืองเจ้าของถิ่นเพื่ออาศัยแรงเขาด้วย อาศัยการร่วมมือของเขาด้วย อาศัยการสละสิทธิเดิมคือสละสิทธิในที่ ๆ เขาจับจองไว้แต่เก่าก่อนให้ด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นความลำบากในทางสมองที่เขาได้คิดหาอุบายอันแยบยลมาเป็นเครื่องบันดาลความสำเร็จ แล้วพร้อมกันนั้นต้องให้เป็นอุบายอันไม่เป็นไปในทางเอาเปรียบผู้ที่อ่อนสติปัญญากว่าตน หรือกระเดียดไปในทางที่เพี้ยนจากแนวศีลและธรรม ส่วนความลำบากทางกายนั้นเล่าขาดน้ำสำหรับอาบ บางคราวเป็นเวลาตั้ง ๒–๓ วันนอนอยู่กับกลิ่นสัตว์ กลิ่นสาบ กลิ่นอับ บริโภคอาหารอันแค้นคอโดยไม่เป็นกำหนด ไม่เป็นเวลา เมื่อมีความลำบากทางสมองและทางกาย ใจอันเป็นที่รวมรับความรู้สึกทั้งมวลก็ย่อมตกอยู่ในความลำบากด้วย แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องยืดยาว เป็นที่เขาจะนึกอยากเล่าแก่จิตราในเวลาเช้าอันสงัดสงบและสบายดังที่เขากำลังรู้สึกอยู่
“เธอสามารถอย่างไร บันลือ ถึงได้รักษาได้ลักษณะความเป็นป่าไว้ในเขตบ้านเธอได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเธอก็เป็นบ้านแท้ ๆ อย่างบ้านในกรุง”
เขามองดูหล่อนด้วยความพอใจในคำถามนั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นคำชมที่ถูกใจเขา เขาได้ใช้ความพยายามอย่างพิถีพิถันและละเอียดลออมากในการที่จะทำที่อยู่ของเขาให้มีลักษณะดังที่จิตรากล่าว แต่เขาตอบคำของจิตราในเสียงหัวเราะ
“รุกขเทวดาท่านดลใจ”
หล่อนหันมามองดูเขา แล้วเห็นเครื่องแต่งกายที่เขาแต่งอยู่ก็ถามว่า “เอ๊ะ นี่เธอจะไปไหน หรือไปมาแล้ว ?”
“จะไปยิงนกกับเจริญน่ะซี นัดกันไว้จะไปก่อนแดดขึ้น แต่ไม่เห็นเขาตื่นจนเดี๋ยวนี้”
“อ้าว ทำไมไม่ปลุกล่ะ ? ก็นอนอยู่ด้วยกันแค่คืบนั่นแหละ”
“ไม่จำเป็น คิดว่าปล่อยให้นอนสบายดีกว่า นกบ้านเราจะยิงเมื่อไหร่ ๆ ก็ได้ เขาอยากจะเห่อไปเอง”
จิตราหันหน้ากลับออกไปทางที่แจ้ง “นกในบ้านเธอนี้ เธอยิงมันได้ยังไง ?” หล่อนถาม “ดูซิ มันมาเต้นหยอย ๆ ยักหน้ายักตาให้เธอดู มันไม่ได้นึกระแวงเสียเลยว่าเธอน่ะเป็นมหายักษ์คอยจ้องจะล้างผลาญพวกมัน”
บันลือหัวเราะออกมาทันที แล้วจับแขนหล่อนบีบเบา ๆ พลางพูดว่า “นี่มันเป็นปัญหาเรื่องโลกกับเรื่องชีวิตจิตรา ไปเก็บเอามันมาคิดมากนัก คุณจะปวดหัว ที่จริงผมไม่เคยยิงนกในบ้าน แต่ว่านกป่าหรือนกบ้านมันก็พวกเดียวกันนั่นแหละ นกบ้านก็อาจจะบินไปเที่ยวป่า นกป่าก็อาจบินเข้ามาในบ้าน เรารู้มันเมื่อไหร่ ตัวไหนนกป่าตัวไหนนกบ้านกันแน่ ปัญหามันอยู่ที่ว่าทำไมเราจึงต้องยิงนกเราควรจะยิงมันไหม ไม่ใช่แต่นกละ อื่น ๆ ก็เหมือนกัน กวาง อีเก้ง หมู เมื่อไหร่จะมีใครเป็นคนตัดสินชี้ขาดแล้วทำให้เราเชื่อตามได้”
หล่อนมองดูเขาในอาการใช้ความคิด ครั้นแล้วก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย และว่า
“ภรไปไหนนี่ ? เห็นมั่งไหม ?”
