๒๔
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย—คนประมาณง่ายเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นคนหยิ่ง ยกตัวเอง หลุกหลิก ปากกล้า พูดพล่าม ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ใจไม่มั่นคง ว่อกแว่ก มีอินทรีย์อันเปิดเผย นี่เรียกว่าคนประมาณง่าย
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา บันลือยืนอยู่ข้างรถมองดูนายถีกับนายคิด รับและส่งกระเป๋า ชะลอมและปืนยาวของผู้เดินทางให้แก่กัน
คืนนี้เป็นคืนข้างแรมอ่อน ๆ ในเวลาใกล้จะดึก แสงจันทร์ก็เริ่มให้ความสว่างราง ๆ แก่พื้นพิภพ รถยนต์จอดอยู่ในที่ ๆ เคยจอด คือที่ห่างจากต้นยางคู่เล็กน้อย ทั้งนี้เนื่องจากบันลือไม่ชอบให้รถแล่นไปมาในที่ ๆ มิใช่ทางรถเดินทาง และเขายังมิได้ทำทางรถให้ถึงหน้าเรือนที่อยู่ของเขา ก็เพราะเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาสมควรที่จะเสียทรัพย์ส่วนหนึ่งในการทำถนน โรยกรวด หรือโรยอิฐ ส่วนถนนดินธรรมชาตินั้น ถ้าถูกรถบดซ้ำไปมาก็จะมีรอยหลุมรอยบ่อเป็นที่น่าเกลียด นอกจากนั้นฝุ่นในถนนเดินจะปลิวคลุ้ง เป็นเครื่องรบกวนผู้ที่อยู่บนเรือน
เมื่อนายคิดกับนายรวมทั้งนายนพ หิ้วสิ่งของต่าง ๆ ห่างไปแล้ว เจริญช่วยส่งให้ส่องสีลงจากรถ และบันลือก็ช่วยรับด้วยกิริยาอันสุภาพ ส่องสีส่งเสียง กี๊ก ก๊าก แสดงความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่รถหยุด จนกระทั่งลงจากรถแล้ว บันลือไม่ได้ฟังว่าหล่อนพูดว่าอะไรบ้าง ใจของเขาพะวงอยู่กับหญิงที่ยืนอยู่บนระเบียงเรือน ทันใดนั้นเขาหันไปพูดกับเพื่อนชาย
“ตรงไปหาแม่บ้านซี ยืนคอยรับอยู่นั่นแน่ะ”
เจริญเดินห่างไปสองก้าว ส่องสีก็ถามขึ้นว่า “แล้วฉันล่ะจ๊ะ เธอจะพาฉันไปไหน!”
อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ตอบ รออยู่จนเจริญไปไกลพอสมควรแล้วจึงว่า
“ผมยังไม่ทราบจะให้คำอธิบายกับแม่บ้านของผมว่ายังไง ในการที่ผมพาแขกมาให้เขาคนหนึ่ง โดยที่เขาไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แล้วในเวลากลางคืนอย่างนี้ด้วย”
“อุ๊ยตาย!” ส่องสีร้อง “ช่างกลัวกันถึงแค่นี้เทียวรึ ? ตายแล้ว บันลือ เธอแปลกไปจนฉันไม่รู้จัก อย่าวิตกเลยเธอ ฉันจะอธิบายแทน ฉันทำอะไร ฉันไม่เคยต้องให้คำอธิบายแก่ใครเลย แต่คราวนี้ ฉันจะอุตส่าห์สักหน่อย เพราะสงสารเธอ เดี๋ยวจะถูกเมียเฆี่ยน”
“คุณเคยกับความประพฤติอย่างสัตว์ป่ามากเกินไปแล้วส่องสี” บันลือตอบ “ผมยังไม่เคยพบกับความป่าเถื่อนอย่างนั้น ผมกับแม่บ้านของผมอยู่กันอย่างมนุษย์ที่เจริญแล้ว ผมอยากจะถามคุณแต่เพียงว่า เมื่อผมแนะนำคุณกับ—ภรรยาของผมน่ะ จะให้ผมบอกเขาด้วยไหมว่า ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นผัวคุณ?”
