๒๓

ภิกษุทั้งหลาย สตรี แม้เดินก็จับจิตบุรุษ แม้ยืน แม้นั่ง แม้นอน แม้หลับ แม้หัวเราะ แม้พูด แม้ขับร้อง แม้ร้องไห้ แม้แสดงอาการขึ้งโกรธ แม้ตายแล้วก็จับจิตบุรุษ

 

บันลือมีอาการจังจังด้วยความตกใจราวกับได้เห็นบุคคลที่ตายแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า! เขารู้ว่าหล่อนยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เช่นเดียวกับตัวเอง เขาเห็นหล่อนบ่อย ๆ ในที่ทั่วไป และบางคราวเขาเห็นหล่อน ๆ ด้วยและพบหล่อนด้วย แต่เขาไม่เคยคาดเพราะคาดไม่ถึงว่าจะพบหล่อนในที่นี้

ในทันทีที่ตาแลเห็น หล่อนยืนอยู่ตรงทางขึ้นลงประจำรถ เขารู้สึกใจวาบ แต่สมองของเขาไม่ยอมรับรู้พร้อมกับใจ ครั้นเมื่อหล่อนก้าวลงมายืนคู่อยู่กับเจริญแล้ว อะไรอย่างหนึ่งในท่าของหล่อนแสดงว่าหล่อนไม่เพียงแต่จะมายืนให้เขาเห็นเท่านั้น ยังมีอย่างอื่นอีก ซึ่งปรากฏว่าตาและใจของบันลือเป็นฝ่ายถูก บันลือถึงกับตะลึง

เจริญกับหญิงผู้นั้นเดินเข้ามาหาบันลือ สีหน้าเจริญมีลักษณะอันจะอธิบายได้ยาก มีทั้งความขัน ความงง ความแปลกใจ และความสนุก เขาเอ่ยขึ้นว่า

“นี่บันลือ คุณ—คุณ” หันไปทางเจ้าหล่อน “โปรดบอกชื่อของคุณเอง เพราะผม–”

เจ้าหล่อนหัวเราะเสียงดัง ก้าวหน้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วว่า

“บันลือ ช่วยแนะนำให้เราสองคนรู้จักกันทีเถิด เวลาอยู่ด้วยกันแต่สองคน ไม่ต้องรู้ชื่อกันก็คุยกันได้ แต่พอมีคนที่สามเข้ามาชักจะเดือดร้อน”

“ถ้าเป็นเวลาอื่น” บันลือคิด “จะตอบให้สะใจ” แต่เวลานี้เป็นเวลาที่เข้าด้ายเข้าเข็ม เขาพูดเรียบ ๆ ว่า “รถจะออกเดี๋ยวนี้แล้ว”

หล่อนแบมือทั้งสองข้าง พร้อมกับขยับกายส่วนล่างทั้งท่อน ทำให้ผ้าถุงแบบสะเกิ๊ทของหล่อนกระพือน้อย ๆ และพูดว่า

“ของลงหมดแล้ว ลูกน้องเธอไวเหมือนลิง พึ่บเดียวขนเกลี้ยงเลย เสียแต่เขาวางกระเป๋าของฉันคว่ำ ฉันกลัวเครื่องแป้งของฉันจะแตกจัง—” หล่อนชะงักเพราะเจริญได้พูดขึ้นโดยเร็ว

“คืออย่างนี้ บันลือ คุณผู้หญิงคนนี้ เธอบอกว่าเธอกับแกเคยรักใคร่ชอบพอกันมาก เธอซื้อตั๋วรถไฟจะไปเยี่ยมสามีทางตะวันออก แต่พอรู้ว่ากันจะมาพักกับแก เธอก็เลยไม่เปลี่ยนรถที่ชุมทาง ซื้อตั๋วใหม่จะมาพักอยู่กับแกด้วย”

