๒๔
รถขบวนเพชรบุรี-กรุงเทพฯ ต้องเสียเวลาเป็นพิเศษระหว่างทางปลายระยะ จึงถึงปลายทางช้ากว่ากำหนด เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสงสัยว่าผู้โดยสารจะไม่พากันบ่นแล้ว
บ่นอีกด้วยความเสียดายเวลาที่ต้องอยู่ในรถไฟนานกว่าที่ควรถึง ๑๐ นาที แต่ในที่สุดขบวนรถอันยืดยาวด้วยสินค้า ก็หยุดสนิทอยู่ในสถานีหัวลำโพง ผู้โดยสารที่มีของแต่พอมือพากันแย่งทางลง ส่วนผู้ที่มีของมากต้องหาผู้ช่วยขนหรือคอยรถเข็น ก็พากันแย่งช่องหน้าต่างเพื่อส่งของลง ทั้งนี้ด้วยความที่มีใจร้อนเป็นพื้นอยู่ด้วย และยังรำคาญด้วยพนักงานทำความสะอาดในรถ ซึ่งถือเครื่องมือเข้ามามีท่าทางคล้ายกับจะ ‘เชิญ’ ผู้โดยสารให้ไปพ้นเสียโดยเร็ว เพื่อเขาจะไม่ต้องเสียเวลารอ มิหนำซ้ำพนักงานบางนายยังลงมือปัดฝุ่นก่อนที่รถจะว่างคน
คณะเที่ยวไทรโยคก็ใจร้อนไม่ผิดผู้โดยสารอื่นๆ และความอยากพูดก็มีอยู่ไม่น้อย ต่างคนรีบยกของส่งให้ผู้มารับบ้าง ยืนชี้ให้ฝ่ายเขาเป็นผู้ส่งให้คนอื่นอีกต่อหนึ่งบ้าง แล้วปากก็พูดจ้ออยู่กับผู้ที่มารับนั้นเอง โดยมิได้คำนึงว่าเขาจะมีเวลาฟังให้ตลอดหรือไม่
สุนทรีได้แจ้งกำหนดกลับอันแน่นอน ไว้แก่ผู้ที่อยู่ร่วมเคหะเดียวกับหล่อนทุกคน คือตั้งแต่ตัวประจิตรเองจนถึงคนใช้ ทั้งนี้เพื่อกันมิให้เขาพากันลืมส่งรถมารับหล่อน และเนื่องจากเวลารถควรถึงสถานีเป็นเวลาก่อนเที่ยง หล่อนไม่ได้คาดว่าจะได้พบประจิตรที่สถานีด้วย ครั้นเมื่อหล่อนเห็นเขาเดินตรงมายังหน้าต่างที่หล่อนยืนอยู่ หล่อนรู้สึกดีใจเป็นอันมาก ยื่นมือชะโงกหน้าออกไปหาเขา และพูดด้วยสีหน้าแสดงความปิติและประหลาดใจระคนกัน
“ทำไมถึงมารับได้ ไม่นึกเลยว่าเธอจะมา”
เขาจับมือหล่อนบีบแล้วก็ปล่อยในทันที หันไปสั่งคนใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังให้ขึ้นบนรถเพื่อขนของ
แล้วเขาหันกลับมาทางสุนทรี และพูดด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูค่อนข้างจะห้วนสักหน่อย เพราะเป็นน้ำเสียงที่ไม่เหมาะแก่เวลาและโอกาส
“รถช้าตั้ง ๑๐ นาที เมื่อแรกคิดว่าจะพาเธอไปส่งบ้านแล้วเลยกินข้าวกลางวัน แต่นี่ไม่ทันเสียแล้วต้องรีบไปหาอะไรกินที่ใกล้ๆ แล้วกลับไปที่กระทรวง”
สุนทรียิ้มอย่างอารมณ์ดีเพราะเห็นขัน ด้วยคิดว่าเขาพื้นเสียเพราะต้องคอยรถนานเกินกว่าที่เขาคาดนั่นเอง แล้วหล่อนพูดว่า
“ยังงั้นก็รีบไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง อีก ๓ ชั่วโมงพบกันใหม่”
หล่อนยิ้มให้เขาอีก เป็นยิ้มที่งามน่าดูเป็นหนึ่งจนประจิตรก้มหน้าลงเสีย แล้วหันหลังเดินจากหล่อนไปทันที
“ใจเร็วละเท่านั้นเสียเอง” สุนทรีปรารภในใจ รอยยิ้มยังปรากฏที่ริมฝีปาก
