ชนใดเป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงเล่นเบี้ย

ย่อมทำทรัพย์ที่ได้มาให้พินาศ ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งผู้ฉิบหาย

 

เจ้าหล่อนเดินผ่านเขาไปจากข้างหลัง ไปทางข้างหน้า

๓ คนแล้วก็ผ่านไปอีก ๒ อีก ๔ เพราะเหตุที่รถของเขาจอดอยู่ที่ริมบาทวิถี และตัวเขานั่งอยู่บนรถ เขาไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าเจ้าหล่อนถนัด แต่เท่าที่เขาเห็นเจ้าหล่อนทางเบื้องหลัง เขารู้สึกว่าเขากำลังนั่งดูภาพที่ไม่ทำให้เสียดายสายตา—เป็นความจริง หญิงสาวรุ่นใหม่นี้มีลักษณะชวนแลมากกว่าสาวในสมัยก่อน–สมัยที่เขากำลังใฝ่ฝันอยู่ว่า ความรักของเพศหญิงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเพศชาย

เจ้าหล่อนกำลังจะผ่านเขาจากทางข้างหน้าไปทางข้างหลัง เขามีโอกาสดูหล่อนได้เต็มตา เจ้าหล่อนเดินมาเป็นคู่ ๆ ๓ คน ในจำนวน ๔ คนของเจ้าหล่อนนั้นมองดูเขา จนกระทั่งเขามีเวลาพอที่จะประสานสายตากับเจ้าหล่อนได้ถนัดทั้ง ๓ คู่ รู้สึกว่าคู่หนึ่งมีลักษณะท้าทายอย่างอาจหาญยิ่งกว่าคู่อื่น ลักษณะแห่งสายตานี้ทำให้เขานึกเอาใจใส่ว่าหล่อนคือใคร อยู่ที่ไหน แต่–เจ้าหล่อนเดินผ่านพ้นไปแล้ว เพื่อนร่วมเพศร่วมการแข่งดีของเจ้าหล่อนกำลังตามหล่อนมาทางเบื้องหลัง รถเก๋งใหญ่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ได้เป็นเป้าแห่งสายตา ๓ คู่ใหม่อีกซึ่งแข็งกล้าไม่แพ้คู่เก่า ความจำโดยเฉพาะเจาะจงก็จางจากสมองของเขาไปด้วย เขาจำได้แต่ว่าเขาได้เห็นหน้าขาว ๆ ประกอบด้วยคิ้วโก่ง ตาดำ ปากแดง หลายหน้า

เขามองดูนาฬิการถและรู้สึกว่านายเสน่ห์เพื่อนของเขาได้ผิดนัดไปถึง ๑๕ นาทีแล้ว—นึกถึงเพื่อนแล้วก็นึกขัน ขันทั้งเพื่อนขันทั้งตัวเขาเอง ขันเพื่อนเพราะเหตุที่ไม่มีความเกรงใจเพื่อนกันเสียบ้างเลย ขันตัวเองเพราะเหตุที่อ่อนแอต่อเพื่อนคนนี้ อ่อนแอจนไม่มีสติปัญญาที่จะขัดขวางหรือปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนไม่ว่าในกรณีใด ๆ เพราะเช่นนั้นจึงต้องมานั่งตากแดดเฝ้ารถ และดูสิ่งซึ่งตนไม่มีความสนใจจะดูเท่าใดนัก เป็นเวลาเกือบ ๓ ภาคนาฬิกา ในขณะที่เพื่อนไปเดินพะเน้าพะนอพธูแห่งดวงใจของเขา อยู่ตามห้างร้านอย่างเพลิดเพลิน