“ต้องการตัวเขารึ ? ผมจะไปตามให้”
“เอ๊ะ มีที่ลี้ลับ รู้กันระหว่างสองคนยังงั้นรึ ?”
“เปล่า” บันลือตอบพลางหัวเราะอย่างเห็นขัน “ผมรู้ว่าเวลานี้เขาต้องอยู่ในครัวไม่ไปไหน ผมเสียดายเสื้องาม ๆ ของคุณจะเปื้อนฝุ่นเสียหมดถึงได้อาสาจะไปตามให้”
“แหม เข้าครัวแต่เช้าเทียวรึ ? ขยันจัง” จิตรากล่าว “อย่าไปตามเขาเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเขาเอง ไปทำตัวให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน พอลุกจากเตียงก็ออกมายืนอยู่นี้ ความที่ไถล !”
หล่อนละจากเขากลับเข้าในห้อง ก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงแดงและพี่เลี้ยงตื่นขึ้นแล้ว และพูดกันอยู่เบา ๆ จิตราเข้าในมุ้งและลงนอนสัพยอกลูกอยู่สักครู่ ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กทางประตูด้านหนึ่ง แล้วประตูนั้นเปิดผางออกโดยแรงทำให้จิตราต้องโผล่ศีรษะออกนอกมุ้ง เพื่อดูว่าผู้ใดทำเสียงปึงปังดังนั้น ก็ได้เห็นภาพที่น่าดู และน่าขันเป็นที่สุด เด็กหญิงเด็กชายคู่หนึ่งสวมเสื้อขาวร้อยริบิ้นรูดที่คอชายเสื้อยาวกรอมข้อเท้า หอบผ้าห่มนอนผืนใหญ่รุ่มร่ามคนละผืนเดินเข้าประตูมาหน้าตายู่ยี่ เพราะเหตุว่าเพิ่งตื่นนอน แต่ถึงกระนั้นก็มีลักษณะน่าเอ็นดูและน่าหัวเราะยิ่งนัก
“ต๊ายจริง” จิตราร้อง “นี่โผล่ออกมาจากไหนกันตุ๊กตาคู่นี้ หอบอะไรพะรุงพะรังมาด้วย จะไปไหนกันจ๊ะ ?” แล้วหล่อนออกจากมุ้งและเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าเด็ก
“นี่เพิ่งตื่นขึ้นมาใช่ไหม ?” หล่อนถามอีก “เมื่อคืนหนูนอนที่ไหนคะ ?”
เด็กทั้งสองมองดูจิตราอย่างสงสัย เขาเคยพบกับจิตราครั้งหนึ่งหรือสองครั้งแต่เป็นเวลานานมาแล้วและความจำของเขาในลักษณะและรูปร่างของมนุษย์ยังไม่เจริญเท่าไรนัก
จิตราตั้งคำถามซ้ำอีกถึงสองครั้ง เด็กหญิงป่องจึงตอบพร้อมกับพยักหน้าไปทางเบื้องหลัง
“นอนในนั้น”
“อ๋อ นอนในห้องคุณพ่อหรือคะ ? โถ หนูนอนกับคุณพ่อรึ–หรือนอนกับใคร ?”