สิ่งของต่างๆ ขึ้นอยู่บนรถเข็นเรียบร้อยแล้ว มีผู้คุมรถไปข้างหน้า ผู้เป็นเจ้าของก็ออกเดินตามไปห่างๆ ห้อมล้อมด้วยผู้มารับ ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าผู้ที่กลับมาถึง ทั้งสองฝ่ายปราศรัยกัน ซักถามกัน กล่าวคำต้อนรับกันไม่หยุดปากจนเกือบจะถึงต้องแย่งกันพูด มารดาของฤดีจับแขนธิดาจูงไว้ไม่ห่าง ตาจับดูธิดาราวกับยังไม่เชื่อแน่ว่านั่นคือธิดาของตน คราวใดฤดีหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ มารดาของหล่อนก็พูดสอดขึ้นว่า “แม่เป็นห่วงจะตาย” หรือมิฉะนั้นก็ “ถ้าผิดจากคุณครูสะอาดกับคุณครูสุนทรีแล้วละก็ แม่ไม่ปล่อยให้ไปเป็นอันขาด”
ครั้งที่สุด มารดาของสายใจผู้ซึ่งต้องเป็นฝ่ายที่ฟังอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นบ้างว่า
“ดิฉันก็เหมือนกัน ผิดจากคุณครูสองคนนี่แล้ว ไม่ปล่อยให้ลูกไปกับใครหรอก”
“แต่คุณนายยังดีนี่คะ เพราะมีญาติอยู่ทางโน้น กะว่าจะไปกับลุงแล้วยังจะต้องเป็นห่วงอะไรอีก แหม ! ของดิฉันน่ะพ่อเขารวนอยู่นั่นเอง จะไม่ยอมให้ไปท่าเดียว แม่ลูกสาวก็จะไปให้ได้” หันไปทางผู้เป็นครูธิดา “อยากนัก อยากไปเที่ยวกับคุณครูสะอาด”
ส่วนดรุณีทั้งสองยังเยาว์นัก ไม่รู้จักเห็นอกท่านผู้บังเกิดเกล้าในความที่ท่านเป็นห่วง ก็หันไปปรารภแก่กันอย่างปลาบปลื้ม
“ที่แท้เราไปสนุกจะตายนะ”
“ไม่เห็นอะไรน่ากลัวสักหน่อย มีแต่ของสวยๆ งามๆ”
ด้วยประการดังกล่าวนี้ เขาพากันมาถึงหน้าสถานีแล้วก็ร่ำลาแยกทางกันไป
ฝ่ายสุนทรี เมื่อกลับถึงบ้าน รับประทานอาหารกลางวันแล้ว รู้สึกอ่อนเพลียและง่วงเป็นกำลัง จึงนอนหลับไปจนบ่าย
หล่อนตื่นขึ้นเมื่อ ๑๕ นาฬิกากว่า อาบน้ำแล้วก็รู้สึกสบายตัวและสดชื่นในใจ แล้วหล่อนเที่ยวเยี่ยมห้องต่างๆ บนตึกเพื่อตรวจความสะอาด ปราศรัยกับคนใช้คนละคำสองคำ ต่อจากนั้นก็ลงจากตึกไป ตรวจดูตามบริเวณอื่นต่อไป
หล่อนออกจากครัวเดินช้าๆ ไปยังที่ๆ คนในบ้านเรียกว่า ‘ที่โปรดของคุณ’ ก็มองเห็นคนแปลกหน้านั่งอยู่บนเตียงที่หล่อนเคยนั่งรับประทานน้ำชา เป็นหญิงสาวรูปร่างท้วม ผิวขาว มองเห็นถนัดได้แต่ไกล เมื่อเห็นสุนทรีเจ้าหล่อนมองดูอย่างทึ่งที่สุด แต่ครั้นสบตาอีกฝ่ายหนึ่งมองดูบ้าง เจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินอ้อมหลีกไปทางที่สุนทรีเพิ่งเดินออกมา
สุนทรีเดาว่าหญิงนั้นคงจะเป็นคนที่รู้จักกับคนใช้คนใดคนหนึ่งในบ้านของหล่อน มาเยี่ยมเยียนกันตามที่หล่อนเคยรู้และเห็นบ่อยๆ และเนื่องจากที่หญิงแปลกหน้ามีรูปโฉมพอดูได้ สุนทรีก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อย และหมายใจไว้ว่าภายหลัง จะต้องถามคนใช้ดูให้รู้ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร มาหาผู้ใด
สุนทรีกลับขึ้นตึกได้สักครู่ใหญ่ ประจิตรก็มาถึงบ้าน
พอได้ยินเสียงรถ สุนทรีก็โผล่หน้าออกไปต้อนรับเขาที่หน้าต่าง ประจิตรกวักมือเรียกหล่อนให้ลงไปข้างล่าง หล่อนทำท่าสงสัยเล็กน้อยแล้วก็ทำตามโดยดี
เมื่อเห็นเขาอยู่ในห้องรับแขกมิได้นั่ง เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าเก้าอี้ สุนทรีจึงถามพร้อมกับทำหน้านิ่วแต่พองาม
“จะมีแขกมาอีกหรือ?”