แต่ไหนแต่ไรมา ทุก ๆ ระยะแห่งคราวที่เสน่ห์กับบันลือพบกันบ่อย ๆ บันลือมักจะต้องให้เสน่ห์ยืมรถของเขาไปใช้เสมอ เมื่อยังรุ่นหนุ่มเป็นนักเรียนอยู่ในต่างประเทศด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างมีรถจักรยานยนต์คนละคัน เสน่ห์ก็ต้องยืมรถจักรยานยนต์ของบันลือใช้ ครั้นเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในประเทศที่เกิด พ้นจากฐานะนักเรียนแล้วต่างฝ่ายต่างมีรถยนต์เป็นสมบัติของตน เสน่ห์ก็ยังยืมรถบันลือใช้อีก ตลอดจนกระทั่งเสน่ห์มีทรัพย์อันเป็นสิทธิ์แก่ตนสามารถหาซื้อรถยนต์ได้ตามต้องการ และสามารถสับเปลี่ยนรถเก่าให้เป็นรถใหม่ได้บ่อย ๆ ในบางคราวเสน่ห์ก็ไม่วายที่จะยืมรถบันลือใช้อยู่นั่นเอง

ทั้งนี้ก็เพราะเสน่ห์ขับรถไม่เป็น และไม่รู้จุดอ่อนแอของตนเอง แท้จริงเสน่ห์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เข้าลักษณะที่เรียกว่าทำเป็นเกือบจะไม่ได้เลย ตลอดชีวิตของเขาซึ่งมีอายุ ๒๘ ปีเศษ เขายังไม่เคยทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่การศึกษาของเขาก็หาได้เป็นการสำเร็จโดยบริบูรณ์เหมือนเพื่อนฝูงทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าสำเร็จการศึกษาไม่ แต่เสน่ห์เป็นบุตรของคนมั่งคั่งอย่างยิ่งคนหนึ่งในประเทศ และเป็นผู้มีเสน่ห์อยู่ในตัวสมกับนามของเขา จำนวนบุคคลที่เกลียดเสน่ห์นั้นมีน้อย จำนวนที่ชอบเขามีอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนที่ชอบด้วยเกลียดด้วย รำคาญด้วยมีอยู่บ้าง เช่นบันลือเป็นต้น

ในระยะปีครึ่งที่ล่วงมา บันลือมีกิจส่วนตัวซึ่งทำให้เขาต้องอยู่ต่างจังหวัดคราวละหลาย ๆ สัปดาห์ เวลาที่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ นั้นมีน้อย ครั้งหนึ่งเพียง ๒–๓ คืน ก็เป็นธรรมดาที่เสน่ห์กับบันลือไม่ได้พบกันเลย แต่เมื่อเดือนที่แล้วมานี้ คุณนายลำดวนผู้เป็นยายของบันลือป่วย มีอาการค่อนข้างมาก มีความต้องการอย่างจริงจังที่จะให้หลานชายมาอยู่ด้วย บันลือได้ มาเฝ้าพยาบาลคุณยายอยู่ ๓ สัปดาห์กว่า พอคุณยายค่อยยังชั่วมาก ลุกนั่งได้เอง บันลือก็พบกับเสน่ห์ ได้ฟังเสน่ห์เล่าว่า “กันโทรศัพท์เที่ยวตามหาตัวลือทั่วบ้านทั่วเมือง เพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าซื้อมาเฝ้าคุณยายอยู่ตั้งร้อยปีแล้ว” แล้วเสน่ห์ก็แจ้งเหตุสำคัญที่ทำให้เขาตามหาตัวเพื่อนทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น “กันต้องได้รถใช้พรุ่งนี้ ๔ โมงเช้า กันต้องพาราไปซื้อดอกไม้ติดเสื้อ รถของกัน—”

“เข้าอู่” บันลือต่อ

“ไม่ช่าย” เสน่ห์ด้านอย่างเบื่อหน่าย “คืออย่างนี้ มันเข้าอู่จริง แต่กันไม่ได้เป็นฝ่ายชน มันชนเรา รถเราจอดอยู่ข้างขวาถนน ที่นี้เราจะออกไอ้อีกคันหนึ่งมันซุ่มซ่ามมาจากไหนไม่รู้ มันก็ล่อเอาเรากร้วมเข้า—”