“นอนกับอาภร”
จิตราหัวเราะ เพราะเมื่อคืนนี้ภรณีกับหล่อนนอนอยู่ในมุ้งเดียวกัน เนื่องจากการชักชวนของจิตราเองหล่อนกล่าวแก่ภรณีว่า เตียงนอนใหญ่โตเกินไปสำหรับที่หล่อนจะนอนแต่คนเดียว
“แล้วนี่หนูจะหอบผ้าห่มของหนูไปไหน ?” จิตราซักต่อไปอีก
“หนูจะหาอาภร”
“อ้อ อ้าว หนูเอาผ้าห่มไปวางไว้ที่เตียงนอนนะคะ ป้าจะเรียกอาภรให้ คนนี้เป็นป้าหนู จำไว้ ต๊าย หนูน่ะเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ทำไมถึงเหมือนพ่อได้ยังกะแกะ”
จิตราลุกขึ้นมองหารองเท้า พบแล้วก็สวมและลงจากเรือน
ภรณีอยู่ในครัวกับคนใช้ชายหญิงรวมสี่คน ได้สั่งการเกี่ยวกับเรื่องอาหารสำหรับวันนี้เสร็จไปตอนหนึ่งแล้วและผู้รับสั่งก็กำลังลงมือทำงานของเขา ขณะนี้หล่อนกำลังปรุงกาแฟถ้วยหนึ่ง พลางพูดกับชายหนุ่มชาวพื้นเมืองที่ยืนอยู่ใกล้ หล่อนกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริงและยกถาดเล็กรองถ้วยกาแฟและช้อนส่งให้เขา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน แต่เชื่อว่าไม่ได้อยู่บนเรือน ไม่รู้ละ แกเคยหาเก่ง หาให้พบก็แล้วกันเดินระวังหน่อยนะ ประเดี๋ยวเถอะ กว่าจะพบพ่อคุณ กาแฟกระฉอกเสียหมดแล้ว”
ชายหนุ่มผู้นั้นรับถาดจากมือภรณีแล้ว ก็พอดีมองไปเห็นจิตรา ทันใดนั้นถาดก็เอียง ถ้วยกาแฟเลื่อนที่อยู่ในจาน เพราะความที่ผู้ถือถาดตะลึงมองดูเสื้อ ซึ่งมีลักษณะแปลกสำหรับสายตาของเขายิ่งนัก ทั้งภรณีและจิตราสังเกตเห็นกิริยาของเขาอย่างถนัด ทั้งสองพากันหัวเราะแล้วต่างฝ่ายต่างทักทายกันแล้วก็พากันออกไปจากครัว
“ตอนสายหรือตอนบ่าย ถ้าเผื่อเธอลงมาทำกับข้าวพี่จะมาช่วยทำด้วย” จิตรากล่าว หลังจากที่ได้เล่าเรื่องเด็กหญิงชายให้ภรณีฟังแล้ว “ไม่ช่วยทำก็ช่วยพูดครัวของเธอท่าจะสบาย จัดเสียออกเรี่ยม”
“ต๊าย เรี่ยมอะไรคะ” ภรณีว่าพลางหัวเราะ “ตอนเช้านี่รกยังกะอะไรดี แม่ครัวแกตื่นง่ายเหลือเกิน มีอะไรแปลกไปนิดแกชักจะหยิบอะไรไม่ถูกเสียแล้ว”
“ชาวเมืองนี้รึ ?” จิตราถาม
“ค่ะ แหม หัดเสียเจียนตาย กว่าจะพูดกันรู้เรื่องแต่อย่างหนึ่ง เรารู้ว่าแกเห็นเราเป็นเทวดา บอกอะไรให้แล้วละก็แกเชื่อสนิท แล้วตั้งอกตั้งใจทำตามเสมอ เว้นแต่ปัญญามันไม่ค่อยจะช่วยแกเสียเลย”
“เขาว่าคนหัวเมือง ถ้าเราทำให้เชื่อเราได้เสียทีหนึ่งแล้วละก็ ทีหลังก็เชื่อไปจนตาย–เออ ไอ้กาแฟถ้วยเมื่อตะกี้เอาไป ให้ใคร มันหอมดี พี่นึกจะแย่งเอามาชิมเสียก่อนแล้วสิ”
“คุณพี่หิวรึคะ ? โธ่ รู้งี้ก็—”