“เปล่า” ประจิตรลงเสียงตอบ “ทำไม?”
“วันนี้ยังไม่ต้องการแขกจนนิดเดียว อยากคุยกันสองคนมากกว่า แล้วเธอเป็นยังไงถึงต้องมาพักที่นี่?”
“ขี้เกียจขึ้นกระได” ตอบแล้วประจิตรทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง
ทันใดนั้น เขาเกิดความรู้สึกถึงน้ำหนักแห่งคำพูดของสุนทรีที่ว่า “อยากคุยกันสองคนมากกว่า” เขามองดูหล่อนคล้ายกับเขาพึ่งเห็นหล่อนเดี๋ยวนี้ แล้วเกิดความคิดว่าเขาควรจะสวมกอดหรือจุมพิตหล่อนได้ ในโอกาสที่เขากับหล่อนพึ่งจะได้พบกัน หลังจากที่จากกันไปเกือบสองสัปดาห์ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วเขาก็อยากทำตามที่คิดเป็นกำลัง
“เธอดำไปมาก” เขาเอ่ยขึ้น “แต่สวยขึ้นเยอะ”
“ขอบใจ” สุนทรีตอบ ซ่อนความกระดากและปราโมทย์ไว้ในหน้า “เธอน่ะไม่เปลี่ยนเลยยังไงยังงั้น” หล่อนเน้นคำท้ายพร้อมกับยิ้มและค้อนให้ด้วย
แล้วถามสืบไป
“ไปอยู่หัวหินกี่วัน?”
“สองคืน”
“เท่านั้นเองแหละ?”
“ไปสองหน หนละสองคืน พักโฮเต็ล ขี้เกียจเปิดบ้านเป็นการใหญ่แล้วก็ว้าเหว่”
หล่อนยิ้มรับคำหลังของเขา แล้วถาม
“ได้รับรางวัลอะไรมั่งไหม?”
“ได้อะไร ! เจ๊งไม่เป็นท่า หมู่นี้เรามัวแต่เท็นนิสออกเรื่อยๆ จะไปสู้ใครไหว เล่นสำหรับสนุกแปลกๆ ที่ อ้อ ต้องรีบบอกเดี๋ยวจะลืม พบคุณอรุณ....”
“อรุณไหนเพื่อนนักเรียนเก่า หรือเพื่อนครู?”
เขาหัวเราะและตอบว่า
“พบสองอรุณ ที่จะเล่าน่ะ อรุณเมียไอ้เทียมตาของผัวมีลูก ๓๐๐ คน เพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนครูของเธอ ฉันก็เหลือที่จะจำ”
“อ๋อ! นั่นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่า พระยาวิจิตรสารการ ลูกเขาไม่ถึง ๓๐๐ คน หาว่าเขามีลูก ๓๐๐ !”
“ไม่รู้หรือ เห็นยั้วเยี้ยเหลือเกินนี่ แห่กันไปที่โฮเต็ลที่ละหลายโหลหนวกหู ซนยังกะลิง....”
หล่อนค้อนให้อีกพร้อมกับหัวเราะแล้วว่า
“เล่าเรื่องอรุณไปเถอะ”
“เขาถามว่าเธอหายไปไหน”
“เพราะเขาพบเธอที่หัวหิน แล้วไม่ได้พบฉัน?”
“ไม่ใช่ เขาว่าเธอหายคล้ายๆ กับหายไปจากกรุงเทพฯ เพราะเขาไม่ได้พบเธอนมนานเต็มทีแล้ว ฉันบอกว่าเขาเองน่ะแหละเป็นคนหาย เธอน่ะไปไหนๆ บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเก็บตัวเป็นนางห้อง เขาตอบว่าเขามัวแต่เลี้ยงลูก มีลูก ๔ คนแล้ว ฉันก็เลยบอกว่าจะเตะไอ้เทียมให้ เขาสั่งบอกเธอว่าให้ไปหัวหินให้ได้จะได้พบกัน ไอ้เทียมซื้อที่ไว้กำลังปลูกบ้าน”
“แล้วอรุณอีกคนหนึ่งเล่า?”