บันลือหัวเราะแล้วตอบว่า “ตั้งแต่ลื้อขับรถมากี่ปีๆ นี่น่ะ อั๊วไม่เคยได้ยินว่าลื้อเล่าว่าลื้อชนใครหรืออะไรสักที แต่ลื้อต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้เขา คนในโลกนี้เห็นจะไม่มีใครเคราะห์ร้ายเท่าลื้อนะ”

เสน่ห์จะเข้าใจคำพูดของสหายดีหรือไม่เพียงไรก็ตาม เขาแสร้งทำไม่เข้าใจได้อย่างสนิท ตอบว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องเคราะห์แคระน่ะ พูดเรื่องรถกันดีกว่า กันมีธุระจริง ๆ รา—”

“รู้แล้ว ธุระของแกน่ะมันมีจริงเสมอ แต่เสียใจกันช่วยแกไม่ได้ คนขับรถของกันไม่อยู่ กันทิ้งเขาไว้ที่หัวเมือง”

“ก็ใครบอกว่าอั๊วต้องการคนขับ อั๊วต้องการรถต่างหาก”

“แล้วแกจะได้เอาไปให้เขาชนเสีย ไม่ได้ ๆ เวลานี้กันกำลังมีธุระมาก แล้วคุณยายก็ยังไม่หาย เผื่อกลางค่ำกลางคืนท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ไม่มีรถรับหมอให้ท่านจะลำบาก”

“พิโธ่ อั๊วไม่ได้บอกเลยนาว่าจะเก็บรถของแกไว้จนกลางคืน อั๊วจะขอยืมสัก ๓–๔ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”

“ถูกแล้ว แกตั้งใจจะขอยืมเพียง ๓–๔ ชั่วโมง แต่พอแกเอาไปแล้ว แกจะไปทำให้คนอื่นเขาเอามันไปใส่อู่เสีย ๓–๔ เดือน กันก็แย่ กันให้แกไม่ได้จริง ๆ อ้อนวอนให้ปากหักก็ไม่ให้”

เสน่ห์ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง ทำสีหน้าราวกับมีทุกข์ใหญ่ยิ่งนัก บันลือมองดูพลางต่อสู้กับความรำคาญที่เกิดขึ้นแก่ตัว ครั้นแล้วอดที่จะเห็นแก่หน้าสหายไม่ได้ จึงถามขึ้นเพื่อจะเอาใจเขา

“แม่ราของแกคนนี้ คือคนที่แกเคยพาไปด้วยเมื่อคราวที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันใช่ไหม ?”

“ไม่ช่าย” เสน่ห์ตอบเสียงแข็ง “นี่เขาชื่อสุทธิรา”

“ก็คนก่อนล่ะ อะไรรา ?”

“คนนั้นอินทิรา เขาแต่งงานไปแล้ว”

“อ้อ ตามเคย”