เป็นครั้งแรกในชีวิตของบันลือ ที่สมองของเขาสำแดงความทื่อ จนเขาไม่รู้จะออกวาจาหรือแสดงกิริยาอย่างใด รถจักรเคลื่อนที่ไปแล้ว และรถพ่วงก็เคลื่อนตามจนทวีความเร็วขึ้นทุกที เขาหัวเราะออกมาเพราะไม่รู้จะแสดงกิริยาอย่างใด นอกไปจากนี้ เจริญซึ่งไม่รู้ความนัย สำคัญว่าบันลือหัวเราะเพราะความขันเช่นเดียวกับที่ตนกำลังรู้สึกอยู่ ก็หัวเราะขึ้นด้วยและพูดสืบไป

“กันออกตัวแทนแกแล้วว่าที่พักของแกมันอาจจะยังไม่มีอะไรต่ออะไรอย่างบ้าน เธอก็บอกว่าไอ้นั่นไม่สำคัญ ขออย่างเดียวอย่าปล่อยให้เสือกินเธอเท่านั้น”

บันลือยกไหล่ มองเห็นว่าจะหนีจากความบังคับของเหตุการณ์หาได้ไม่ ก็ตัดสินใจว่าจะสู้อย่างใจเย็น

“คนอย่างคุณส่องสี เสือไม่กิน” เขาพูดแกมหัวเราะ “ว่าแต่เธอจะกินเสือ—” เขามองไปข้าง ๆ เห็นนายคิดกับนายถียืนอยู่ในที่ใกล้จึงถาม “ของใส่รถเรียบร้อยแล้วรึ ?” หันกลับไปทางผู้เดินทางทั้งสอง “เชิญไปขึ้นรถ”

เมื่อออกมาพ้นสถานีทางหลัง ความมืดปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ บันลือฉายไฟส่องทางให้แขกของเขาอย่างระมัดระวังจนกระทั่งมาถึงที่รถจอด

“ถึงป่าแล้วหรือนี่ ?” ส่องสีถาม พร้อมกับที่ก้าวขึ้นบันไดรถ “มืดดีจริง สนุกพิลึก บันลือมานั่งใกล้กันนะ อยากจะเที่ยวป่า แต่ฉันกลัว”

“ป่านี้สัตว์ไม่ดุเท่าคน” บันลือตอบ พร้อมกับหลีกทางให้เจริญ เขาอยากจะชวนเพื่อนของเขาให้ไปนั่งที่หน้ารถด้วยกัน เพื่อจะซักถามปัญหาหลายข้อที่เขาอยากรู้ แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็รู้สึกว่าขาดความเป็นสุภาพบุรุษมากไปสักหน่อย

เมื่อนายนพสตาร์ทเครื่องและใส่เกียร์หนึ่งแล้ว เสียงร้องของส่องสีทำให้เขาต้องถอนเท้าจากที่เร่งน้ำมันโดยเร็ว

“อ้าว บันลือล่ะ บันลือไปไหน ?”

“อยู่นี่แล้ว” เจริญบอก “อยู่ทางข้างหน้านี่”

“แหม บอกแล้วบอกให้มานั่งใกล้ ๆ กัน มืดน่ากลัวจะตาย”

บันลือสั่งคนของเขาเบา ๆ “ไปสิ นพ รออะไร” แล้วหันมาทางเบื้องหลัง “ออกมานั่งกับผมข้างหน้าไหมล่ะ ?” เขาถาม

“ไม่เอา ฉันกลัวตกรถ บอกให้มานั่งเป็นเพื่อนกันไม่มา”

เขานิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร ในใจเต็มไปด้วยความโกรธอย่างเดือดดาล “เจริญนี่มันบ้า หรือมันโง่ หรือมันแกล้ง พาตัวเปล๊กมาใส่กันได้ หรือมันไม่รู้จริง ๆ ? โง่ระยำ!”

เขาไม่เข้าใจความมุ่งหมายของส่องสี เดินทางจะไปหาผัวทางเมืองหนึ่ง แล้วกลับเชือนมาเสียอีกทางหนึ่งเพื่อจะพบคนที่เคยเป็นผัว นิสัยเช่นไร สันดานใด สัญชาตญาณอย่างไหนชักนำให้ทำดังนี้ หรือความใคร่ในเพศคู่ที่ตนเคยส้องเสพชักจูงให้ทำ ?