“คนนี้สั่งให้เตือนเธอว่ากลับจากไทรโยค แล้วอย่าลืมไปหัวหิน เขาจะยังอยู่ที่นั่นอีกนาน จะกลับต่อเดือนพฤษภา แล้วก็....เขาจะเขียนจดหมายมาชวนเธออีก”
สุนทรียิ้มอย่างไม่สู้สนใจนัก ปัญหาเรื่องหัวหินนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนโรงเรียนปิดเทอม สุนทรีไม่แน่ใจว่าจะไปหัวหินอีกหรือไม่ หลังจากที่ได้ไปไทรโยคแล้ว แต่ในระยะสามวันก่อนที่จะถึงกรุงเทพฯ สุนทรีจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด...ถ้าประจิตรจะไปหัวหินหล่อนจะไป ถ้าเขาอยู่ในกรุงเทพฯ หล่อนก็จะอยู่ด้วย
ดังนั้นหล่อนจึงถาม
“เธอจะไปอีกไหม?”
ประจิตรสั่นศีรษะ “เห็นจะไม่ แต่ก็เอาแน่ไม่ได้”
หล่อนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ด้วยเขาตอบไม่ตรงกับใจหล่อนปรารถนา แต่ไม่ยึดถือเอาไว้นาน ถามต่อไปว่า
“กรุงเทพฯ ร้อนมากไหม? ทางที่ฉันไปร้อนแต่เวลากลางวัน ตกกลางคืนเย็นถึงกับต้องห่มผ้า ฉันนึกถึงเธอว่ากลางคืนจะคลั่งเรื่องร้อนยังไงมั่ง แต่แล้วก็นึกว่าเธอคงจะไปตากลมอยู่ทางหัวหินเหมือนกัน”
ประจิตรอึดอัด เป็นไฉนสุนทรีจึงปรานีต่อเขามากนัก น้ำเสียงของหล่อนฟังดูไม่มีแง่มีงอนเหมือนอย่างเคย ทำให้จิตใจของเขาอ่อนแอไป แล้วเขาตอบช้าๆ อย่างตริตรอง “ปีนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยร้อน เห็นจะเป็นที่มีฝนตกมั่ง” เว้นระยะเล็กน้อยแล้วจึงว่า “ไม่เห็นเล่า ไปเที่ยวสนุกยังไง ไทรโยควิเศษแค่ไหน”
หล่อนหัวเราะเบาๆ แล้วตอบ
“ฉันขี้เกียจฉายหนังซ้ำ เพราะตั้งใจว่าเย็นวันนี้จะไปหาคุณพระ มาถึงวันนี้ก็ควรจะไปวันนี้ ถูกไหม? แล้วก็หวังเอาอย่างแน่นอนว่าเธอจะไปด้วย เพราะฉะนั้นเล่าทีเดียวให้ได้ฟังกันทั่วๆ ดีกว่าเวลานี้ขอฟังเรื่องของเธอก่อน”
เขายิ้มอย่างไม่นึกสนุก อยากจะบอกแก่หล่อนว่า เขาก็มีเรื่องที่อยากจะเล่าให้หล่อนฟังเป็นอย่างยิ่งเหมือนกัน แต่คำพูดหาผ่านริมฝีปากเขาออกมาได้ไม่ เมื่อหล่อนอยู่ใกล้ไปจากเขา เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งธรรมดา เขาอาจจะเล่าแก่หล่อนโดยไม่ต้องเลือกเฟ้นถ้อยคำอย่างใดเลย แต่ครั้นเมื่อวันกลับของหล่อนย่างเข้ามาใกล้ เขารู้สึกคล้ายกับว่าเรื่องนั้นแปรรูปเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นทุกที จนกระทั่งขณะนี้ เมื่อหล่อนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา มีวงหน้างามผุดผ่อง ดวงตาหวานคม อ่อนโยนหยดย้อย เขาเกิดความรู้สึกว่าได้เป็นผู้กระทำผิดอย่างสำคัญ ทั้งนี้โดยไม่รู้แน่ว่าผิดในแง่ไหน แต่เขาก็กำลังพยายามยืดเวลาแห่งการเจรจาเรื่องที่ข้องอยู่ในใจเขา ให้นานออกไปมากที่สุดที่จะมากได้
“มาถึงบ้านพบอะไรแปลกมั่ง?” เขาถามขึ้น
“ไม่เห็นมีอะไรแปลก” สุนทรีตอบโดยซื่อแล้วถาม “อะไรแปลก เธอซื้อรถใหม่หรือ?”