“อุ๊ย เปล่า ยังไม่หิว ตะกรามไปยังงั้นเอง อยู่บ้านพี่กินตั้งสองโมง นี่เพิ่งโมงเดียวเท่านั้น กาแฟถ้วยเมื่อกี๊เอาไปให้บันลือใช่ไหม ? เธอเรียกว่ายังไงนะ เมื่อกี๊ได้ยินไม่ถนัด”
“ชาวเมืองนี้เขาเรียกกันว่า พ่อคุณค่ะ ดิฉันมาเรียกตามเขา เรียกอย่างอื่นเขาก็ไม่เข้าใจ”
เมื่อมาถึงบนเรือนแล้ว ความสนใจของจิตราและภรณีก็ไปรวมอยู่ที่เด็ก ๓ คน ทั้งสองฝ่ายพูดเล่น ยั่วเย้าเด็ก แต่งตัวให้เด็ก นำเด็กลูกเจ้าของบ้านและลูกของผู้เป็นแขกให้วิสาสะแก่กัน บางคราวเจ้าหล่อนทั้งสองพูดดังและหัวเราะดังขึ้นด้วยความรู้สึกสนุก ต่างฝ่ายต่างก็ต้องผลัดกันห้ามผลัดกันเตือนเพราะนึกถึงผู้ที่ยังนอนอยู่
ตอนหนึ่งจิตราปรารภว่า “ขันจริง เจริญของฉันทำไมมากลายเป็นคนนอนตื่นสาย อยู่บ้านละตื่นพร้อมกับลูกทุกวัน แล้ววันนี้นัดจะไปยิงนกกับบันลือตั้งแต่ตีห้านะ บันลือเขาก็แต่งตัวคอย แล้วพ่อเจริญของฉันก็ยังไม่ตื่นจนป่านนี้”
“อ๋อ คุณบันลือน่ะ คอยใครหรือไม่คอยก็แต่งตัวทุกวันแหละค่ะ เพราะเช้าขึ้นก็ต้องออกไปดูงานเสียพักหนึ่ง แล้วถึงจะกลับมารับประทานอาหาร แต่บางทีเลยหายเข้าป่าไปจนเที่ยงถึงได้กลับมาก็มี เล่นเอาเราใจไม่ดีเลย ?”
“ทำไม กลัวเขาจะไปเป็นอะไรอยู่ในป่ายังงั้นรึ?” จิตราถามพลางหัวเราะ
ภรณีหัวเราะพร้อมกับตอบว่า
“ไม่ทราบว่ากลัวอะไรค่ะ ตื่นไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเอง แล้วพอเห็นตัวเขากลับมา ก็นึกว่าเรานี่บ้าจริง ไปเป็นห่วงเขาทำไม ไม่เห็นมีเหตุผล”
“อ๋อ ไอ้เหตุผลน่ะ มีเสมอละ มันเป็นเรื่องของเราพวกผู้หญิงนี่ เอะอะขอให้ได้ห่วง”
แล้วหล่อนทั้งสองบอกให้เด็กออกไปเดินเล่น ภรณีแนะนำให้ไปนั่งชิงช้า ให้นางสาวแม้นเป็นผู้ควบคุมไปด้วย เด็กหญิงป่องทำท่าเจ้ากี้เจ้าการกับเด็กหญิงแดง จับแขนจับมือชวนให้ไปด้วยกัน เด็กชายก้องยังมีอาการสงสัย เขาเป็นผู้ที่มีท่าทางแสดงว่าใช้ความคิดอยู่เสมอ ภรณีเล่านิสัยอันนี้ของเขาให้จิตราฟัง รวมทั้งนิสัยอื่น ๆ อีกด้วย แล้วการสนทนาของเจ้าหล่อนทั้งสองก็ดำเนินไปในเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจของเด็ก และการอบรมเด็กเป็นเวลานาน
เมื่อถึงเวลาสายกว่านี้ ภรณีกลับลงไปที่ครัวอีก เพื่อจัดหาอาหารสำหรับทุก ๆ คน เจริญกับส่องสีตื่นแล้ว ต่างฝ่ายต่างทำกิจวัตรของตนอยู่ในห้องพัก บันลือกับจิตรานั่งสนทนากันอยู่บนระเบียงเรือน อันเป็นที่ ๆ เขาทั้งสองมองเห็นเด็กสามคนได้ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก บางคราวเสียงอันแหลมและใสแจ๋วของเด็กหญิงป่องก้องมาถึงหู เป็นเสียงพูดบ้างร้องเพลงบ้าง เหนี่ยวเอาความสนใจของคู่สนทนาไปสู่เจ้าของเสียง จิตราพยายามจะจับคำในบทเพลง แต่จับไม่ได้ถนัดทุกคำ บันลือสังเกตเห็นความเจตนาของหล่อนก็หัวเราะและพูดว่า