บันลือไม่มีโชคดีพอที่จะเห็นว่า คำพูดของเขาตั้งแต่ต้นจนปลายประโยคได้ทำให้สีหน้าของส่องสีแดงขึ้น แล้วก็เขียวลง แล้วก็แดงขึ้นอีก หลายครั้งส่องสีเป็นผู้ไม่เคยคำนึงว่าผู้ใดมีความคิดเห็นในเรื่องตัวหล่อนไปในแง่ใด เพราะเหตุอย่างไร แต่หล่อนมิใช่เป็นผู้ไม่รู้จักโกรธ เมื่อถูกประมาทต่อหน้า หรือเมื่อมีผู้เล่าคำครหานินทาที่มุ่งหมายมาถึงตัวหล่อนให้หล่อนฟัง อย่างไรก็ตามหล่อนสำนึกกันว่าการแสดงความโกรธออกไปบัดนี้ จะเป็นการสารภาพให้บันลือรู้ว่า เขาตีจุดอ่อนแอของหล่อนถูกอย่างถนัดที่สุด จึงตอบในเสียงหัวเราะอย่างท้าทาย
“บอกก็ได้ ถ้าไม่กลัวเขาหึง”
“กลัวน่ะไม่กลัว แต่ถ้าเขาไม่หึงเขาก็ไม่ใช่เมียผม ก็อย่างเดียวกับผัวใหม่ของคุณ ถ้าเขารู้ว่าคุณมาอยู่กับผมที่นี่เขาไม่หึง เขาก็ไม่ใช่ผัวคุณ เว้นเสียแต่ว่า เขารู้แล้วว่าเมียของเขาน่ะเหลือขอ ก็อาจจะแกล้งทำเป็นวัวเป็นควายก็ได้กระมัง”
เขาหยุดเมื่อรู้สึกว่าได้พูดพอแก่ความต้องการและสมกับความกระหายแล้ว โดยความรู้สึกนี้เองความสลดใจเกิดขึ้นแก่เขา เหตุใดหญิงนี้จึงพาตัวของหล่อนมาที่นี่ และก่อกวนความคิดของเขาให้เป็นไปในทางหยาบและทางร้ายจนเขาเกือบจะลืมความเป็นสุภาพบุรุษในตัวเขาเสียสิ้น เขารู้สึกสังเวชหล่อน และสังเวชตัวเองด้วย
“ถึงยังไง” เขาพูดขึ้นอีก “ผมถือว่าคุณเป็นแขกของผม และแม่บ้านของผมก็จะถืออย่างนี้เหมือนกัน จนใจว่าคุณมาเขาไม่รู้ตัว อาจจะหาความสะดวกสบายให้ไม่พอ”
“ก็ฉันบอกคุณนั่นมาแล้วนี่นา” ส่องสีตอบ เสียงยังมีกังวานสั่นเล็กน้อยด้วยฤทธิ์โทสะที่หล่อนพยายามระงับไว้ “อะไรก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าปล่อยให้เสือกินฉันเท่านั้น จะอนุญาตให้ฉันเหยียบหัวกระไดเรือนเธอได้หรือยังล่ะ ?”