เขาไม่ต้องการจะเชื่อความคิดข้อหลังของเขา เพราะเป็นสิ่งโสมมเหลือที่จะเชื่อได้ แต่เขาไม่เสียใจที่ได้คิดถึงหล่อนในแง่อันหยาบช้าถึงป่านนี้

เขานึกขอบใจเสียงลม เสียงเครื่องยนต์และเสียงความกระเทือนของรถที่ดังแข่งกันเป็นเสียงโครมครามซู่ซ่าเป็นเหตุขัดของแก่การสนทนาอันเป็นเรื่องติดต่อกัน ดังนั้นเขาก็มีโอกาสที่จะใช้ความคิดของเขาได้โดยอิสระเมื่อครู่แห่งความเดือดดาลได้ผ่านพ้นไปแล้ว บันลือมองเห็นการกระทำของส่องสีว่าคล้ายการกระทำของลิง ซึ่งเป็นสัตว์มีสันดานซุกซนและว่องไวยิ่งกว่าสัตว์ใดในโลก ในการที่จะทำตามความอยากของตัว ไม่ต้องสงสัยส่องสีได้ฟังเจริญเล่าว่าเขาจะมาพักอยู่กับบันลือ ก็เกิดความอยากที่จะมาบ้าง เป็นความอยากของผู้ที่ไม่เคยใคร่ครวญถึงการกระทำของตัว และผลที่จะเกิดจากการกระทำ ทั้งเป็นความอยากของผู้ที่ไม่เคยรู้แม้แต่สักครั้งว่าอยากด้วยเหตุใด เคยแต่ทำตามที่อยากส่วนเดียว สีหน้าบันลือเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงเพียงนี้ มนุษย์อะไร หาความรู้ผิดรู้ชอบไม่ได้เสียเลย “นี่มันคนหรือมันลิงตัวเมียกันแน่!”

แต่ว่าคนหรือลิงก็ตาม ส่องสีกำลังก่อความยุ่งยากให้แก่สมองของบันลือ การมาของหล่อนครั้งนี้จะเป็นมลทินแก่ตัวหล่อน แก่สามีของหล่อนและแก่บันลือเอง นั่นก็ยังไม่เป็นข้อสำคัญเท่าไรนัก ถ้าชื่อเสียงของส่องสีมัวหมองและสามีของหล่อนได้รับความดูถูก เพราะการกระทำอย่างไม่มีความคิดของภรรยา ก็สมน้ำหน้าด้วยกันทั้งคู่ เฉพาะตัวบันลือเองเขาไม่เคยหวั่นไหวต่อคำนินทาในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากเขาแน่ใจว่าตัวเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนั้น แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มีบุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้จะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักด้วย ทั้งที่หล่อนไม่เคยได้มีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นอยู่ในโลกของส่องสีเลย ข้อนี้เองทำให้บันลือเดือดร้อน