“เปล่า” เขาลงเสียงตอบ “ถามดูเผื่อจะเห็นอะไรแปลก แม่บ้านไม่อยู่เสียหลายวัน”
สุนทรีนึกได้ถึงหญิงแปลกหน้าที่หล่อนเห็น จึงพูดแกมหัวเราะ
“อ้อ ! มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ผู้หญิง สวยด้วย แต่ก่อนไม่เคยเห็นมา จะเป็นญาติหรือพวกพ้องใครใครไม่รู้ ยังไม่ได้ถาม”
สีหน้าประจิตรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองดูผู้พูดอย่างจะค้นหาความจริงอะไรสักสิ่งหนึ่ง ครั้นสบตาสุนทรีมองดูตนอย่างนึกฉงนขึ้นบ้าง ก็ลุกจากที่พร้อมกับพูดว่า
“จะไปหาคุณอาก็ไป ขอเวลาอาบน้ำ ๕ นาที เธอคอยอยู่ที่นี่นะ”
“เอ๊ะ ! ทำไมต้องกะเกณฑ์ให้คอยที่นี่ ฉันก็จะต้องแต่งตัวเหมือนกัน”
“ถ้างั้นก็ขึ้นไปพร้อมกัน พอเสร็จก็ไปทีเดียว”
“เสร็จแล้วต้องกินน้ำชาก่อน เธอเองน่ะไม่หิวหรือ?”
“ยังงั้นแต่งตัวเสร็จแล้วกลับลงมากินน้ำชาที่นี่ ฉันจะสั่งเขาเอง”
สุนทรีนึกแปลกในใจ แต่หล่อนก็รู้อยู่ว่า ประจิตรเป็นบุคคลที่มี ‘ความแปลก’ แสดงต่อหล่อนบ่อยครั้ง จึงขึ้นบันไดไปกับเขาโดยไม่โต้แย้ง
เนื่องจากสุนทรีได้เสียเวลาไปเล็กน้อย ในการเจรจากับนางสาวใช้ เรื่องเสื้อผ้าที่หล่อนได้นำไปไทรโยคด้วย ประจิตรจึงแต่งตัวเสร็จก่อนหล่อน และได้มายืนคอยหล่อนอยู่บนเชิงบันไดเป็นครู่ พอหล่อนออกจากห้องเขาก็จับมือหล่อนจูง เดินเคียงกันไปจนถึงห้องรับแขก และนั่งลงรับประทานน้ำชาด้วยกัน
ระหว่างที่รถกำลังแล่น จะไปยังบ้านพระวนศาสตร์ฯ สุนทรีกับประจิตรสนทนากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ซึ่งเมื่อรวมกันเข้าแล้ว ก็ไม่มีเรื่องที่แปลกผิดจากเมื่อก่อนที่สุนทรีจะออกเดินทางเลย ทำให้สุนทรีนึกขำตัวเอง....ตนได้จากกรุงเทพฯ ไปเพียง ๑๒ วันเท่านั้น เหตุไฉนจึงสำคัญคิดว่าจะได้ฟังเรื่องใหม่ๆ ราวกับว่าตนได้จากที่เกิดไปอยู่ต่างประเทศเป็นปีๆ ทั้งนี้สุนทรีมิได้สำนึกว่า การอยู่ห่างไกลจากบุคคลผู้เป็นที่รักแม้เพียงเวลาอันสั้น ผู้ไปห่างมักจะรู้สึกเสมือนตนได้จากเขาไปนาน และโดยนัยนี้ก็ยึดถือเอาความนานแห่งเวลาในอารมณ์ของตนนั่นเอง เป็นปัจจัยให้คิดคาดว่าจะมีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายประการ
ที่บ้านพระวนศาสตร์โกศล สุนทรีได้เป็นผู้พูด ที่ยึดความเอาใจใส่ของผู้ฟังไว้อย่างดียิ่ง หล่อนเล่าถึงระยะทางที่หล่อนผ่านบรรยายภูมิประเทศด้วยถ้อยคำสำนวน อันชวนให้ผู้ฟังเห็นงามไปตามหล่อน เขาริมน้ำประปรายที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง บางแห่งเป็นหน้าผาชัน เกลี้ยงเกลาดังขัดด้วยมือคน บางแห่งขรุขระ เป็นช่องเป็นโพรงเป็นถ้ำ บางแห่งมีหินปูนจับเป็นช่อย้อยดูดังม่านหิน ลำธารบางแห่งแคบ บางแห่งคด บางแห่งกว้างเกือบสุดสายตา บางคราวน้ำเขียวนิ่งสนิท บางคราวน้ำใสดังกระจกเห็นก้อนกรวดโตถนัดอยู่ภายใต้ ที่บางแห่งเป็นที่เรียว น้ำไหลคว้าง ก้อนหินอยู่ระเกะระกะปริ่มพื้นน้ำ ต้องปลดเรือโยงใช้แรงคนลาก เพื่อประคองเรือให้อยู่ในร่อง บางคราวเมื่อถึงเรียวใหญ่ แรงคนหาพอกับแรงน้ำไม่ เรือกระทบแก่งจังๆ หลายครั้ง บางคราวก็จวนเจียนจะเสียท้ายขวางลำทำให้เป็นที่น่าหวาดเสียว
ในตอนท้าย หล่อนเล่าถึงการไปดูจระเข้ในยามดึก และการลงเรือไปดูจระเข้เจ้าในเวลาหัวค่ำ มารดาเลี้ยงของหล่อนทำท่าพรั่นพรึง น้องเล็กขยับตัวเข้าทับตักมารดา จับแขนมารดาไว้แน่น คล้ายกับว่าได้เห็นจระเข้ใหญ่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น
ประจิตรเอ่ยขึ้นว่า “แหม ! เราไปด้วยก็ได้ยิง”
“ฉันนึกถึงเธอเหมือนกัน” สุนทรีตอบพร้อมกับยิ้ม “แต่นึกด้วยว่าไม่ยอมให้ยิ่งเป็นแน่ เพราะชาวบ้านแถบนั้นเขาถือกันมาก เขาไม่กลัวจระเข้ แต่เขากลัวคนจะทำร้ายจระเข้ เพราะถ้าทำเข้าแล้ว ทีหลังพวกเขาจะต้องลำบาก จระเข้ที่ไม่ดุ ก็กลายเป็นดุ เขาว่าผีสิง”
พระวนศาสตร์ฯ กับประจิตรยิ้มอย่างเห็นขัน แต่นางวนศาสตร์ฯ พยักพเยิดอย่างเห็นด้วย
ราว ๒๒ นาฬิกา สุนทรีจึงลาจากท่านผู้บังเกิดเกล้า ประจิตรขับรถเร็วมากขึ้น และออกนอกทางไปไกล สุนทรีมีความแช่มชื่นเต็มเปี่ยมอยู่ ก็มิได้ทักท้วงไต่ถาม จนมาถึงที่สงัดไกลจากย่านแห่งยวดยานและชุมนุมขน ประจิตรจึงหยุดรถแอบเข้าที่ริมถนนแห่งหนึ่ง
เขาจุดบุหรี่ ดูดแล้วอัดโดยแรง ๒-๓ ครั้ง รวบรวมความกล้าให้มากขึ้น พอขยับจะพูดก็ได้ยินเสียงสุนทรีเอ่ยขึ้นว่า
“ฉันเก็บเรื่องการเดินทางไว้บางส่วน ไม่เล่าที่บ้านคุณพระ กลัวแม่เลี้ยงจะ....กรี๊ดกร๊าด....”
“เป็นยังไง” ประจิตรถาม น้ำเสียงปร่าพิกล ลืมเรื่องที่ข้องใจเสียทันที “ธิดาข้าหลวง....”
“ทำไม?” สุนทรีถามด้วยความพิศวง
เขากลับได้สติ จึงถอนใจแล้วพูดด้วยเสียงธรรมดา
“เปล่า....เธอว่าแกเป็นพ่อม่ายไม่ใช่หรือ?”