“เชิญ” บันลือตอบ ทำท่ารอจะให้หล่อนออกเดิน
ในระหว่างทางยาวไม่เกินหนึ่งเส้น ความคิดของบันลือแล่นไปอีกไกล แต่มิใช่ความคิดที่แล่นโดยรู้ที่หยุดที่พักที่หมาย ตรงกันข้าม เป็นความคิดที่วกวน ยอกย้อน มีลักษณะเป็นปัญหาที่ทำจิตใจของบันลือหงุดหงิดยิ่งขึ้น แต่เมื่อเขามาใกล้จะถึงบันไดเรือน พร้อมกับที่แสงไฟอันแจ่มจ้าส่องถึงตัวเขาและถึงหญิงที่เดินมากับเขาได้ถนัด ความคิดที่เป็นอุบายแยบยลดีข้อหนึ่งได้เกิดขึ้น และทำความพอใจให้เขาทันที
ภรณีนั่งหันหลังให้บันได ไม่ได้เหลียวซ้ายแลขวา จนบันลือพาส่องสีเข้าไปใกล้จะถึงตัวหล่อน และเจริญได้ลุกขึ้นยืนในท่าเกียจคร้านเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่บันลือกำลังสงสัยว่า หล่อนจะแสดงกิริยาท่าทางอย่างใด เขายังไม่เคยเห็นท่าของหล่อนในเวลาที่ทำหน้าที่รับแขก ภรณีก็สงสัยว่าเขาจะแสดงท่าทางต่อหล่อนอย่างใด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ภรณีจะพบกับผู้ที่อยู่ในวงสมาคมเดียวกับบันลือ ในฐานะที่ภรณีเป็นภรรยาของเขา
หล่อนขยับตัวช้า ๆ ในท่าเตรียมต้อนรับคอยที่อยู่ บันลือพูดว่า
“อาภร นี่คุณส่องสี—นี่ภรรยาผม”
สายตาของหญิงทั้งสองประสานกันอยู่ขณะจิตหนึ่ง ในเชิงประมาณกำลังแห่งกันและกัน แล้วภรณีพูดพร้อมกับที่ลุกขึ้นพ้นเก้าอี้
“เชิญนั่งซีคะ”
หล่อนพูดสืบไปพร้อมกับนั่งบนเก้าอี้ตัวเก่าของหล่อนนั่นเอง เมื่อส่องสีได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่บันลือเลื่อนให้แล้ว
“หนทางน่ากลัวหน่อยนะคะ เมื่อหัวค่ำรู้สึกว่ามืดเหลือเกิน เดือนเพิ่งขึ้นเมื่อครู่นี้เอง”
“มืดเป็นบ้าเลย แล้วประเดี๋ยว ๆ ก็ดูเหมือนจะลงดิ่ง รู้สึกว่าคอจะหักตายสักร้อยหน”
“แต่ที่จริง ไม่มีทางที่ลงมาก ๆ ยังงั้นเลย ไอ้เงาต่าง ๆ มันลวงตา” เจริญพูดแกมหัวเราะ “เข้าใจว่าเป็นนาทั้งนั้นไม่ใช่หรือ” เขาถามบันลือ
“เกือบตลอดทางที่มาเป็นนา เว้นแต่ตอน ๑๐ กิโลไปจากบ้านเรานั่นแหละ เราผ่านเข้ามาในป่าละเมาะมั่ง ป่าไผ่มั่ง เวลากลางวันที่ตรงนั้นงามน่าดูมาก”
“เก้งมีไหม ?”
“ไม่ค่อยชุม สู้ป่าลึกเข้าไปทางนี้ไม่ได้ แต่กระต่ายละก็ที่ไหน ๆ ก็มี”
ภรณีลุกจากที่นั่ง ความรู้สึกต่อหน้าที่ ๆ หล่อนจะต้องรับผิดชอบ ทำให้หล่อนไม่เป็นสุข หล่อนพูดว่า
“ขอโทษนะคะ ดิฉันต้องไปดูอะไรทางโน้น คนใช้ที่นี่ยังไม่ค่อยจะคล่อง” หล่อนออกเดิน แต่แล้วก็หันมาทางส่องสี “คุณจะอาบน้ำเสียก่อนหรือรับประทานอาหารก่อน ? คุณพี่ ของอยู่ในห้อง—คุณผู้ชายแล้วค่ะ”
“ฉันน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อะไรเมื่อไหร่ ยังไงก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นแขก” เจริญตอบ
ส่องสีดูหน้าบันลือ และถามว่า
“ฉันจะต้องพูดซ้ำอีกไหมว่า อะไรไม่สำคัญทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าให้เสือกิน ?”