บันลือไม่ถามต่อไป เพราะเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่อง ‘ตามเคย’ ดังเขาได้กล่าวแล้วอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่า แม้จะถามก็ไม่ได้ความจริงอันละเอียด เพื่อนฝูงในสมาคมเดียวกับเสน่ห์ ย่อมเคยรู้เคยเห็นว่าเสน่ห์เป็นผู้ที่มีหญิงสาวเคียงคู่อยู่กับเขาในที่ต่าง ๆ อย่างน้อยก็คนหนึ่งเป็นนิจ และรู้ด้วยว่าเจ้าหล่อนเหล่านั้น แต่ละคนย่อมจะได้รับความพะเน้าพะนอจากเสน่ห์เท่า–หรือมากกว่า–ที่หญิงสาวทั่วไปย่อมจะได้รับจากชายหนุ่มที่รักและบูชาหล่อนอย่างยิ่งยวด แต่เสน่ห์ก็ยังเป็นชายโสดอยู่จนบัดนี้ ทั้งเป็นโสดอยู่อย่างจริงจังเสียด้วย กล่าวคือแม้แต่คู่หมั้นก็ยังไม่มี ทุกคราวที่เพื่อนของเสน่ห์เห็นหญิงคู่ควงของเสน่ห์เปลี่ยนหน้าไป เกิดความอยากรู้ไต่ถามเขา ก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า “เลิกกันแล้ว” หรือ “เขามีคู่รักใหม่” หรือ “ไม่รู้เขาหายไปไหน” หากมีผู้ซักต่อเป็นต้นว่าถามถึงเหตุที่ทำให้ ‘เลิก’ หรือเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อน ‘มีคู่รักใหม่’ ก็จะได้รับคำ ตอบแต่เพียงว่า “ไม่รู้เขาเรอะ” หรือมิฉะนั้น “อยากรู้ไปถามเขาเองซี”

เสน่ห์ย้อนกลับมาพูดเรื่องเหตุสำคัญอีก

“แย่จริง!” เขาบ่น “เพื่อไม่ได้รถไปรับราพรุ่งนี้ แกโกรธตาย ยิ่งคอยแต่ใจน้อย หาว่าเราไม่รักไป” แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก้มหน้า มือกุมศีรษะราวกับมีความกลัดกลุ้มเสียเหลือกำลัง

ภายหลังเขาเงยหน้าขึ้น และพูดอ่อย ๆ “กราบตีนน่าเพื่อน อย่าใจแข็งนักเลย ให้ตายต่อหน้าแดด ถ้าเกินไปกว่านั้น อั๊วยอมให้แกทำอะไร ๆ อั๊วได้ทุกอย่าง”

เห็นบันลือยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ยังคงสั่นศีรษะ เสน่ห์ก็รีบพูดต่อไปอีก ทำสีหน้าให้น่าสงสารยิ่งขึ้น

“เอาน่า นึกว่าช่วยกู้หน้ากันไว้สักที กันสัญญาไว้แล้วเป็นมั่นเป็นเหมาะ ๔ โมงเช้าเป๋งจะไปรับเขาที่ ๆ ทำงานเผื่อไปไม่ได้เขาจะหาว่ากันเหลวไหล กันเกลียดเหลือเกินไอ้เรื่องผิดนัดกับผู้หญิง กราบตีนน่า ลื้อช่วยสงเคราะห์อีกทีเถอะ อย่าให้กันถูกด่าหน่อยเลย เมื่อหวงรถแกก็ขับไปเสียเองก็แล้วกัน”

และด้วยคำพูดหลาย ๆ ประโยคซึ่งคล้ายคลึงกันนี้ บันลือก็พ่ายแพ้แก่เสน่ห์ หรือที่ถูกพ่ายแพ้แก่ตัวเอง กล่าวคือทนความรำคาญและความอยากสงเคราะห์เพื่อนไม่ได้ เขาบอกแก่ตัวเองว่า เขาได้เฝ้าคุณยายผู้ซึ่งชราและเจ็บอย่างที่เรียกว่าไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเลยเป็นเวลา ๓ สัปดาห์ นับว่าเขาได้ดูได้เห็นแต่สิ่งที่ชวนใจให้เหี่ยวแห้งเป็นเวลานานไม่น้อย เขาควรจะได้เห็นสิ่งที่ชวนตาชวนใจให้รื่นรมย์อยู่บ้าง การขับรถให้เพื่อนหนุ่มผู้ซึ่งจะไปหาความสุขกับหญิงสาว ก็ไม่เป็นการเหน็ดเหนื่อยนัก เขาควรจะทำได้ เพื่อความพอใจของเพื่อน และเพื่อความสนุกของเขาเอง

