๑๒
บัณฑิตย่อมไม่แสดงอาการขึ้นลง (เพราะดีใจหรือเสียใจให้ปรากฏ)
เสียงเด็กชายเพิ่มพงศ์ แสดงความตื่นเต้นถึงขีดสูง เกือบจะทำให้ภรณีอกสั่นด้วยความตกใจ
“พี่ภร พี่ภร เร็วเข้า คุณพ่อเรียกบอกให้ลงไปข้างล่าง ผู้ชายเขามาดูตัวพี่ภร”
หญิงสาวยังงงงันอยู่ เด็กชายก็เร่งเร้าโดยลุกลนยิ่งขึ้น และทำท่าดังจะตรงเข้าฉุด
“เร็วเข้าซี พี่ภร ยังยืนเฉยอยู่อีก คุณพ่อบอกให้ไปเร็ว ๆ”
ภรณีมิรู้ที่จะคิดจะทำอย่างไรถูก “มาดูตัว!” เมื่อชายที่เป็นคู่หมั้นมาดูตัว หญิงที่เป็นคู่หมั้นเขาเคยปฏิบัติกันอย่างไร ? นำตัวซึ่งละจากเตารีด จากไม้กวาด สด ๆ ร้อน ๆ ไปให้เขาดูกระนั้นหรือ ? ตัวที่มีหน้าอันไม่ได้ถูกแป้งมาเกือบ ๑๒ ชั่วโมงเต็ม มีผมที่ไม่ถูกหวีตลอดครึ่งวัน ? แล้วคิดขึ้นได้จึงถาม
“ใครบอกว่าเขามาดูตัว”
“หนูก็รู้มั่งน่ะซี” เด็กชายตอบทำท่าภาคภูมิ
ภรณีถอนใจอย่างเบาใจ
“โธ่!” หล่อนอุทาน แล้วว่า “ช่างรู้จริงเทียวมาบอกเสียตกอกตกใจ”
“อื๋อ นายแม่ก็บอกย่ะ พอเขามานายแม่ไปบอกยายเจิมที่ครัว บอกเขามาดูตัวลูกสาวคุณพ่อแล้วพอหนูวิ่งขึ้นมาดู คุณพ่อก็ให้หนูมาเรียกพี่ภรไปเร็ว ๆ”
ภรณีกลับว้าวุ่นขึ้นอีก แล้วว่ากับน้องชายพร้อมกับจับแขนน้องไว้
“ไปด้วยกันนะ”
เพิ่มพงศ์มองดูพี่สาวอย่างสงสัย กิริยาอาการของหล่อนค่อนข้างจะแปลกตาเขา ครั้นแล้วก็รับโดยเต็มใจ “ไปสิ ไปหรือยังล่ะ ?”
ภรณีหนักใจเป็นอย่างยิ่ง หนักใจด้วยผงที่หล่อนกวาดมารวมไว้เป็นกองโตยังมิได้เก็บทิ้ง หล่อนจำเป็นจะต้องละกองผงไว้ เพราะจะรีบไปให้คู่หมั้นเขาดูตัวกระนั้นหรือ ? แต่เพิ่มพงศ์ไม่ละให้หล่อนคิดนานไปอีก หล่อนจับแขนเขาไว้ บัดนี้เขาจับมือหล่อนดึงให้ตามเขาไปไม่รั้งรอ
ลงบันไดได้ ๓ ขั้น ได้ยินเสียงบิดาร้องสั่งลูกหญิงเล็กให้เร่งพี่สาวใหญ่ พอเห็นน้องกำลังจะวิ่งขึ้นบันได ภรณีรีบแผ่วเสียงบอกไปทันที
“มาแล้วอย่าวิ่งเลย อะไรทำยังกะไฟไหม้บ้าน”
ใจหายเมื่อแลไปเห็นมารดาเลี้ยงยืนอยู่ไม่ห่างจากบันไดเท่าใดนัก รีบก้มหน้าลงบันไดไปอีก ๕ ขั้น ยึดแขนน้องชายไว้แน่น กลัวเขาจะทิ้งตัวไปเสีย ใจคิดอยากจะจับมือน้องหญิงจูงไปเป็นเพื่อนด้วยอีกคนหนึ่ง แต่พอมองเห็นประตูห้องที่บิดานั่งรับแขก ก็ได้ยินเสียงนางจำนงฯ พูดว่า
“นั่นจะลากมือถือแขนกันไปไหน สะเออะไม่เข้าเรื่องไอ้พงศ์ ! มานี่ หมูเขาจะหามเอาคานเข้าไปสอด”
เด็กชายทำเสียงดังฮึ่ด!–อยู่ในคอ ภรณีปล่อยมือของหล่อนออกจากแขนของเขา–อีก ๓–๔ ก้าวจะถึงประตู รู้สึกว่าขาเพลียยังจะก้าวต่อไปอีกไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม ขาที่เพลียนั้นได้พาตัวภรณีมาถึงประตูห้องจนได้ หล่อนหายใจสะดวกขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในห้องนั้นนั่งหันข้างให้ประตู ทั้งกำลังเอื้อมมือไปยังหีบบุหรี่ที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาด้วย ลดฝีเท้าเบาลงอีก เพื่อจะได้ไม่แว่วไปถึงหูเขา แต่ในทันใดนั้นเอง ท่านบิดาของหล่อนผู้ซึ่งนั่งหันหลังให้ประตูอยู่แท้ ๆ กลับเหลียวมาเห็นหล่อนเข้าแล้วก็ทักขึ้นด้วยเสียงอันดังแต่อ้อมแอ้มอย่างไรพิกล
“อ้าว มาแล้ว ! ทำไมถึงช้านักล่ะลูก คุณท่านมาคอยเป็นนาน—มัวแต่งตัวรึ ?”
ภรณีก้มหน้า หลบตาลงพื้นในทันใด เกิดความอายดังตัวจะละลายไปในบัดนั้น เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดยังอยู่ห่างจากตัวอีกหลายก้าว ภรณีอยากจะทรุดนั่งเสียบนพื้นกระดานตรงหน้า ‘เขา’ คู่หมั้นของหล่อนลุกขึ้นยืน ชักบุหรี่ที่เขากำลังจะจุดออกเสียจากริมฝีปาก พลางหันมาทางภรณีช้าๆ หล่อนไม่เห็นเขา ไม่เห็นตัวส่วนบนของเขา เห็นแต่รองเท้าสีเทาแกมขาว ขากางเกงสีเทากับมือที่ถือไม้ขีดไฟ
หลวงจำนงฯ เปล่งเสียงต้อนรับ “นั่งสิลูก มะ เออ บทบาทมากจริงกว่าจะลงมาได้ ทุกที ๆ ไม่เคยเห็นแต่งตัวช้ายังงี้เลย วันนี้ท่าจะตั้งใจมาก”
เออ! นี่เรื่องราวอะไรท่านบิดาจึงยืนยันว่าลูกสาวแต่งตัวช้า ในเมื่อหล่อนไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างรอยถ่านและรอยฝุ่นออกจากมือ ‘เขา’ ก้มตัวลงเล็กน้อย เลื่อนเก้าอี้ให้หล่อน ภรณีคิดขึ้นได้ว่าหล่อนควรต้องทำความเคารพแก่เขา กำลังคิดอยู่ว่าจะไหว้เขาในบัดนั้น หรือจะไหว้ต่อเมื่อได้นั่งลงแล้ว ท่านบิดาก็พูดขึ้นอีกว่า
“ไหว้คุณท่านเสียลูก เต็มที ลูกผมมันไม่รู้จักกิริยา เหมือนกับเด็กบ้านนอก อายุเพิ่งจะได้ ๒๓ ปีนี้ เมื่อเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่กับผม พวกข้างแม่เขาเอาไปไว้เสียในโรงเรียนประจำ แต่ดีอย่างพูดฝรั่งเก่ง จดหมายมาถึงเขาละก็เป็นฝรั่งทั้งนั้น ผมดูไม่รู้เรื่องของเขาหรอกต้องให้เขาบอกให้ฟัง นี่น้องสาวก็ยังอยู่โรงเรียนอีกคนหนึ่ง อยู่กับคุณท่านละก็อุตส่าห์ฝากเนื้อฝากตัวท่านนะลูกนะ พ่อแม่จะได้พึ่งพาอาศัย”
หล่อนได้นั่งลงแล้ว ได้ทำความเคารพเขาแล้วโดยมิได้เงยหน้าขึ้นดูเขาแม้แต่สักแว่บเดียว เหนือความรู้สึกอื่นที่ครอบใจหล่อนเมื่อขณะก่อน ในอึดใจนี้ความรู้สึกรำคาญด้วยคำพูดของบิดากำลังเด่นอยู่ แล้วหล่อนได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดว่า
“ขอโทษที่มาไม่เหมาะแก่เวลา แล้วโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า มิหนำซ้ำไม่ได้คิดจะหาคนนำมาด้วย” ดูเหมือนน้ำเสียงของเขาจะมีกังวานหัวเราะเมื่ออยู่เล็กน้อยเมื่อเขาพูดต่อไป “แต่ผมก็ได้รับโทษพอควรอยู่แล้ว ขับรถกลับไปกลับมาอยู่ในถนนนี้ถึง ๓ เที่ยวถึงได้เข้าประตูถูก”
“โอ๊ย ต้องขอโทษขอโพยอะไรกันครับคุณก็อยากมาเมื่อไหร่ก็มาก็แล้วกัน แต่บ้านแถวนี้มันเต็มที รั้วสังกะสีเหมือน ๆ กัน ผมเองไปไหนกลับมาดึก ๆ วันไหนเดือนมืดก็ชวนจะเข้า ๆ บ้านผิดร่ำไป”
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายเขา ความเงียบอย่างจริงจังได้เกิดขึ้น เพราะเหตุที่เขานั่งอยู่ข้างหล่อน และเยื้องไปข้างหน้า ถึงแม้หล่อนจะมิได้แลไปไกลกว่า สูงกว่าระดับโต๊ะ หล่อนก็รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปเพราะฤทธิ์แห่งสายตาที่มองตรวจดูหล่อนตลอดทั่วทั้งตัว
หลวงจำนงฯ หัวเราะเหอะ ๆ ขึ้นลอย ๆ แล้วก็นิ่งไป อีกครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
“คุณภรรยาเสีย ๆ หลายปีแล้วหรือครับ ?”
“ครับ ๕ ปี”
“แล้วคุณก็ไม่ได้มีเมียอีกตั้งแต่นั้นมา ? แหม เก่งจริง วิเศษมาก ช่างอยู่มาได้ เรื่องมันจะต้องมาเจอกับลูกภรของผม ๕ ปี ! นี่แหละเขาว่าเนื้อคู่กันแท้ ๆ ผมจะทายเอาไหมล่ะ นี่แหละลูกคนแรกยังไง ๆ ต้องเป็นผู้ชาย”
สายตาของชายหนุ่มซึ่งจับอยู่ที่หน้าผู้พูด ชายกลับมาอยู่ที่หญิงสาวตามเดิม พร้อมอาการยิ้มปรากฏในวงหน้าเขาด้วย แล้วเขาจุดบุหรี่ด้วยไม้ขีดไฟที่เขายังถืออยู่ในมือและถามขึ้นว่า
“เห็นจะมีเพื่อนฝรั่งหลายคน ?”
หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาถามหล่อน เพราะนึกไปไม่ถึงเหตุที่ทำให้เขาเกิดความคิดเช่นนั้น จนเขาอธิบายในเสียงหัวเราะ
“ผู้หญิงก็เรียกว่าฝรั่งได้ไม่ใช่รึ ? หรือต้องเรียกว่าแหม่มถึงจะถูก ?”
คราวนี้หล่อนเริ่มเข้าใจความคิดของเขา จึงตอบ “จดหมายภาษาฝรั่งที่คุณพ่อเล่า มาจากครูทั้งนั้นค่ะ”
ตอบแล้วภรณีหลบตาลงโดยเร็ว ด้วยไม่สามารถจะทนต่อการจ้องมองอย่างออกนอกหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งได้
“ลูกภรนี่แกก็เคยเป็นครูนะครับ” หลวงจำนงฯ เล่า “เป็นครูอยู่หลายเดือน สัก ๓–๔ เดือนได้ไหมลูก ทีหลังถึงได้ออกมาอยู่บ้าน น้องเขาที่เรียนอยู่เดี๋ยวนี้ จบแล้วก็ว่าจะรับจ้างเขาเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเก่าเหมือนกัน ยังอยู่อีก ๒ ปี ๒ ปีละได้การละ—ลูกภรรินน้ำชาให้คุณมั่งซิ รับแขกไม่เป็นเสียเลย ลูกเอ๊ย ไม่หัดเสียแต่เดี๋ยวนี้ละไม่เป็นการละคุณต้องสอนแย่”
“ผมยังไม่รับประทาน ขอบคุณ”
“อ้าว!” แล้วหลวงจำนงฯ หัวเราะแหะ ๆ ปรารภอยู่ในใจว่าทำอย่างไรจึงจะต้อนรับผู้ที่จะเป็นเขยในอนาคตให้สมกับที่เขาเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับได้ เกิดความต้องการคู่คิดและผู้ร่วมมือเป็นกำลัง จึงถามขึ้น
“นี่นายแม่เขาหายไปไหน ?”
“เมื่อตะกี้เห็นอยู่ทางหลังเรือนค่ะ”
“ไปตามมาไป๊ จะได้มารู้จักกับคุณบันลือ”
“ขอบพระคุณครับ ผมกำลังนึกอยู่เหมือนกันว่ายังไม่ได้พบ—ท่าน”
“อ้าว ไปตามมาไป๊ ลูกภร บอกให้มาเร็ว ๆ นะ อย่าให้คุณท่านต้องคอย บอกว่าคุณท่านถามถึง”
ภรณีลุกขึ้นจากที่โดยระมัดระวัง ยิ่งเห็นบันลือลุกขึ้นยืนให้แก่หล่อนด้วย ยิ่งเกิดความประหม่าจนรู้สึกว่าขาแกว่งจะก้าวเท้าก็ขัดเขิน เดินมาได้หน่อยหนึ่ง ให้นึกอยากออกวิ่งเป็นกำลัง จะได้พ้นไปเสียจากสายตาเขาโดยเร็ว
ภรณีไม่เห็นมารดาเลี้ยงในที่ ๆ หล่อนเห็นเมื่อครู่ก่อน แต่ไม่เป็นการยากสำหรับหล่อนที่จะตามให้พบ ไม่ต้องสงสัย นางจำนงฯ คงไปสนทนาอยู่กับนางเพิ่มแม่ครัว
หล่อนลงจากเรือน ตรงไปยังห้องที่ใช้เป็นที่ประกอบอาหาร ก็พบนางจำนงฯ จริงดังคาด นั่งลงตรงประตูด้วยกิริยาเรียบร้อยที่สุด หล่อนบอกว่า
“คุณพ่อให้มาเชิญนายไปที่โน่นค่ะ” อึกอักเล็กน้อย ก่อนที่จะออกนามเขา “คุณ—บันลืออยากรู้จัก”
นางเยื้อนร้อง ‘อี้!’ แล้วทำคอแข็ง แต่สีหน้าคลายความเคร่งเครียดลงในทันใด พูดเป็นเชิงบ่น
“ยังไงกัน มาอยากรู้จักฉัน คุณหลวงให้มาเรียกรึ ? เออ! เบื่อ ! จะนั่งให้สบายหน่อยก็ไม่ได้ ธุระอะไรถึงฉันด้วยก็ไม่รู้!”
พูดแล้วก็ลุกขึ้น ภรณีรีบหลีกทางให้ หล่อนเดินตามนางจำนงฯ ไปด้วย แต่เมื่อถึงเรือนแล้วหล่อนก็เลยขึ้นไปเสียยังชั้นบนทีเดียว เวลากี่นาทีก็ตามที่หล่อนต้องต่อต้านกับความอึดอัดอันเกิดแต่คำพูด กิริยา อาการ ของบิดานั้นพอดีอยู่แล้ว สำหรับความอดทนของหล่อน ถ้าจะต้องทนอีก เพราะคำพูดกิริยาอาการของแม่เลี้ยง บางทีจะเกินความสามารถของหล่อนไป
ภรณีตรงไปยังห้องที่ทำความสะอาดค้างไว้ เริ่มทำงานต่อโดยเร็ว ในสมองเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ได้ผ่านมา ภายในระยะแห่งชั่วโมงนี้ มีชายสองคนเป็นส่วนสำคัญแห่งเหตุเช่นเกี่ยวกับตัวหล่อนเอง คิดถึงชายที่เป็นบิดา ดูผิดไปจากท่านบิดาที่หล่อนพบเห็นอยู่ทุกคืนทุกวัน ! คิดถึงชายที่เป็นคู่หมั้น หล่อนจำหน้าเขาไม่ได้ แต่กระแสเสียงของเขาเท่าที่หล่อนได้ฟังเป็นที่ถูกหูหล่อน ฝ่ายเขาเล่าเห็นหล่อนเป็นอย่างไร ? เขาจะคิดว่าหล่อนเป็นหญิง ‘ทึ่ม’ หรือคิดว่าเป็นหญิงชนิด ‘นางอาย’ ที่จริงเขาก็ควรคิดเช่นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หล่อนไม่มีความรู้สึกอย่างอื่น นอกจากความพรั่นพรึงและความอดสู ภรณีถอนใจอย่างยืดยาว นี่มารดาเลี้ยงของหล่อนก็จะไปแสดงตัวให้ปรากฏแก่เขาอีกผู้หนึ่ง ! หญิงคนนั้นจะแสดงกิริยาวาจาอย่างใดต่อเขาบ้าง ! จะระรานเขาด้วยความชิงชัง หรือด้วยนิสัยชอบระราน หรือจะยกย่องเขาเป็น ‘คุณท่าน’ ยิ่งไปกว่าที่บิดาของหล่อนได้ยกไว้แล้ว ? ภรณีถอนใจอีกครั้งหนึ่ง—ความพอดีนี่ช่างเป็นสิ่งที่หล่อนไม่ได้พบไม่ได้เห็นเสียจริง ๆ หนอ !