“ที่นี่มีเสือปลาย่องเข้ามากินไก่บ่อย ๆ” ภรณีพูดพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แล้วหล่อนก็เดินห่างไป
บันลือลุกขึ้นอีกคนหนึ่ง และกล่าวแก่แขกทั้งสอง
“ขอโทษนะ รับแขกกันเองก่อน”
เขาเดินมาทันภรณีโดยเร็ว และพูดทั้งที่หล่อนยังมิได้หันหน้ามาทางเขา
“จะให้ส่องสีนอนที่ไหน ?”
“ในห้องใหญ่” หล่อนตอบเรียบ ๆ
“ห้องไหน ?” เสียงของเขาค่อนข้างห้วน
“ห้องที่ดิฉันนอน”
“ให้นอนในห้องเด็ก ๆ” เขาสั่งอย่างเด็ดขาดสีหน้าบึ้ง ทำให้ภรณีประหลาดใจ นี่เขามาโกรธหล่อนเรื่องอะไรกัน
“เด็ก ๆ แกหลับกันหมดแล้ว” หล่อนตอบ
“หลับก็อุ้ม ฝากเด็กนอนในห้องใหญ่ ให้ส่องสีอยู่ในห้องเด็ก จัดอะไรให้ดีขึ้นได้ก็จัด จัดไม่ได้ก็แล้วไป เราไม่ได้เชิญให้เขามา”
“ถ้าถึงพรุ่งนี้ ก็พอจะจัดได้ แต่คืนนี้ ถ้าดิฉันนอนเสียในมุ้งเด็ก ๆ กับแม่พวง ให้—นางสาวคนนั้น–”
“เขาไม่ใช่นางสาว เขาเป็นนาง” บันลือขัดขึ้น น้ำเสียงห้วนเกือบเท่ากระชาก แล้วจึงค่อยเรียบลง “เขาจะเดินทางไปเยี่ยมผัว แล้วเกิดวิตถารมาแวะเสียที่นี่ นึกว่าเจริญเล่าให้ฟังแล้วอีก”
“ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันกี่คำ” ภรณีตอบ “มุ้ง ดิฉันกำลังจะพูดเรื่องคืนนี้ไม่มีมุ้ง—”
“ต้องมี มุ้งบ้ามุ้งบออะไรก็ต้องมี ไปถามที่นมเคยซื้อแจกคนงานไม่รู้ว่ากี่สิบหลัง บอกนมว่าให้หามุ้งมาหลังหนึ่งให้ได้”
เขาเดินเฉียดหล่อนลงส้นปัง ๆ เข้าไปในประตูห้อง และกระชากกลอนประตูทางด้านที่เปิดออกทางห้องหนังสือโดยแรง โดยอาการดังนี้เขาทิ้งรอยรองเท้าไว้ในห้องนอนของภรณี เป็นปื้นสีดินยาว ๆ ไปตลอดทาง หล่อนมองตามเขาด้วยความ ๆ งงงวย นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนเห็นบันลือแสดงความฉุนเฉียวขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างไม่เข้าเรื่อง แต่หล่อนนึกขันมากกว่านึกเคือง ที่จริงหล่อนพอใจเห็นเขาในอาการเช่นนี้เสียดีกว่าที่จะต้องทนความสุภาพ แต่เคร่งเครียดห่างเหินเป็นคนอื่นต่อหล่อน เหมือนดังที่เคยต้องทนอยู่เป็นธรรมดาทุก ๆ วัน
ส่วนบันลือ เมื่อมาถึงโต๊ะเขียนหนังสือแล้ว ความพอใจปรากฏบนสีหน้า หยิบกระดาษและปากกาเขียนชื่อจิตราและตำบลที่อยู่ของหล่อนแล้วเขียนข้อความต่อไป