เขาจะทำอย่างไร จึงจะกันบุคคลนั้นให้พ้นจากความกระทบกระเทือนได้—ความคิดข้อหนึ่งมาสู่สมอง อย่าให้หล่อนรู้ว่าส่องสีเป็นผู้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องแก่บันลืออย่างไร ถ้าส่องสีไม่เคยพูดถึงความหลัง บันลือเองก็ไม่พูด และเจริญเองก็ไม่พูดอีกคนหนึ่ง ความคิดของบันลือที่มีรูปจะเป็นความสำเร็จขึ้น แต่—การปิดบังความจริงโดยเจตนาเพราะความกลัวหรือเกรงผู้หนึ่งผู้ใดเป็นสิ่งที่บันลือไม่เคยถ่อมตัวพอที่จะทำ และ—ยิ่งกว่านี้บันลือตรองพบอุปสรรคข้อใหม่ ภรณีอาจจะเคยได้ยินชื่อส่องสีแล้วจากปากจิตรา บันลือคาดไม่ถูกเลยว่าจิตราได้เคยเล่าเรื่องของเขาไว้แก่ภรณีอย่างไรบ้าง และ—โอ! เขาหัวเราะอยู่ในใจเมื่อนึกถึงอุปสรรคข้อใหม่ไปกว่านั้น นมพวง ! นมพวงจะถึงกับเป็นลมเมื่อเห็นส่องสี ! อย่าว่าแต่จะฝันให้นมพวงระงับปากระงับคำไม่โวยวาย เพียงแต่นมพวงไม่ออกเดินด้วยเท้าทั้งสองของแกเองจากบ้านที่แกอยู่เดี๋ยวนี้ไปถึงกรุงเทพฯ เพื่อจะเล่าความให้คุณยายคุณพี่คุณน้องของบันลือฟัง ก็นับว่าเป็นเคราะห์ดีของบันลือนักหนาอยู่แล้ว

เสียงส่องสีตะโกนโหวกเหวกอยู่กับเจริญ ทำให้เขาเดือดดาลขึ้นอีก และนึกถึงหญิงที่คอยเขาอยู่เบื้องหน้าหนักมากขึ้น—เขารู้ว่าหล่อนคอยเขา เพราะเมื่อเขากลับจากกรุงเทพฯ คราวนี้ เขาพบหล่อนคอยเขาอยู่ เขารู้สึกตัวว่าเขาเบิกบานผิดกว่าทุกๆ คราว เมื่อเห็นหญิงสาวที่สวยและสะอาดยืนอยู่บนระเบียงเรือน แทนที่จะได้เห็นคนงานชาวพื้นเมือง นุ่งห่มอย่างขมุกขมอมยืนอ้าปากหาวคอยรับเขาดังเช่นคราวก่อน ๆ ที่แล้วมา

รถแล่นมาถึงทางโค้งและสูงเนิน นายนพมิได้เบาเครื่องแม้แต่น้อย เพราะเชื่อความชำนาญของตัวเองด้วยความแรงและเร็ว รถเอียงวาบดังจะคว่ำอยู่ขณะหนึ่ง เสียงส่องสีร้องหวีดทำให้บันลือยิ้มออกมาได้ด้วยความพอใจ นี่แหละ สันดานลิง! โฉดเขลา กลัวง่าย ตื่นง่าย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าอะไรเป็นสิ่งควรกลัว !

“บันลือ ! ต๊าย ตาย บันลือ ฉันนึกว่าฉันตายแล้วอีก ยังมีอีกเยอะไหม ไอ้วาบ ๆ วูบ ๆ พรรค์นี้ ?”

“ขวัญอ่อน !” เขาหันมาตอบแก่หล่อน “คนเราน่ะ เกิดมาทีหนึ่งแล้วมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก ออกมานั่งกับผมไหมล่ะ ไม่มีวาบไม่มีวูบ แน่วแน่ สบาย”

เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาพูดแก่หล่อนเช่นนี้ แต่รู้สึกว่าการพูดเช่นนี้แหละจึงจะสาสมแก่หล่อน

“ว่ากระไรนะ ?” หล่อนถามเพราะไม่ได้ยินคำของเขาถนัด

บันลือพูดซ้ำ แต่หล่อนก็ยังไม่ได้ยินอยู่นั่นเองเจริญจึงช่วยพูดแทนบันลือ

“ถามซิ ไม่ปล่อยให้ดิฉันตกรถแน่นะ” เจ้าหล่อนว่า “ดูมันโล่ง ๆ ไม่มีอะไรกันเสียเลยนี่”

“ไม่เชื่อว่าปลอดภัยก็อย่าออกมาเลย” บันลือตอบ และในขณะนั้นเองเขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อประมาณสักสองปีที่แล้วมา เขาเคยรู้ว่าส่องสีถูกความกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งทำให้ประสาทหูขวาของหล่อนเสียไป และมีเสียงโจษกันว่าเป็นการกระทบกระเทือน อันเกิดจากน้ำมือแห่งสามีของหล่อน บางทีหูของหล่อนคงจะพิการอยู่จนกระทั่งบัดนี้