“น็อนเซ็นส์” สุนทรีอุทานพลางหัวเราะ “บอกแล้วว่าเขาไม่ได้ไปด้วย มีคนอีกคนหนึ่ง ฉันไม่ได้นึกไม่ได้ฝันเลยว่าเขาจะไปกับเราด้วย ลูกสาวหลวงประเสริฐฯ”
“ฉันก็มีเรื่องที่เกี่ยวกับหลวงประเสริฐฯ จะเล่าให้เธอฟัง” ประจิตรกล่าวด้วยไม่อาจจะทนนิ่งอยู่ได้อีกต่อไป
“ยังงั้นหรือ? เอ้าอยากเล่าก่อนก็เล่าไป”
ประจิตรเริ่มต้นเล่าเรื่องของเขา เรื่องที่ได้ทำให้เขาอึดอัดใจมาหลายชั่วโมงเต็มทีแล้ว
ความมีอยู่ว่า เมื่อสุนทรีไปแล้วได้สองวัน มีหญิงกลางคนคนหนึ่งมาหาเขา แจ้งว่าเป็นแม่ยายหลวงประเสริฐฯ และชื่อลำไย หญิงนั้นปรับทุกข์ว่า ตั้งแต่หลวงประเสริฐฯ สิ้นชีวิตแล้ว นางก็ตกระกำลำบาก เพราะอัตคัดขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง นางเที่ยวสืบเสาะหาตัวบุตรชายหลวงประเสริฐฯ หาอยู่นานจึงได้พบตัว ได้ขอร้องให้เขาเกื้อกูลนางบ้าง แต่นางได้รับคำตอบจากนายประพันธ์ว่า เขาเองก็ขัดสนหนักหนา และแนะนำให้นางมาหาประจิตรเอง
ประจิตรได้รับปากจะจ่ายเงินให้ทันทีเป็นจำนวน ๕๐ บาท นางกราบไหว้ยกยอบุญคุณ แล้วพูดอ้อมค้อมไปมาทำให้เขางงอยู่นาน ในที่สุดจึงได้ความว่า อันเงินนั้นใช้เพียงครู่หนึ่งยามเดียวก็จะหมดไป นางต้องการที่พึ่งที่ยั่งยืน ให้แก่บุตรและตัวนางเอง กล่าวโดยสั้นก็คือนางขอยกบุตรีของนางให้แก่ประจิตร เป็นข้าช่วงใช้ดังที่นางได้ยกให้หลวงประเสริฐฯ มาแล้ว
“สาธุ !” สุนทรีอุทานแล้วหัวเราะ “แล้วเธอรับไหม?”
เขาดีใจที่หล่อนพูดอย่างสนุกเช่นนั้น จึงรีบตอบ
“คอยเถอะฉันกลัวหลวงประเสริฐฯ แกมาหักคอ” แล้วเขาเล่าเรื่องต่อไป
เขาชี้แจงแก่นางลำไยว่า นิสัยของเขานั้นรังเกียจหญิงม่าย เขาเป็นนักเที่ยว เจ้าชู้ อาจจะผ่านพบนางสาวที่สาวแต่ชื่อมามากก็จริง แต่นั่นเขายกให้ เพราะเป็นอาชีพของบุคคล ในที่สุดเขาได้ให้เงินแก่นาง ๕๐ บาทตามที่ว่าไว้ นางรับแล้วก็ลากลับไป
แต่ครั้นภายหลังจากนั้นอีกสองวัน นางมาหาเขาอีกพาบุตรีมาด้วยคนหนึ่งและแจ้งแก่เขาว่า เจ้าหล่อนเป็นน้องของหญิงที่เป็นภรรยาหลวงประเสริฐฯ หลังจากที่ได้ฟังคำวิงวอนจนอ่อนหูแล้ว ประจิตรจึงจำใจรับหญิงนั้นไว้
“อ๋อ ! ถ้ายังงั้นก็คือหญิงที่ฉันเห็นเมื่อบ่ายน่ะซี แล้วเธอรับลูกของเขาไว้ยังไง จะเลี้ยงในฐานะอย่างไหน?”
สุนทรีก็เป็นผู้ที่รู้จักโลกพอควรอยู่ แต่ด้วยเหตุที่จิตใจของหล่อนใฝ่ฝันไปแต่ในทางสูง ห้วงคิดมักจะเดินไกลจากความเป็นจริงในโลกไปบ้าง คำถามที่หล่อนถามนั้นจึงมีความหมายในทางดี แต่ประจิตรนั้นเป็นชายเคยแก่การเกลือกกลั้ว กับธรรมชาติแห่งสัตว์โลก คิดไกลไปจากความหมายอันแท้จริงแห่งคำถามที่เขาได้ฟังแล้ว ก็รีบตอบอย่างร้อนรน
“ก็รับๆ ไปยังงั้น เลี้ยงอย่างคนใช้ ไม่เอาออกหน้าออกตา ดูท่าทางก็เห็นเป็นคนซื่อ เห็นจะไม่มีพิษมีสงอะไร”
ประจิตรนิ่งไปแล้วเป็นครู่ สุนทรียังจับความจริงไม่ได้ถนัด แต่ในทันทีที่ความเข้าใจเกิดขึ้นแก่หล่อน สุนทรีรู้สึกเหมือนแผ่นดินใต้รถได้ยุบลง ทำตัวของหล่อนให้หล่นฮวบลงในที่ลึก