เสน่ห์ออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งพร้อมกับเพื่อนสาวของเขา เขาเป็นชายขนาดสันทัด ร่างโปร่ง ผิวขาว ท่าทางคล่องแคล่วประเปรียว เขามีกิริยาอย่างหนึ่งในตัวเขาเอง ซึ่งทำให้ดูเขาเป็นผู้มีความอ่อนน้อม และดูพร้อมที่จะรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพศอ่อนแอกว่า–ทุกขณะ

เวลานั้นเป็นเวลาสายจัดมากแล้ว เกือบจะใกล้เที่ยง ความร้อนและความเบื่อทำให้บันลือเกิดพื้นเสียขึ้นในใจ แต่เพื่อจะรักษามรรยาทของสุภาพบุรุษ เขารีบลงจากรถ และเปิดประตูให้เจ้าหล่อนด้วยสีหน้าปกติดี

เจ้าหล่อนขึ้นนั่งทางเบื้องขวา เสน่ห์ทิ้งห่อของใหญ่ ๆ ลงบนที่นั่งข้างตัวบันลือเป็นกองโต และนั่งลงข้างเจ้าหล่อนของเขา ชะโงกหน้ามาพูดกับเพื่อนว่า

“ต้องไปทางแถวบนอีกหน่อย รายังหาแพรทำเสื้อชั้นในไม่ได้ แถวนี้ไม่มีขายเลย” แล้วเขาบอกชื่อถนน ซึ่งห่างจากถนนที่เขาอยู่ในขณะนั้นไปอีก ๓ ถนนครึ่ง

บันลือคำนวณเวลาตั้งแต่ตนออกจากบ้านจนถึงเวลานี้ ปรากฏว่ายังไม่ครบ ๒ ชั่วโมงตามที่เพื่อนสัญญาไว้ ก็ออกรถโดยไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น

ระหว่างที่รถแล่นจาก ‘แถวล่าง’ ไปทาง ‘แถวบน’ บันลือสะกดใจนิ่งฟังเพื่อน กับหญิงของเพื่อนโต้ตอบกัน หญิงสาวบ่นว่าสิ่งของสมัยนี้คุณภาพต่ำ และหาไม่ค่อยได้ตามต้องการ ไม่เหมือนสิ่งของในสมัยก่อน แม้ราคาจะค่อนข้างสูงแต่คุณภาพดี และมีให้เลือกตามใจนึก บันลือคิดอยู่ในใจว่า แต่อย่างเลือกไม่ได้ตามความต้อง ของที่ซื้อมายังเป็นกองสูงเกือบเท่าขนาดตัวคนนั่ง ถ้าเลือกได้ตามใจนึกเห็นที่จะต้องพังหลังคารถเป็นแน่แท้ และเมื่อได้ยินเพื่อนของเขากล่าวตอบเจ้าหล่อนด้วยเสียงอ่อนโยนราวกับจะเล้าโลมให้เจ้าหล่อนคลายทุกข์ อันเนื่องด้วยความเป็นความตายของบิดามารดา เขาก็ตัดสินใจว่า เพื่อนของเขาเป็นคนบ้าชนิดหนึ่งในจำนวน ๕๐๐ ชนิด

แล้วเขานึกสงสัยต่อไปว่า หญิงนี้เป็นผู้สูงอย่างไรในทางใดหนอ จึงสูงในความต้องการถึงกับเลือกหาของใช้อันคู่ควรแก่ตนมิได้ คะเนดูตามลักษณะการแต่งกายของหล่อน แน่ละเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะชม หรือติ ว่าหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันงามหรือไม่งาม เพราะหล่อนแต่งเครื่องแบบสังกัดแห่งกรมกองที่หล่อนรับราชการอยู่ แต่วิธีการของผู้ที่แต่งตัวเพื่อความงามปนกับความเรียบร้อย กับวิธีการของผู้ที่แต่งตัวเพื่อจะให้งามตามใจตัวนั้นย่อมต่างกันเห็นได้ชัด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่รู้ว่าความงามกับความเรียบร้อยเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ย่อมจะรักษาความงามไว้ให้ปรากฏ แม้ในเครื่องแต่งกายอันเป็นแบบที่หาความงามมิได้เลย แต่เพื่อนหญิงของเสน่ห์นี้มิได้ทำให้บันลือเห็นความสามารถในอันที่จะทำให้งามขึ้นได้ในเครื่องแบบที่หล่อนแต่งอยู่

เมื่อมาถึง ‘แถวบน’ ตามที่เสน่ห์เรียก เพื่อนหญิงของเสน่ห์บอกที่ ๆ หล่อนต้องการจะลงให้เสน่ห์รู้ แล้วเสน่ห์จึงบอกเพื่อนผู้ทำหน้าที่ขับรถให้เขาอีกต่อหนึ่ง บันลือหยุดรถตามความประสงค์ของเพื่อน และเมื่อเพื่อนเดินตามหญิงสาวเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่งแล้ว เขาก็เลื่อนรถไปจอดในที่ ๆ ควร

มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสายตาเป็นการแก้คำราญ ถนนแถบนี้กว้างกว่า ยาวกว่า โล่งกว่าถนนที่เขาละมาเมื่อ ๗–๘ นาทีก่อน ทั้งอยู่ในที่ค่อนข้างใกล้แม่น้ำ จึงมีลมพัดผ่านไปมาเรื่อย ๆ พอบรรเทาความร้อนอันเกิดจากไอแดดและไอถนน ความพื้นเสียของบันลือค่อยคลายไป เขาเริ่มสนใจในสิ่งของตามหน้าร้านซึ่งเขามองเห็นได้ และเริ่มมองดูผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาในสายตาของเขาด้วยความสังเกตอีกพักหนึ่ง

เขารู้สึกว่าตามห้างและร้านในแถบนี้มีผู้คนหนาแน่นเท่ากับตามห้างร้านในถนนที่เขาเพิ่งละมา แต่ผู้ที่เดินอยู่ทางแถวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เดินที่เป็นหญิง ดูเหมือนจะแตกต่างกับผู้ที่เดินอยู่แถวโน้นโดยวัย โดยสมัย โดยฐานะ โดยความโก้เก๋ ซึ่งจะเห็นได้จากท่าทางและเครื่องแต่งกายกล่าวโดยรวบรัดก็คือ หญิงที่เดินอยู่ในแถบโน้นเป็นหญิงที่แต่งกายถูกต้องตามสมัย หรือนำสมัยประมาณร้อยละ ๙๐ ส่วนหญิงที่เดินอยู่ตามแถบนี้ มีทั้งพวกที่ตามสมัย นำสมัย ไม่แยแสกับสมัย ปะปนกันอยู่เป็นจำนวนไล่เลี่ยกัน และมีหญิงที่คิดว่าตนกำลังนำสมัยอย่างเก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่แท้จริงกำลังตามผิดอย่างน่าใจหายเป็นจำนวนมากขึ้นหน้ากว่าหญิงจำพวกอื่นที่กล่าวแล้วทั้งหมด

หญิงจำพวกสุดท้ายนี้หมู่หนึ่ง กำลังเดินไปทางเบื้องหน้าบันลือ สวนทางกับเจ้าหล่อนของเสน่ห์ผู้ซึ่งกำลังจะเดินมาขึ้นรถ ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่างเข้ามาใกล้กัน จนเรียกว่าปะปนกันนั้น บันลือมีความรู้สึกว่าเจ้าหล่อนของเสน่ห์ได้ถูกกลืนเข้าในหมู่หญิงที่เดินสวนมาอย่างสนิทสนมที่สุด

เสน่ห์พูดกับบันลืออย่างชื่นชมว่า “เสร็จธุระแล้ว ราซื้อของได้ตามความต้องการทุกอย่าง พอดีกับเวลาใช่ไหม ?”

“ยังเหลืออีก ๕ นาที” บันลือตอบ “ต่อจากนี้จะให้ไปส่งที่ไหน ?”

“ตรงไปนี่แหละ ไปหาอะไรกิน แล้วราแกจะกลับไปทำงาน”

เมื่อรถออกแล่นแล้ว เสน่ห์เสนอให้เพื่อนหญิงของเขาเลือกที่รับประทานอาหาร เจ้าหล่อนเกี่ยงให้ฝ่ายเขาเป็นผู้เลือก ครั้นเขาออกชื่อร้านอาหาร ๒–๓ ร้านที่ใกล้จะถึงอยู่แล้ว เจ้าหล่อนก็อิดออด อ้างว่าเป็นสถานที่ ๆ รก และร้อน และหนวกหู เสน่ห์สั่งเพื่อนของเขาให้แล่นรถต่อไปจนถึง ‘แถวล่าง’ อีก จนกระทั่งถึงร้านอาหารที่กำลังอยู่ในสมัยนิยม เจ้าหล่อนก็ชี้ว่าร้านนี้ดี เพราะเหตุว่าใกล้ที่ทำงาน แต่เมื่อหล่อนออกปากเป็นคำแน่เช่นนั้น รถได้แล่นผ่านหน้าร้านไปแล้วเกือบ ๑ เส้น และในเวลานั้นยวดยานต่าง ๆ กำลังขวักไขว่สับสนยากแก่การที่จะจอดรถ หรือถอยหลังมายังที่ ๆ ต้องการจะลง บันลือก็ต้องพารถเลยไปทางแยก แล้วจึงวกกลับมาหยุดในที่ห่างจากจุดหมายไม่มากนัก

“วะ ! มันแน่นกันจริงวันนี้” เสน่ห์บ่น แล้วนี่ลื้อจะเอารถไปจอดที่ไหน ?”

“ช่างเถอะ ลื้อลงไปก่อนก็แล้วกัน” บันลือตอบ แล้วถามสืบต่อไป “อ้อ นี่อั๊วพ้นหน้าที่รับใช้แล้วหรือยัง ?”

เสน่ห์มีสีหน้าพิศวงอย่างจริงใจ “อ้าว จะไปกินอะไรด้วยกันยังไงล่ะ” เขาว่า แล้วเห็นเจ้าหล่อนของเขาทำท่าจะออกเดินข้ามถนน “เดี๋ยวรา ระวังรถ” พลางยืดข้อมือหล่อนไว้

บันลือพูดว่า “กันมีธุระจะต้องไปที่อื่น จะให้กันมารับกี่โมง ?”

“ก่อนบ่ายโมงนิดหน่อยสัก ๕ หรือ ๑๐ นาที”

ตอบแล้วเสน่ห์ก็ปิดประตูรถโดยแรง แล้วประคองแขนเจ้าหล่อนของเขาออกเดินไปด้วยกัน

เมื่อสหายไปพ้นแล้ว บันลือก็ออกรถและขับไปทางหนึ่ง ในระหว่างนี้เขาหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงภาพที่มีตัวเขากับเจ้าหล่อนของเสน่ห์นั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน เขาเชื่อว่าตัวของเขาจะเป็นเหตุให้เจ้าหล่อนกลืนอาหารไม่ลงคอ แล้วฝ่ายเจ้าหล่อนก็จะเป็นเหตุให้เขารับประทานอาหารไม่ได้ เมื่อมีหล่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ หรือตรงหน้า

เหตุที่ทำให้บันลือมีความเชื่อเช่นนั้น ก็เพราะว่าตัวเขากับเจ้าหล่อนของเสน่ห์ได้ร่วมทางกันไปมาอยู่เพียง ๒ ชั่วโมง โดยมิได้แลกเปลี่ยนคำทักทายปราศรัยแก่กันเลย แม้แต่สักหนึ่งคำ ทั้งนี้เขามิได้ตัดสินชี้ขาดลงไปว่าเป็นความผิดของหล่อน แต่ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เขามีความรู้สึกดูถูกเจ้าหล่อนอยู่ในใจ และบันลือมีปกติเป็นผู้ที่คอยจะเกลียดบุคคลที่ทำให้เขาดูถูกได้อยู่เสมอ

เมื่อนั่งอยู่ในโรงแรมอันระโหฐานแห่งหนึ่ง มีเครื่องดื่มวางใกล้มือ หนังสือพิมพ์กางอยู่ใต้สายตา ใจของเขาหวนกลับไปนึกถึงสหายอีก ดูเหมือนจะนานประมาณสัก ๓–๔ ปีได้แล้ว ที่เพื่อนฝูงของเสน่ห์ได้เลิกถามถึงเทือกเถาเหล่ากอแห่งบรรดาเจ้าหล่อนที่เสน่ห์พามาควงคู่ เพราะเหตุว่าถามแล้วก็หาได้เรื่องได้ราวเป็นแก่นสารอย่างใดไม่ อย่างไรก็ตาม เพื่อนเหล่านี้มีความหวั่นใจว่า ในที่สุดเข้าชีวิตของเสน่ห์ก็น่ากลัวจะต้องลงเอยด้วยการจดทะเบียนสมรสร่วมกับหญิงที่ญาติของเสน่ห์และเพื่อนของเสน่ห์จะต้องรับเข้าในสมาคมของเขาด้วยความฝืนใจ

นึกถึงความข้อหลังนี้แล้ว บันลือย้อนกลับไปนึกถึง ‘รา’ ของเสน่ห์ในปัจจุบัน เมื่อก่อนจะออกจากที่ทำงานเจ้าหล่อนได้ร่ำลาเพื่อนของเจ้าหล่อนด้วยจริตต่าง ๆ มีทั้งจริตงอน จริตอาย จริตปราโมทย์ จริตอาลัย บันลือเห็นจริตเหล่านั้นได้จากช่องหน้าต่าง ซึ่งสูงจากที่ ๆ รถของเขาจอดอยู่มากแต่ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อเจ้าหล่อนลงบันไดใหญ่และเดินลงมาที่รถ จริตของเจ้าหล่อนก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น แต่ในระหว่างที่เสน่ห์แนะนำให้เจ้าหล่อนรู้จักกับบันลือแล้วและเชิญให้ขึ้นนั่งบนรถ กิริยาของเจ้าหล่อนได้เปลี่ยนไป หล่อนนิ่งเงียบไปหลายนาที จนกระทั่งเสน่ห์ชวนพูดขึ้น ๒–๓ ประโยค หล่อนจึงทำจริตงอนใส่เขา แล้วก็ทำจริตโกรธ จริตอาย ประกอบคำพูดของหล่อนที่มีข้อความ กล่าวถึงชายหนุ่มเพื่อนร่วมงานของหล่อนคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้ล้อเลียนหล่อนด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ท้าวความถึง ‘รูปหล่อ’ ‘แสงจันทร์’ ‘วิมานรัก’ ‘พระเอก’ ‘ความฝัน’ บันลือขมวดคิ้วประหลาดใจนักที่เพื่อนของเขาหาความสุขจากการควงคู่ และสนทนากับเจ้าหล่อนผู้นี้ได้ ….และความคิดของบันลือแล่นเข้าหาตัว เขาคิดถึงตัวของเขา และ และหญิงที่เขาเคยมี คิดอย่างลึก และขุ่นมัวจนลืมตัว ลืมเวลา ลืมสถานที่ ความพลุ่งพล่านเกิดขึ้นในใจ ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งโดยแรง

แต่ในชั่วอึดใจเดียวกันนั้นเอง บันลือกลับได้สติ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นพับ แล้วหยิบถ้วยเหล้าขึ้นถือไว้ และเดินไปยังห้องที่รับประทานอาหาร

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