ทันใดนั้น เขาเปลี่ยนท่านั่ง หันหลังให้ริมรถและหันข้างมาทางเจริญ ด้วยอาการยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เขาพูดดังพอสมควรให้เสียงของเขาตรงเข้าช่องหูของเจริญได้

“แกรู้จักส่องสีมาก่อนวันนี้หรือเปล่า?” เขาถาม

“เข้าใจว่าเคยเห็น แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ?”

“รู้หรือเปล่าเขาเป็นใคร ?”

“รู้เมื่อมาในรถไฟนี่แหละ” เจริญหัวเราะ “เขาบอกถี่ถ้วน ผัวเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน—”

“พูดดังอีกหน่อยก็ได้ มันไม่ไปถึงหูเขาหรอก ก้มตัวลงมาหน่อยซี บ้าจริง อยู่ใกล้กันแค่นี้พูดไม่ให้กันได้ยิน”

เจริญพูดซ้ำประโยคเดิมทั้งสองประโยค แล้วว่า

“ถึงบ้านถึงค่อยพูดกันไม่ได้หรือ อั๊ว—”

“ไม่ได้” บันลือตอบอย่างเด็ดขาด “เขาไม่รู้หรอกหรือว่ากันมีเมียอยู่ที่นี่”

“รู้ กันบอก เขาหัวเราะใหญ่ เขาว่าเขารู้แล้ว ที่จริงถ้าเขาไม่รู้ว่าแกมีเมีย ถึงยังไงคงไม่กล้ามา”

“แกเองน่ะแกรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้กับกัน—?”

“ไม่ใช่คนตาบอดหรอกน่ะ กันน่ะ พอพูดถึงแก ๒–๓ คำก็รู้ว่าคงเป็นอะไรกันมามั่ง”

“บ้าวายร้าย!” บันลือนึก “ออกไปนอกคอกไหน ๆ มิรู้”

“คุยอะไรกันคะ ไม่ให้ดิฉันได้ยินมั่งเลย คุณ—นี่ค่ะ คุณ—บันลือไม่แนะนำให้เรารู้จักกันจนแล้วจนรอด”

“ผมชื่อเจริญ” เจริญบอก “นั่งทางนี้ไหมครับ จะได้คุยกับบันลือ ?”

“ทางนั้นคุยได้ยินดีหรือคะ แหม ฉันชอบชื่อเจริญง่ายๆ ดี เอาซีคะ เปลี่ยนที่กันก็เอา—อุ๊ย แหม รถโยกนักนี่ คุณขับเบาหน่อย ฉันจะเปลี่ยนที่”

บันลือเคืองเจริญยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงความไม่รู้ของเขาแล้วก็อดขันมิได้ “ดีมาก เมียเป็นคนก่อ ผัวจะมาเป็นคนรื้อ” เขานึก

“อีกนานไหมจ๊ะ กว่าจะถึงบ้านเธอ ?” หล่อนถามทันทีที่ได้นั่งเรียบร้อยแล้ว “สนุกดีหรอก แต่มันมืดมากไปหน่อย ดูอะไร ๆ มันดำ ๆ แล้ววิ่งได้ทั้งนั้น ที่บ้านเธอใช้ไฟอะไร ?”

“ตะเกียงน้ำมันมะพร้าว” บันลือตอบ

“ต๊าย ตาย มิมืดแย่หรือ ท่าเห็นจะอยู่กันอย่างนกหมดแสงแดดก็นอนเลย เมียเขาไม่เบื่อหรืออย่างนี้?”