“ต้องมาทันที มิฉะนั้นจะเกิดยุ่ง” เขาขยับจะเขียนชื่อของเขาลงในท้ายความ แล้วนึกขึ้นได้ว่าจิตราอยู่ในภาวะที่ไม่ควรได้รับความตื่นเต้นในทางร้าย เนื้อความสั้น ๆ ดังที่เขาเขียนนี้ จะทำให้หล่อนเสียขวัญได้โดยง่าย จึงเพิ่ม “เจริญถึงเรียบร้อย ทุกคนสบาย แต่สัตว์ประหลาดทำเหตุ”
เขาชั่งน้ำหนักแห่งข้อความเหล่านั้น จิตราจะตกใจบ้าง แต่หล่อนจะอุ่นใจพอในเรื่องความปลอดภัยของสามี และของคนอื่น ๆ แล้วความอยากรู้อย่างรุนแรงจะทำให้จิตราเร่งรีบจับรถไฟขบวนพรุ่งนี้มาแก้ความยุ่งให้บันลือได้ ตามที่เขาต้องการ
เขานึกสนุกจนต้องยิ้มกับตัวเอง วางกระดาษที่เขียนแล้วแอบไว้ก่อน และตั้งต้นเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่ง
เขาเขียนเร็วมาก เพราะรู้สึกเป็นห่วงแขกทั้งสองไม่น้อย แต่เขาจำเป็นต้องเขียนเดี๋ยวนั้น เพราะจะต้องมอบหมายกับนายนพให้เสร็จไปในคืนนี้ ก่อนที่นายนพจะนอนเสีย ผู้ที่จะรับจดหมายคือมุกดา เนื้อความในจดหมายเป็นเรื่องชวนให้มุกดามาเที่ยวพร้อมทั้งสามีและบุตร รวมทั้งน้องสาวและน้องเขยหรือใครอีกก็ตามที่มุกดาต้องการจะให้มาด้วย เขามิได้ให้เหตุผลที่ทำให้เขานึกอยากให้พี่น้องของเขามาเที่ยว บอกแต่เพียงว่าเขาคิดถึงและอยากให้มาเร็วที่สุด เท่าที่มุกดาและคนอื่นจะเตรียมตัวได้ทัน เพราะถ้าช้าไปกว่านี้เพียง ๒–๓ วันเท่านั้น ทางรถที่เขาใช้อยู่จะเป็นทางที่ใช้ไม่ได้ด้วยเหตุที่จะกลายเป็นทางเลนเมื่อฝนชุกขึ้น และผู้ที่ต้องการจะมาเยี่ยมบันลือ จะต้องรอไปจนถึงฤดูแล้ง ซึ่งหมายความว่ารอไปอีกถึง ๔–๕ เดือน
เขาไม่สงสัยเลยว่า จดหมายของเขาจะไม่ทำให้ความปรารถนาของเขากลายเป็นความสำเร็จขึ้นโดยเร็ว ถึงแม้จะไม่เป็นความสำเร็จขึ้นโดยสมบูรณ์ ก็ต้องเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมา ความปรารถนาของบันลือมีน้ำหนักเกือบ ๆ จะเท่าอำนาจกฎหมายสำหรับพี่น้องของเขา นอกจากนี้การที่บันลือทำตัวเป็นผู้พอใจอยู่ในชนบท มากกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เป็นเรื่องที่ทำให้วงศ์ญาติของเขาพิศวงนักหนา และที่อยู่ของเขา ความเป็นอยู่ของเขาในชนบท ก็เป็นเครื่องเร้าความอยากรู้อยากเห็นแห่งวงศ์ญาติเหล่านั้นยิ่งนัก
เมื่อบันลือถือร่างโทรเลข–และซองจดหมายที่มีตัวหนังสือแดงเขียนว่า ‘ด่วน’ กลับออกมาที่หน้าเรือน เขาเห็นเจริญและส่องสีรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน และภรณีนั่งอยู่ด้วย เขาถามเจ้าหล่อนผู้นี้ว่า “นมไปแล้วหรือยัง ?”
“ไปแล้ว แต่ประเดี๋ยวจะมา”
“ไปธุระเรื่องที่เราพูดกันน่ะรึ?”
“ค่ะ”
บันลือนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เจริญพูดว่า
“กันกำลังบอกกับภรว่า อาหารที่นี่ดีเกินไปสำหรับบ้านป่า”
“ที่ไหนมีปัญญา ที่นั่นก็มีสิ่งที่เราต้องการ”
บันลือตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“แล้วก็ ที่ไหนมีความรัก ที่นั่นก็เป็นบ้าน” เจริญเสริม พร้อมกับมองมาทางภรณี
“อกจะเป็นลมตาย !” ส่องสีร้องขึ้น “ไอ้พรรค์นี้ฉันนึกว่ามันมีแต่ในหนังสือ”
“อ้าว ก็หนังสือเกิดจากอะไร ก็เกิดจากคนไม่ใช่รึ ?” เจริญถาม
“ถูกละ” บันลือกล่าว “แต่คนที่กร้านต่อชีวิตเสียแล้ว ก็เชื่อสิ่งที่ดี ๆ ในหนังสือไม่ได้ เห็นว่าเกินความจริงไป ส่วนคนที่ยังอ่อนต่อชีวิต ก็เชื่อสิ่งร้าย ๆ ที่พบในหนังสือไม่ลงเหมือนกัน กลับหาว่าที่เขียนหนังสืออย่างนั้นเป็นคนใจต่ำ เห็นแต่ส่วนที่ต่ำของมนุษย์”
หญิงทั้งสองนึกออกรับคำพูดของบันลือคนละครึ่งประโยค ภรณีออกรับแล้วก็เก็บความคิดไว้แต่ในใจ ส่วนส่องสีถามว่า
“ตัวคนที่พูดเองล่ะเป็นคนชนิดไหน ? ชนิดแรกหรือชนิดหลัง ?”
“ไม่เป็นทั้งสองชนิด” บันลือตอบ “ผมยังไม่ใช่คนที่กร้านต่อชีวิตจนเหลือเกิน แต่ก็รู้จักโลกพอที่จะรู้ว่ามันอมเอาความเลวทรามร้ายกาจไว้มากต่อมาก”
“แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นคนชนิดไหน ?”
“เอ๊ะ ! ข้อนั้นคุณควรจะรู้ดีกว่าผมนี่”
“ถ้าฟังตามเสียงที่คุณพูดเมื่อตะกี้ละก็ คุณเป็นคนชนิดแรก” เจริญกล่าวพร้อมกับหัวเราะ เขารู้สึกว่าส่องสีเป็นคนแปลกคนหนึ่งในจำนวนคนแปลก ๆ หลายคนที่เขาเคยพบ และนึกสนุกอยากดูความแปลกของหล่อนให้มากขึ้นอีก
เจ้าหล่อนตอบคำของเขาโดยทันที “ส่วนคุณก็เป็นคนชนิดหลัง” แล้วพูดต่อไปโดยเร็ว “อยากรู้จักภรรยาของคุณจริง แต่งงานแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณน่ะ ? ถ้าจะแต่งใหม่ ๆ เสียด้วยซิ”
เจริญหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาบอกจำนวนปีและเดือนที่เขาแต่งงานแล้วแก่หล่อน และบอกจำนวนลูกที่เขามีอยู่แล้ว และกำลังจะมีอีกด้วย บันลือนึกขึ้นอยู่ในใจ โลกนี้จะว่าแคบก็แคบนักหนา แคบจนกระทั่งส่องสีกับเขาต้องมานั่งอยู่ห่างกันเพียงระยะไม่ถึงหนึ่งศอก แต่จะว่ากว้างก็กว้างเหลือเกิน ถึงกับส่องสีไม่รู้ว่าเจริญเป็นสามีของจิตรา