“ขันที่สุดเทียวคุณ ไอ้เพลงที่ยายป่องแกร้อง” เขาบอกคำที่จิตราฟังไม่ได้ชัดให้แก่หล่อน จนได้ความครบตามบทเพลง แล้วเสริมในเสียงหัวเราะเช่นเดิม “ปรัชญาทั้งแท่งเทียวนะ อาภรเขาสอนหลานเขา”
“เรือเอ๋ยเรือเสน่ห์ เร่รักมาท้าให้ชม เล่ห์รักหกอกตรมระบมรัก หักห่อนหาย—
“รักเร่ เล่ห์รักซ้อน ซ่อนรักเร้น เช่นเชิงชาย อกหักรักบ่คลาย ตายเพราะรัก หักอกตรม เห่ เห่—”
“ไม่เลวนะ” จิตราเอ่ยขึ้นอีก “ฉันจะต้องถามภร เธอสอนรักเล่ห์ไหนให้เขามั่ง ถึงดูมีหลายเล่ห์นัก”
“ผมน่ะ แปลกใจว่าทำไมลูกสาวผมถึงได้จำได้ มันน่าจะไขว้เขวกันหมด แต่เราฟังเกือบตายยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง”
“ก็ภรเขาบอกว่าลูกเธอน่ะ ฉลาดเป็นกรดทั้งคู่ แต่ว่าตาผู้ชายน่ะแกฉลาดนิ่ง ๆ ส่วนยายผู้หญิงน่ะแกแป๋นแจ๋หน่อย”
“ตั้งต้นเรียนหนังสือแล้วทั้งสองคน” บันลือบอกอย่างภูมิใจ “อาภรสอนเหมือนกัน”
ในเวลานั้นเอง ส่องสีเดินมาถึงตัวเขาทั้งสอง บันลือขยับตัวขึ้นยืนต้อนรับ ฝ่ายเจ้าหล่อนพูดพลางจับผมจับเสื้อ และในท้ายที่สุดก็จับเก้าอี้ก่อนที่จะลงนั่ง
“ฉันตื่นสายไปไหม บันลือ ? เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย นี่คุณเจริญยังไม่ตื่นหรือ พี่จิตร ? วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันมั่ง เจ่าอยู่ในบ้านตลอดเช้าอย่างเมื่อวานละก็ไม่ไหวละ เบื่อตาย แหม เมื่อคืนนกอะไรร้องตอนดึก เสียงน่ากลัวจัง นี่ยางคู่ของเธอไปไหนเสียล่ะ บันลือ ? ถ้าจะไปเข้าครัวเสียอีกแล้ว เอะอะก็เข้าครัวเรื่อย เป็นยังไงนะ”
ทั้งบันลือ และจิตราต่างไม่รู้จะตอบคำถามตอนใดก่อน ต่างฝ่ายจึงต่างไม่ตอบ และจิตรากลับเป็นฝ่ายถามบันลือเสียเอง
“แถวนี้มีที่เที่ยวมากรึ มีอะไรแปลก ๆ ที่ควรดูมั่ง?”
“อะไรล่ะที่ควรดู ?” บันลือย้อนถาม “ถ้าเป็นโบราณวัตถุละก็ไม่มีเลย เขามีไกลจากที่นี่ ๗๐๐ เส้น ที่นั่นมีถ้ำค้างคาว นอกจากนั้นก็ธารน้ำพุแถว ๆ บ้านเรานี่แหละ แต่ไม่ใช่ว่ามันพุขึ้นมาให้เราเห็นหรอกนะ เวลามองดูเราก็เห็นเป็นแอ่งน้ำ มีต้นไม้ขึ้นรกเป็นพง แต่มันมีน้ำตลอดปีไม่รู้จักแห้ง”
“ขึ้นรถไปดูได้ไหม ?” จิตราถาม
เขาสั่นศีรษะพร้อมกับตอบ “ยังไม่มีทางรถ แต่ทางเดินไปได้สบาย”
“อี๊” ส่องสีร้องขึ้น แล้วจึงถาม “ไกลไหม ?”
“ขนาดไหนล่ะที่คุณเรียกว่าไกล ถ้าอย่างผมเดินก็ไม่เกิน ๑๕ นาที”
“อย่างฉันล่ะ !” จิตราถาม
เขาหัวเราะและว่า “ผมก็กะไม่ถูก ได้ยินว่าน้องสาวคุณเดิน ๒๐ นาทีถึงเหมือนกัน—”
“ภรน่ะ? พิโธ่ ก็นั่นเขาเคยอยู่หัวเมืองนี่นา แล้วเขาอ่อนกว่าฉันตั้ง ๑๐ ปี”
“ยังงั้นเทียวรึ ?” ส่องสีถามขึ้น “พี่จิตราอายุเท่าไหร่ อ้อ ๓๔ เมื่อคืนนี้บอกแล้ว แหม ยางคู่บันลือเขาน่ะอายุ ๒๔ เท่านั้นเอง ? แหม แปลกนะ ดูหน้า—คนบางคนเป็นอย่างนี้เอง เดี๋ยวดูหน้าแก่ เดี๋ยวดูหน้าเด็ก บันลือทำไมเธอถึงไปแต่งงานกับผู้หญิงที่เด็กกว่าเธอมากนักล่ะ ? เวลาเธอแต่งกับฉันน่ะฉันอ่อนกว่าเธอสองปีเท่านั้นเอง”
“แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ ?” บันลือถามวางหน้าตาเฉย
“เธอแก่กว่าเมียตั้ง ๗ ปี” ส่องสีตอบโดยซื่อ “แต่ที่จริง เมื่อแรกฉันก็นึกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับเธอ ถ้าเขาจะรีบแก่ลงมาหาเธอน่ะเอง”
“ใครบอก” บันลือพูดเสียงเดิม “ผมหนุ่มขึ้นไปหาเขาต่างหาก—เอ้า อย่านินทาไปนะ ตัวเขามาแล้ว”
ส่องสีมองตามสายตาบันลือไป แล้วหันกลับมาว่าแก่จิตรา
“พี่จิตราหาผู้หญิงให้บันลือเก่งมาก เขามีวิชาดี วิชาไม่พูดยังไงล่ะ เราพูดกับเขาสิบคำ เขาตอบเราครึ่งคำเท่านั้นเอง” หันกลับไปทางที่ภรณีเดินมา แล้วพูดออกไปด้วยเสียงอันดัง “มาเร้ว แม่ยางคู่ มานั่งคุยกันมั่งสิ จับตัวยากเหลือเกิน เอะอะก็หนีเข้าครัวเรื่อย เป็นห่วงเรื่องกระเพาะนักหรือ ? ยังงี้บันลือก็หลงแย่ หาเมียไว้ทำครัวนี่มันเป็นความฝันของผู้ชายทุกคน พี่จิตร เวลาเห็นฉัน เมื่อคืนนี้รู้สึกแปลกไหม ? ใคร ๆ เขายังว่าฉันเป็นเด็กไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงเลย”
บันลือลุกจากที่นั่ง โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวจึงทำเช่นนั้น แล้วเขารู้สึกพอใจเมื่อเห็นภรณีแวะเข้าเสียในห้องของหล่อน ส่วนจิตราตอบคำของส่องสีว่า
“คนอย่างเธอ เห็นจะเป็นเด็กจนตาย ว่าถึงแปลก ถามราวกับว่าฉันไม่ได้พบได้เห็นเธอนมนานนักหนาแล้ว ที่จริงฉันเห็นเธอออกบ่อย ๆ แต่บางทีเธอจะไม่เห็นฉันละกระมัง”
“ไม่เห็นจริง ๆ พี่จิตร เห็นเมื่อคืนนี้ใจหายโบ๋ ต๊าย ทำไมพี่จิตรปล่อยตัวให้อ้วนเผละจนยังงี้ ?”
สีหน้าจิตรามีอาการไม่สู้ดี แต่หล่อนตอบในเสียงหัวเราะ
“ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคอยระวังสวยเหมือนคนอื่น เพราะฉันเอาใจใส่กับความพอใจของผัวฉันคนเดียวเท่านั้น”
“อู๊ ผัว !” ส่องสีว่า “ในโลกนี้ใคร ๆ ก็เห็นว่าผัวสำคัญกว่าอะไรหมดนะ มัวแต่คอยเอาใจผัวก็–เอ๊ะ นี่แม่ยางคู่ของบันลือหายไปเสียอีกแล้ว ? ท่าเขาจะไม่ชอบฉันนะบันลือ เขาเป็นคนขี้หึงรึ”
“ถามคุณจิตราดูแน่ะ” ตอบแล้วบันลือเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง ความรู้สึกเหนื่อยหน่าย สังเวช และเศร้าเกิดขึ้นในใจของเขาพร้อมกัน
พอดีกับเจริญมาถึงที่นั่นอีกคนหนึ่ง ส่องสีหันไปปราศรัยกับเขา การสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องใหม่ต่อไป