“เบื่อเขาก็เป็นเมียผมไม่ได้”

“อ้อ เขารู้จักพอใจกับความรักในกระท่อม รู้อยู่ รู้อด รู้ทน แต่ถ้าเผื่อเป็นคนที่เคยทนมาก่อนแล้ว เขาก็ไม่เดือดร้อนใช่ไหม เขาลือกันว่าสวยนักนี่ ใจดำเหลือเกินเธอน่ะ มีงานออกใหญ่โตไม่บอกกล่าวกันให้รู้มั่ง มิหนำซ้ำยังพาเมียมาซ่อนเสียในป่าในดง ใครอยากเห็นก็ไม่ได้เห็น ดูซี ฉันยังต้องพยายามมาดูจนถึงที่”

บันลือเสียดายนักที่มีคนอยู่ในรถนี้ นอกไปจากส่องสีกับตัวเขาเอง เป็นเหตุให้เขาไม่อาจโต้ตอบส่องสีได้ตามที่เขาปรารถนา

“อีกนานไหมกว่าจะถึง ?” ส่องสีตั้งคำถามใหม่และคราวนี้หล่อนนั่งคอยฟังคำตอบ

“ราวอีกครึ่งชั่วโมง”

แล้วบันลือควักนาฬิกาพกในกระเป๋ากางเกงออกดู เขาเองก็เริ่มนึกอยากให้ถึงที่โดยเร็ว เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็จะได้เป็นเสียให้รู้ไป แล้วเขาก็เริ่มคิดถึงความขัดข้องในเรื่องสถานที่ ภรณีกับเขาตกลงกันไว้ว่าจะจัดที่ให้เจริญนอนในห้องหนังสือ แต่เมื่อมีแขกเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง– “ยุ่ง ยุ่งอย่างบ้าที่สุด” เขานึกด้วยความระอาใจ

“บ้านเธอมีชื่อไหมจ๊ะ ?” ส่องสีถามขึ้นอีก

“มี คนแถบนั้นเขาเรียกว่าบ้านยางคู่”

“ตาย ไม่เพราะ นึกว่าจะชื่ออะไรหรู ๆ นกยางรูปร่างมันสวยเมื่อไหร่ เอาชื่อมันมาตั้งชื่อบ้าน ให้ฉันตั้งให้ใหม่เถอะ เอาอะไรที่เป็นแสง ๆ รัก ๆ อย่างบ้านแสงเสน่ห์เอาไหม ?”

“ขอบใจ แต่ว่าของแท้มีอยู่ที่ไหนแล้ว ที่นั่นไม่ต้องยกป้ายโฆษณาก็ได้ ไปถึงเสียก่อน แล้วจะได้เห็นทั้งแสงทั้งเสน่ห์” เขาไม่บอกหล่อนว่า ‘ยางคู่’ หมายถึงต้นยาง เขาพอใจที่จะให้หล่อนเขลาอยู่เช่นเดิม

“แสงตะเกียงน้ำมันมะพร้าวมันสว่างมากหรือจ๊ะ แล้วก็เสน่ห์นางในกระท่อม !” หล่อนหัวเราะ “น่าเอ็นดู พ่อหนุ่ม เธอเป็นหนุ่มยิ่งกว่าเมื่อเธออายุ ๒๒ อีก บันลือ”

เขานิ่งไปด้วยความโกรธ และขัดใจที่ไม่สามารถจะตอบแทนวาจาเยาะเย้ยของหล่อนได้ หล่อนเยาะเขาโดยเจตนา เมื่อหล่อนท้าวความถึงเขาในสมัยที่มีอายุ ๒๒ ปี เพราะในสมัยนั้นทุก ๆ สิ่งที่เป็นตัวเขาได้ตกอยู่ในเงื้อมมือหล่อน เมื่อเขากับหล่อนมีความรักต่อกัน เขาลืมทุก ๆ สิ่งในโลก นอกจากความรักระหว่างหล่อนกับเขา และเมื่อเขากับหล่อนต้องแยกจากกัน เขาก็ลืมทุก ๆ สิ่งในโลก นอกจากความแค้นและความขมขื่นที่หล่อนเป็นผู้ก่อและละไว้ให้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