เมื่อรวบรวมสติได้แล้ว สุนทรียังมิรู้ที่จะพูดหรือแม้แต่คิดว่ากระไรต่อไป ครั้นแล้ว ดูเหมือนความรุ่มร้อนในใจหล่อน จะทำให้ร่างกายของประจิตรต้องความร้อนไปด้วย เขาบ่นขึ้นว่า
“แหม ! คืนนี้ร้อนจริง อ้าวฝนหรือไง”
“กลับบ้านเห็นจะดี” สุนทรีกล่าวเสียงต่ำและเบามาก
“ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันหิว วันนี้กับข้าวบ้านคุณอาไม่มีอะไรถูกปากเลย”
“ถ้าเธอใจดีพอ พาฉันไปส่งบ้านเสียก่อน”
น้ำเสียงที่พูดชัดเจนและมีกังวานดีกว่าเก่า ด้วยเหตุที่ความรู้สึกของหล่อนกำลังแรงมาก สุนทรีได้พยายามอย่างดีที่สุด ที่จะมิให้อีกฝ่ายหนึ่งระแคะระคายในความรู้สึกนั้น
“พิโธ่ ! แล้วจะเกณฑ์ให้ฉันไปนั่งกินคนเดียวรึ? ไม่ไหวซี ไปด้วยกันหน่อยเถอะน่ะ เดี๋ยวเดียวแหละ”
สุนทรีมีความคิดอันแจ่มกระจ่างอยู่ในสมอง ว่าประจิตรกับหล่อนได้ขาดจากการเป็นผู้ที่จำเป็นแก่กันและกันในบัดนี้เป็นต้นไป ดังนั้น หล่อนจึงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
“ขอโทษ ฉันเพลียเหลือเกิน อยากนอนเร็วๆ”
“ไม่ไปก็ไม่ไปด้วยกันน่ะซี กลับบ้านนอนแต่หัวค่ำก็ดีเหมือนกัน”
พร้อมกับที่พูด ประจิตรนึกถึงการสัมผัสอันถูกอารมณ์ซึ่งเขาได้รับจากธิดานางลำไย........ฉะนี้เจ้าหล่อนคงตั้งตาคอยเขาอยู่ !
พอรถเลี้ยวเข้าประตูบ้าน สุนทรีก็เตรียมเปิดประตูรถไว้พร้อมแล้ว พอรถจอดยังไม่ทันนิ่งสนิท หล่อนก็ลงจากรถรีบสาวเท้าขึ้นบันได ตั้งใจจะให้ถึงห้องนอนและปิดประตูใส่กลอน ก่อนที่ประจิตรจะขึ้นถึงชั้นบน แต่ฝ่ายเขาก็มีความว่องไวไม่น้อย เดินตามมาทันหล่อนตรงช่องทางระหว่างหน้ามุขกับบันไดชั้นสอง จับข้อมือหล่อนไว้และพูดเสียงค่อนข้างเบา
“เธอช่วยขยับขยายหาห้องบนตึกให้ลำเจียกอยู่หน่อยนะ ฉันรับปากกับเขาไว้ว่าจะให้แม่เขามาอยู่ด้วย เวลานี้หาที่ไม่ได้ ห้องไหนๆ ก็เต็มไปหมด”
สุนทรีมิได้ชักมือจากมือเขา แต่หล่อนรู้สึกว่าโลหิตที่มือแล่นขึ้นสู่หัวใจจนสิ้น อาศัยความคิดที่เกิดขึ้นในอึดใจนั้น ตอบเขาว่า
“เสียใจ ฉันจะไปหัวหินพรุ่งนี้” แล้วนึกเกรงเขาจะเดาความคิดของหล่อนถูกจึงเสริม “กลับมาแล้วจึงค่อยพูดกันใหม่”
“เอ๊ะ ! ไหนว่าจะไม่ไปยังไงล่ะ?” ประจิตรกล่าวด้วยความพิศวงจากใจจริง “เธอบอกว่าจะไม่ไปไม่ใช่หรือ?”
หล่อนฝืนหัวเราะแล้วตอบว่า
“ยังไม่ได้บอกว่ากระไรทั้งนั้น แต่ว่าจะไปพรุ่งนี้รถเช้า”
“มันก็มีอยู่รถเดียวเท่านั้นแหละ แต่ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ กลับมาเห็นหน้ากันยังไม่ทันกี่ชั่วโมง พูดกันยังไม่กี่คำ”
ฟังน้ำเสียงของเขา ดูจริงใจมาก จึงทำให้สุนทรีเห็นใจมากขึ้น คิดอยู่ว่า “เท่าที่พูดมาแล้วน่ะพอเสียยิ่งกว่าพอ สำหรับที่จะไม่ต้องพูดอีกเลยตลอดชีวิต” แต่สุนทรีไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น ดึงมือจากมือเขาโดยละม่อมแล้วก็ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน