๑๘

ประจิตรกล่าวแก่สุนทรีด้วยน้ำเสียงประชดแกมล้อ

“คุณเพื่อนหนุ่มของเธอมาอีกแล้วไม่ใช่หรือ?”

สุนทรีไม่ติดใจในน้ำเสียงของเขา หัวเราะพลางย้อนถาม

“แล้วก็เผอิญสวนกับเธอตรงประตูบ้านอีกใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่ฉันเกือบจะยกมือไหว้เทวดา ที่ดลใจให้ฉันมาถึงพอเหมาะพอดียังงั้น”

“พ่อน้องชายที่รักของพี่ เธอไม่ควรจะจงเกลียดจงชังคนที่เธอทำให้เขาเป็นทุกข์”

“สุนทรีที่รักของน้อง ใจของผมไม่มีที่ว่างพอสำหรับที่เกลียดใครเลย แต่ถ้าผมไม่ชอบหน้าใคร ผมไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้ ทำไม? เพราะว่าถ้าใกล้คนชนิดนั้นจะทำให้ผมต้องเสียเวลาไปเกลียด เพราะอย่างยิ่งคนที่ผมได้ทำให้เขาเดือดร้อน”

“แต่เธอควรจะสงสารตาประพันธ์ แทนที่จะไม่ชอบหน้าแก”

“ฉันจะสงสารแกได้มาก ถ้าฉันไม่ได้พบแกเลย”

“ที่จริงเดี๋ยวนี้ท่าทางแกไม่บ้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว พูดจาเป็นปกติ ไม่มีไอ้เจ้าหัวเราะไม่มีมูลอย่างแต่ก่อน”

“ด้วยอานุภาพของคุณครูสุนทรี ! พับผ่า เธอนี่เป็นมนุษย์พิเศษ ใครเข้าใกล้เธอแล้วเป็นต้องตกอยู่ในอิทธิพลทุกคน”

“เป็นต้นว่าใครบ้าง !” สุนทรีถามน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเริ่มนึกโกรธขึ้นแล้ว

“ก็เป็นต้นว่านายประพันธ์ยังไงล่ะ”

“เธอรู้ได้ยังไงว่าแกเปลี่ยนไปเพราะฉัน ทำไมเธอไม่ลองนึกดูมั่งว่า ความประหม่าหรือตื่นอาจจะทำให้คนทำกิริยาบ้าๆ อะไรก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เขาหายประหม่าใจคอเป็นปกติ เขาก็กลับเป็นคนธรรมดา ในระหว่าง ๓-๔ เดือนนี่ตาประพันธ์มาหาฉัน ๕ หน มันนานพอที่จะ.....”

ประจิตรไม่รอฟังให้จบประโยค อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจจริงๆ

“๕ หน ! อีตานั่นเคยมาที่นี่ ๕ หนแล้ว !”

“๕ หนทั้งหนนี้” สุนทรีซ้ำ อดขันความตื่นเต้นของอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ “แปลว่าเธอได้พบกับแกหนแรกกับหนหลังพอดี”

“๕ หน !” ประจิตรทวนอีก แล้วถามอย่างทึ่งที่สุด “แล้วมาทำไม? มาพูดเรื่องอะไรกันมั่ง? แล้วเธอทนนั่งอยู่ด้วยได้ยังไง?”

“ฉันนั่งอยู่ด้วยได้โดยไม่ต้องทนเลย” สุนทรีตอบอย่างเป็นการเป็นงาน “เราผู้หญิง จำเป็นที่จะต้องทนอะไรต่ออะไรมากต้องหัดทนสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จนชินจนไม่รู้สึกว่าต้องทน สำหรับว่าทีหลังเราจะได้ทนสิ่งที่ร้ายๆ กว่านี้ได้”

ประจิตรมองดูผู้พูดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขามีลักษณะอันจะอธิบายได้ยาก ทั้งความนิยม ความทึ่ง ความรำคาญระคนกันอยู่

“ค่ำวันนี้เธอมีโปรแกรมอะไรไหม?” สุนทรีถามขึ้นภายหลังที่ได้นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง

“มี อนุชาติเขารวยม้า เขาจะเลี้ยงกับข้าวเจ๊ก”

“แล้วเธอเป็นยังไงมั่งล่ะวันนี้”

“เฉยๆ ไม่ได้แทง ลืมไป มัวแต่ตีกอล์ฟเพลิน ถึงรอบเจ้าทองแดง ออกเมื่อไหร่ไม่ทันรู้ตัว ถ้าไม่ยังงั้นก็จะได้หลายบาทอยู่ มันมาที่สอง....อ้อ เมื่อตะกี้เธอถามถึงโปรแกรมของฉันทำไม หรือจะทำโปรแกรมอะไรมั่ง”

“จะไปเยี่ยมคุณพระ ท่านเป็นไข้มาห้าวันแล้ว”

“อ้าว” น้ำเสียงประจิตรแสดงความกังวลขึ้นทันที “เป็นไข้อะไร? แล้วทำไมเธอถึงพึ่งจะไปเยี่ยมวันนี้?”

“ก็พึ่งรู้วันนี้เอง แม่เลี้ยงเขาโทรศัพท์ไปบอกที่โรงเรียน”

“เออ แล้วฉันก็ติดนัดเสียแล้ว โธ่ถ้าเธอบอกเสียเร็วกว่านี้หน่อยก็ไปเยี่ยมเสียก่อนก็ทัน”

“วันหลังก็ได้” สุนทรีว่า “ท่านไม่เป็นมากหรอก ก็มาเลเรียตามเคยน่ะแหละ”

“หมออะไรรักษา?”

“ไม่ทราบ ขี้เกียจถาม แม่เลี้ยงพูดโทรศัพท์เสียงราวกะหูจะแตก เลยรีบวางเสียเร็วๆ”

“เอ นี่หรือคนใจพระ” ประจิตรว่าพลางหัวเราะ “ไหนว่าเป็นช่างทน ทนฟังเสียงแม่เลี้ยงในโทรศัพท์เท่านั้นแหละไม่ได้”

สุนทรีไม่ตอบ หัวเราะแล้วลุกขึ้นจากที่ซึ่งหล่อนนั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่ในท่าขี้เกียจ ประจิตรผู้ซึ่งนั่งอยู่เคียงหล่อนก็ลุกขึ้นด้วย พร้อมกับถามว่า

“เธอจะไปเดี๋ยวนี้หรือ”

“อาบน้ำแล้วไป”

“เรียนคุณอาด้วยนะ ฉันติดนัดเสียแล้ว เป็นความผิดของเธอเองแหละ”

สุนทรียิ้มแล้วว่า

“บอกคุณอนุชาติด้วยว่าฉันว่าใจดำ มันไม่กล้าเชิญเธอแน่ๆ เพราะมันรู้ตัวว่ามันจะเมาหัวราน้ำ มันกลัวเธอ” พูดแล้วประจิตรเดินไปที่ประตู แต่แล้วก็หันกลับมาถามว่า “แข่งกันไหม ใครจะแต่งตัวเสร็จก่อนกัน?”

“ต่อให้ฉัน ๑๐ นาทีซี” สุนทรีตอบ

“ได้ พนันเอาอะไรกันเล่า?”

“ก็เธอจะเอาอะไรล่ะ?”

“เอาจูบทีเดียวแหละ”

“อื้อ ฉันไม่อยากจูบเธอนี่ เธอโตเสียแล้ว”

ประจิตรผิวปากดังวิ้ว ! “คุณย่า !” เขาว่าแล้วพูดต่อไป “ถ้าฉันแพ้ ฉันให้เธอหยิกเต็มเหนี่ยว ถ้าเธอแพ้ฉันจูบเธอเต็ม....เหมือนกัน”

สุนทรีนิ่วหน้า แล้วคิดเห็นว่าตนไม่มีทางที่จะเสียเปรียบ จึงตอบ

“ตกลง”

ประจิตรปลดสายนาฬิกาจากข้อมือ เรียกให้สุนทรีดูพร้อมกับพูดว่า

“เวลานี้ย่ำค่ำ ๕๔ นาทีนะ ทุ่ม ๑๐ นาทีเป๋งใครไม่เสร็จ คนนั้นแพ้ ถ้าเผื่อเสร็จก่อนนั้นใครเสร็จก่อนไปอีกก็ชนะ ฉันจะคอยจนทุ่มกับ ๕ นาที ถึงจะลงมืออาบน้ำ”

สุนทรีนิ่งคิดอีก ระแวงว่าประจิตรจะต้องหาทางโกงเป็นแน่ แต่ก็จับไม่ถนัดว่าจะโกงทางไหน ในที่สุดจึงว่า

“แล้วเธออย่าโกงนะ” พูดแล้วนึกถึงทางที่เขาอาจจะโกงได้ทางหนึ่ง “เดี๋ยวเธอก็หมุนนาฬิกาเสียเท่านั้น”

“ก็เอานาฬิกาของเธอมาเทียบไว้ซี”

สุนทรีหยิบนาฬิกาของหล่อนมาดู ก็เห็นว่าตรงกับนาฬิกาของประจิตร แม้กระนั้นก็ยังข้องใจ ประจิตรพูดอาการยิ้มอย่างขันที่สุดปรากฏในดวงตา

“ตกลงนะ ฉันไปละ” แล้วเขาก็ออกไปจากห้อง และปิดประตูห้องตามหลังเข้ามาด้วย

แต่เมื่อปิดประตูห้องแล้ว เขายังหาไปจากที่นั้นไม่ รออยู่จนได้ยินเสียงสุนทรีลั่นกลอนห้องน้ำ เขาจึงผละจากที่สาวเท้าไปยังห้องเขา และเดินทะลุจากห้องนอนตรงเข้าห้องน้ำทีเดียว

สุนทรีแต่งตัวอย่างเร่งรีบ จนเหงื่อออกทั้งที่ผิวหนังถูกความเย็นมาใหม่ๆ เมื่อเสร็จแล้ว ยังขาดเครื่องหอมหล่อนรีบหยดน้ำอบลงในมือ แล้วออกจากห้องวิ่งไปยังห้องประจิตร

ประตูห้องนี้เปิดอยู่ สุนทรีมองเข้าไปเห็นชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแม้แต่ขอสักคู่หนึ่งก็ไม่ลืมเกี่ยว เขามองดูหล่อนเข้าประตูมาอย่างใจเย็น และภาคภูมิใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความสนุกอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นสุนทรีชะงัก ทำหน้าพิกล เขาก็ผิวปากและทัก

“ครู ! อย่างรีบยังเช้งถึงปานนี้ ถ้าไม่รีบจะปานไหนดีน้อ ! ผมชนะคุณพี่แล้ว อย่ายักเยื้อง มาให้น้องจูบเสียดีๆ”

“โกง !” สุนทรีร้อง “เธอต้องโกงฉันแน่ๆ เทียว เธอไม่เคยแต่งตัวเร็วถึงยังงี้ ๕ นาที ทั้งอาบน้ำแต่งตัวเธอทำไม่ได้นี่นา”

“โกงยังไง พิสูจน์มาถี”

สุนทรีไม่มีความคิดไปว่าเขาจะโกงหล่อนอย่าง ‘ดื้อๆ’ ดังที่เขาได้ทำแล้ว มองไปรอบห้อง เห็นกางเกงเสื้อชั้นในผ้าเช็ดตัวกองทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด และตู้เสื้อผ้ารวมทั้งลิ้นชักก็เปิดอยู่สิ้น

“เธอไม่ได้เรียกคนใช้หรอกหรือ?” หล่อนถาม

“ก็ไม่ได้ตกลงกันไว้อย่างนั้น จะเรียกมาก็กลัวเธอจะว่าโกง มาน่ะ แพ้เขาแล้ว มาให้เขาปรับตามสัญญา”

เมื่อไม่มีทางจะพิสูจน์ข้อหา สุนทรีก็ยอมจำนน แต่สีหน้าของหล่อนนั้นแสดงความพอใจยิ่ง ในความคิดที่จะ ‘บิด’ เอาเขาได้ ก้าวหน้าเข้าไป ๒ ก้าว ยื่นมือซ้ายให้ประจิตรจนชิดหน้าแล้วว่า “เชิญจูบให้พอใส่น้ำอบมาหอมๆ ด้วย”

“เอ้ย ! มือไม่เอา” ประจิตรค้าน จับมือหญิงสาวไว้และดึงจะให้หล่อนมาใกล้ตัว สุนทรียืนตัวไว้มั่นพลางว่า

“ไม่ได้สัญญากันนี่ว่าต้องจูบที่ตรงไหน”

“ก็ฝ่ายชนะต้องมีสิทธิ์เลือกได้ซี”

“ไม่ได้ ไม่ได้สัญญา” สุนทรีสั่นศีรษะประกอบคำพูด

“ไม่จูบก็ปล่อยมือเขาคืนมา”

ประจิตรลังเล จะยอมแพ้ หรือจะเอาชนะด้วยกำลัง ในที่สุดเขาปล่อยมืออันขาวและเรียวเสียจากมือของเขา แล้วก็หัวเราะด้วยเสียงอันดังและพูดว่า

“เกลือจิ้มเกลือ....ฝากไว้ก่อนเถอะ !”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ดวงหน้าเป็นสีชมพู ก้มศีรษะให้เขานิดหนึ่ง แล้วว่า

“ลาไปก่อนนะจ๊ะ อีก ๒๔ ชั่วโมง พบกันใหม่” แล้วหล่อนก็ออกจากห้องไปทันที

ระหว่างที่รถแล่นพาตัวหล่อนห่างจากที่อยู่ เพื่อไปสู่บ้านท่านบิดา สุนทรีคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อน สีหน้าของหล่อนจึงเปลี่ยนเป็นลักษณะต่างๆ บางวาระดูเป็นลักษณะสนุก บางวาระเป็นลักษณะขัน ครั้นอีกวาระหนึ่งดูอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก และในท้ายที่สุดก็เป็นลักษณะขรึมและเศร้า นี่เป็นเรื่องธรรมดาในเมื่อสุนทรีนึกถึงชายหนุ่มผู้อยู่ร่วมเคหะเดียวกับหล่อน

รถแล่นมาจวนถึงปลายทาง สุนทรีเริ่มตื่นจากความครุ่นคิด เมื่อเห็นรถคันหนึ่งแล่นเรื่อยๆ ไปข้างหน้า สุนทรีแน่ใจว่าตนรู้จักรถคันนั้น แต่นึกไม่ออกว่าเป็นรถของใคร.... รถที่สุนทรีนั่งกำลังจะทันรถคันหน้า สุนทรีเริ่มจำเขาผู้ขับรถนั้นได้ พอทันกันแล้วสุนทรีก็ยิ้มและโบกมือทักเขาด้วยกิริยาแสดงความสนิทสนม

และเนื่องจากคนที่ขับรถของสุนทรีเป็นผู้มีอายุแล้ว พ้นจากวัย ‘เปรี้ยวปรูดปราด’ สุนทรีจึงมีเวลาเห็นหน้าหลวงชาญยนตรกิจได้ถนัดถนี่ ดูเหมือนเขาผู้นั้นจะขับรถไป ‘เปื่อย’ ไม่มีที่หมายว่าแห่งใด สุนทรีเกิดความประหลาดใจว่าทำไม เขาจึงไม่ไปหาหล่อน และเมื่อรู้สึกถึงความประหลาดใจของตนแล้ว สุนทรีก็นึกขำในการที่ใจของตนคิดไปเช่นนั้น

สุนทรีเคยคิดและกำลังคิดอยู่ว่า หลวงชาญฯ เคยชอบหล่อนมาก และมิใช่ชอบอย่างผิวๆ เผินๆ ในเวลาสนุกหรือเมาอย่างที่คนอื่นๆ บางคนเคยชอบ แล้วคิดต่อไปถึงประจิตร เมื่อเขาผู้นั้นพูดกับสุนทรีเรื่องหลวงชาญฯ ก็มักจะมีน้ำเสียงกระแนะกระแหนผู้ฟัง แต่ประจิตรกับหลวงชาญฯ ก็ยังชอบพอกันดีอยู่เสมอ และเท่าที่สุนทรีเคยพบเขาทั้งสองพร้อมกัน ยังไม่เคยเห็นว่าประจิตรได้แสดงกิริยาหรือวาจาต่อหลวงชาญฯ ไปในทางให้เห็นว่าเขามีความรังเกียจ หรือไม่ชอบหน้าหรือไม่ชอบอัธยาศัยหลวงชาญฯ แม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด ยิ่งกว่านั้นประจิตรไม่เคยล้อเลียนหลวงชาญฯ จนถึงกับทำให้สุนทรีใจหายหวาดหวั่นในบางครั้ง เหมือนดังที่เขาเคยล้อเลียนสหายอื่นๆ หรือจะเป็นที่ประจิตรเคารพในวัยของหลวงชาญฯ ซึ่งสูงกว่าเขาครึ่งรอบกว่ากระมัง

ทั้งที่สุนทรีรู้ว่า ประจิตรอายุอ่อนกว่าหลวงชาญฯ หลายปี หล่อนก็อดปรารมภ์มิได้ว่า ทำไมหนอประจิตรจึงไม่มีความคิดความเห็นเหมือนหลวงชาญฯ บ้าง ทำไมเขาจึงไม่มีความครุ่นคิดฝักใฝ่ถึงการก้าวหน้าของตนเอง ความก้าวหน้าแห่งชาติ ความเจริญและความเสื่อมแห่งมนุษยชาติ ความเจริญและความเสื่อมแห่งมนุษยธรรม หรือว่าเขาก็คิดอยู่ และถือว่าได้ทำหน้าที่แห่งพลเมืองของชาติและของโลกเต็มกำลังดีอยู่ และก็ไม่ชอบที่จะนำความคิดออกพูดพร่ำเพรื่อ และเขาอาจมีความเห็นว่าผู้ที่หมั่นแสดงความคิดสูงต่างๆ นั้น เป็นผู้ที่ดีแต่พูดเพื่ออวดตัวเท่านั้นเอง ซึ่งสุนทรีก็หามีข้อที่ยืนยันคัดค้านความเห็นของเขาไม่ ทั้งนี้เพราะเท่าที่หล่อนรู้ หลวงชาญฯ ก็มิได้มีการกระทำใดที่ดีเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่ประจิตรทำอยู่ คือเป็นข้าราชการและทำงานไปตามหน้าที่....

แต่ถึงกระนั้น มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งที่สุนทรียืนยันได้แน่นอน คือในเวลาที่หล่อนสนทนาอยู่กับหลวงชาญฯ หล่อนมักจะได้ความคิดว่า ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่น่ารู้น่าเรียน ควรรู้ควรเรียน ต้องรู้ต้องเรียน ยิ่งไปกว่าที่หล่อนเคยรู้เคยเรียนมาแล้วหลายเท่า จิตใจของหล่อนย่อมมีอาการพิเศษจากธรรมดา ดูเหมือนว่าใจดวงน้อยที่อยู่ในร่างกายขนาดวาเดียวนั้นได้ขยายตัวขึ้นอย่างใหญ่หลวง จนกว้างขวางพอที่จะรับรู้เรื่องราวของมนุษย์ทั้งชาติและทั้งโลกแล้ว และเกิดความเมตตาปรานี เห็นใจ ให้อภัยในสิ่งที่คนส่วนมากเห็นเป็นความชั่วก็ได้ และจนถึงกับอาจที่จะเสียสละสิ่งใดๆ ได้หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อความสุข ความเจริญของเพื่อนมนุษย์

และหลังจากที่ได้สนทนากับหลวงชาญฯ แล้ว สุนทรีก็มีความทะยานอยากในอันที่จะหาความรู้ใส่ตัว ในอันที่จะประกอบกรรมอันเลิศ เพื่อให้คุ้มกับกรรมชั่วของผู้ที่กระทำชั่วทั้งหลาย ในอันที่จะเพิ่มพูนความก้าวหน้าแห่งตน ในอันที่จะขยันหมั่นเพียรยิ่งขึ้นในกิจที่ตนกระทำอยู่ เพื่อให้กิจนั้นเป็นประโยชน์กิจแก่คนหมู่มาก ในอันที่จะบำรุงจิตใจของตนให้งามบริสุทธิ์ขึ้นเป็นนิจ

แต่ในการอยู่ใกล้ชิดกับประจิตร สุนทรีรู้สึกว่าใจของหล่อนแคบเข้า หล่อนคิดถึงสิ่งอื่น หรือผู้อื่นใดมิได้อีกนอกไปจากประจิตรและตัวหล่อนเอง หล่อนเป็นสุขมากชื่นบานมาก อิ่มเอิบมากในขณะนั้น แต่ภายหลังเมื่อหล่อนหวนกลับมาคิดถึงลักษณะแห่งจิตใจที่เปลี่ยนไป และพร้อมกับที่ประจิตรไปห่างจากหล่อน ความเศร้าก็เกิดขึ้น รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์นี้หยาบและตื้นเป็นวัตถุอันหนึ่ง เช่นเดียวกับวัตถุทั้งหลาย ซึ่งมีธรรมชาติต้องแตกดับแล้วก็ปนไปกับแผ่นดิน ไม่มีความหมาย ไม่มีค่า ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร มีแต่ความว่างเปล่าและความสูญ ซึ่งทั้งนี้ก็ไม่น่าที่มนุษย์จะมีความฝักใฝ่ไปในทางใด นอกจากการหาความสุขความสะดวกในการกิน การนอน การต่อพืชพันธุ์เช่นเดียวกับ ‘ชีวิต’ ทั้งปวงเป็นต้นว่าเดรัจฉาน....

สุนทรีรู้สึกตัวว่ามาถึงบ้านพระวนศาสตร์ฯ เมื่อได้ยินเสียงแหลมและเล็ก ๒-๓ เสียงร้องว่า “คุณพี่ คุณพี่มา”

“เอาอะไรมาฝากหนูมั่ง?” เด็กหญิงอายุ ๕ ขวบถามก่อนที่สุนทรีจะได้ลงจากรถ

“แหม ทวงของฝากก่อนทีเดียว ยายน้อย” พี่สาวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “เสียใจวันนี้ไม่มีอะไรมาฝาก คุณพ่อเป็นยังไงมั่งจ๊ะ?”

“คุณพ่ออยู่กะหมอ” เด็กชายอายุ ๘ ขวบตอบแล้วถามต่อไปโดยเร็ว “คุณจิตรไม่มาหรือครับ?”

“คุณจิตรมีธุระ มาไม่ได้”

แล้วสุนทรีจูงมือน้องผ่านเฉลียงตึกขึ้นไปชั้นบน ในระหว่างนั้นหล่อนถามอีก

“คุณแม่ของหนูอยู่ไหน?”

“อยู่ในครัว” เด็กหญิงตอบ

“พี่หวินกับพี่นงล่ะ?”

“ไม่รู้เขานี่จ๊ะ”

เมื่อมาใกล้ห้องที่อยู่ของพระวนศาสตร์ฯ เด็กชายก็ปล่อยมือพี่สาวเสีย ชิงเข้าประตูก่อนพร้อมกับพูดอย่างดังและตื่นเต้น

“พ่อครับ คุณพี่มา”

ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องนี้ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นสุนทรี ฝ่ายเจ้าหล่อนก็มีสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าเขาผู้นั้นคือนายแพทย์สุทัศน์

“นี่หมอมาเยี่ยมหรือหมอรักษาคะ?” หล่อนถามทันทีพร้อมกับยิ้ม

ในขณะที่หล่อนเข้าไปกราบท่านบิดาจนถึงตัว คุณพระตอบคำถามของหล่อนว่า

“ทั้งสองอย่าง แล้วยังแถมเป็นเพื่อนคุยอีกด้วย”

สุนทรีนั่งพับเพียบอยู่ตรงข้างเก้าอี้ที่บิดานอนนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้นายแพทย์สุทัศน์ทำท่าอึดอัดเล็กน้อย แล้วในที่สุดก็ลดตัวลงนั่งบนพื้นกระดาน พระวนศาสตร์ฯ จึงว่า

“อ้าว แล้วกัน สุนทรี ลงไปนั่งแปะอยู่อย่างนั้น หมอเลยต้องหักแข้งหักขา”

สุทัศน์ค้านโดยเร็ว “ไม่ถึงกับหักหรอกครับ” แล้วเขาพยายามนั่งพับเพียบ ขาพับไม่สนิท ตัวเอนดังจะโค่นเขาจึงใช้เก้าอี้เป็นที่ยัน

สุนทรียิ้มในหน้า นึกในใจว่า “ดีแล้ว หัดเสียมั่ง” แต่หล่อนพูดว่า “ก็นั่งเสียข้างบนเก้าอี้ก็แล้วกัน”

“ไม่เป็นไร” เขาตอบ “นั่งอย่างนี้ดีแล้ว”

สุนทรีถามถึงอาการของท่านบิดา ได้รับคำตอบอันไม่ทำให้เป็นที่น่าตกใจ กับทั้งแสดงว่าคนไข้ทุเลาลงมากแล้วด้วย นายแพทย์ยังกำชับอยู่แต่ว่าให้ระวังอาหารและพักผ่อนมากที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้กำลังแข็งแรงขึ้นจนเป็นปกติเท่านั้น

“แล้วทำยังไงถึงจะหายขาดได้คะ เจ้ามาเลเรียกับกระเพาะอาหารของคุณพ่อนี่น่ะ?” สุนทรีปรารภมองดูท่านบิดาก่อน แล้วมองไปทางนายแพทย์

สุทัศน์ยิ้มน้อยๆ มองไปทางคนไข้ของเขาแทนคำตอบ คุณพระจึงว่า

“หมอก็กำลังพยายามจะให้หายขาดให้ได้ แต่ตั้งข้อบังคับไว้ให้มากเหลือเกิน”

“อะไรมั่งคะ” หญิงสาวถามด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง

“ถามเขาดูซี” คุณพระตอบแล้วก็หัวเราะ

สุนทรีมองดูสุทัศน์ เขายิ้มอีกแล้วจึงว่า

“นอนหัวค่ำ ตื่นเช้า....”

“อุ๊ย !” เจ้าหล่อนอุทาน “มิน่าล่ะ คุณพ่อออกจะท้อแท้ แล้วอะไรอีกคะ?”

“รับประทานแต่อาหารที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายจริงๆ แล้วก็ฝืนรับประทานให้มากหน่อย”

“แหม ตายเลย ! ล้วนแต่ยากๆ สำหรับคุณพ่อทั้งนั้น”

“แล้วยังเกณฑ์ให้ออกกำลังอย่างน้อยวันละชั่วโมง” พระวนศาสตร์ฯ เสริม “จะให้ออกกำลังทำอะไรพ่อ เทนนิสก็ไม่ไหวเสียแล้ว กอล์ฟก็ไม่เคยชอบเลย แล้วก็ชั่วโมงเดียวไม่พอสำหรับเล่นกอล์ฟ”

“เดินซีครับ” สุทัศน์ตอบสีหน้ายิ้ม “ตื่นแต่เช้าแล้วก็ออกเดินเสียชั่วโมงหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็เวลาเย็น”

“อื้อ !” พระวนศาสตร์ฯ อุทานอยู่ในคอ “แถวบ้านฉันมันก็ไม่ค่อยจะน่าเดินเสียด้วย ฝุ่นรถยนต์ให้คลุ้งไป”

“ขึ้นรถไปเดินแถวบ้านลูกซีคะ” สุนทรีเสนอ

พอขาดคำเด็กหญิงที่นั่งอิงแอบหล่อนอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“เออ ดีๆ ! หนูไปด้วย”

สุนทรีก้มหน้าลงยิ้มกับน้อง แล้วพูดสืบไป

“ตื่นย่ำรุ่ง ก็แต่งตัวขึ้นรถ แล้วไปลงที่ถนนเงียบๆ เดินไปจนถึงบ้านลูก รับประทานอาหารเช้าเสียเลย แล้วก็ขึ้นรถกลับมาอาบน้ำ ไปกระทรวง หรือจะอาบที่บ้านโน่นแล้วรับประทานอาหารก็ได้”

คุณพระอมยิ้ม มองดูธิดา ในที่สุดก็ว่า

“อัตตะกิลมถานุโยค !”

สุทัศน์ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่เขาเดาได้ว่าน่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำ “โยกโย้” ด้วยนิสัยของแพทย์ผู้ปรารถนาจะชนะโรคยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ราวกับนิสัยของชายที่ทำอะไรทำจริง เขานึกอยากจะตำหนิคุณพระสักคำหรือสองคำให้หนักพอกับความออดแอดของท่าน หากเกรงต่อวัยวุฒิจึงยั้งปากไว้

ราวกับสุนทรีรู้ใจนายแพทย์ หล่อนพูดเป็นเชิงปรารภคล้ายจะแก้ตัวแทนบิดา

“เวลาเจ็บจะรักษาตัวให้หาย ใครๆ ก็หมั่นรักษาแต่พอหาย แล้วจะรักษาให้หายดีนี่โดยมากทำไม่ค่อยจะได้”

“จริง” พระวนศาสตร์ฯ รับทันที “เพราะยังงั้นฉันถึงต้องเปลี่ยนหมอบ่อยๆ เพราะว่าถ้าให้เขารักษาประจำเขาจะรู้แกวเสียแล้วเขาจะเบื่อ ทีหลังตามทีไรก็จะนินทาในใจ”

“ผมจะไม่เบื่อเป็นอันขาด” สุทัศน์เอ่ยขึ้นทันทีสีหน้าขรึมและขึงขัง แล้วนึกขำที่คนไข้รู้จักตัวของท่านดีก็หัวเราะพร้อมกับพูดสืบไป “ถึงใต้เท้าจะอิดออดในการรักษาตัว แต่ใต้เท้ารับตรงๆ ผมพอใจแล้ว ดีกว่าคนที่คอยซัดหมอข้างเดียวหลายร้อยเท่า”

“ขอบใจ” พระวนศาสตร์ฯ ตอบพร้อมกับยิ้ม

สุนทรีปรารภกับตัวเอง ว่าวันนี้ท่านบิดาของหล่อนค่อนข้างจะช่างพูดผิดธรรมดา แล้วนึกได้ต่อไปว่าดูเหมือนท่านจะร่าเริงสนุกสนานไปพักหนึ่งๆ ทุกคราวที่รื้อไข้ ครั้นภาวะแห่งร่างกายเป็นปกติดีแล้ว ก็กลับเป็นผู้ที่เฉยๆ ขรึมๆ อย่างเดิม เมื่อรู้สึกว่าท่านกำลังมีอารมณ์สนุกดังนี้แล้ว สุนทรีจึงฉวยโอกาสนินทาตัวท่านเองต่อหน้าท่านโดยทางอ้อม

“คุณพ่อจะว่ารับประทานง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เกลียดของฝรั่งเกือบทุกอย่าง นม เนย ไข่ไก่ ไม่ชอบทั้งนั้น กับข้าวฝรั่งก็ไม่ชอบรับประทาน”

พระวนศาสตร์ฯ มองดูธิดาอย่างเห็นขัน แล้วเบือนหน้าไปทางนายแพทย์พร้อมกับพูดแกมหัวเราะ

“เขาว่ากันว่าคนที่ศิวิไลซ์มากยิ่งชอบกินมาก อย่างคนฝรั่งเศสคนจีน เขารู้จักทำอาหารดีที่หนึ่ง แปลว่าชาติของเขามีความศิวิไลซ์ก่อนชาติอื่นทั้งหมด ดังว่าคนศิวิไลซ์น่ะเขาเสพอาหาร คือเขารู้จักรสรู้จักชาติ แต่คนที่ป่าเถื่อนน่ะ กินอาหารสักแต่ว่ายัดๆ เข้าไปพออิ่มท้อง ฉันเองน่ะยังเป็นพวกป่าเถื่อนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะดูเหมือนจะไม่รู้จักชอบกินอะไรเสียเลย”

“คุณพ่อชอบกล้วยยังไงคะ?” สุนทรีว่า

“นั่นแหละเป็นอาหารดีที่สุดเทียวครับ” สุทัศน์เอ่ยขึ้นทันที “กล้วยมีทุกอย่างที่ร่างกายต้องการ มีบริบูรณ์เสียยิ่งกว่าอาหารอื่นที่เรากิน กินกล้วยอย่างเดียวเท่ากับกินข้าว กินมัน กินผัก กินผลไม้หมดทุกอย่างรวมกัน ถ้าจะให้ดีก็รับประทานนมด้วย เพราะกล้วยมีธาตุปูนน้อยไปหน่อย”

“กินสุกหรือดิบ?” พระวนศาสตร์ฯ ถาม

“สุกครับ แต่ถ้าสุกไปละก็เสื่อมคุณภาพไปบ้าง”

“อ๋อ ก็แน่ ใครจะกินกล้วยเขียวๆ เข้าไปได้”

“ห่ามก็ไม่ดีครับ ทำให้ท้องผูก”

ในเวลานี้เอง นางวนศาสตร์โกศลเข้ามาในห้อง สีหน้าสุนทรีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถอยห่างจากเก้าอี้นอนท่านบิดา

“อ้อ ! แม่สุนทรี” ผู้ที่มาใหม่ทักเสียงดังก้องห้อง “มาเมื่อไหร่ไม่ยักรู้ คุณรับประทานข้าวหรือยังคะ? เกือบตี ๘ แล้ว คนเจ็บกินแล้วคนดีจะได้กินบ้าง ฉันทำซุปมักกาโรนีวันนี้ คุณหมออยู่รับประทานด้วยกันไหม? แม่สุนทรีล่ะ?”

“รับประทานค่ะ”

“อ้อ ! ตั้งใจมาแล้วหรือ แหม ! ยายน้อยนั่งเงียบจริง พอใจแล้วได้นั่งกอดคุณพี่ หมออยู่ด้วยนะ เออ ! เกือบลืมให้คุณรับประทานยาก่อนอาหาร นี่หมอยาจวนหมดแล้ว เหลืออีกไม่ถึงครึ่งขวด มะรืนนี้เอามาให้ใหม่นะ ยาเม็ดก็หมดไปเป็นกอง”

ในระหว่างพูด นางวนศาสตร์ฯ เดินไปมาด้วยกำลังจะรินยาและเตรียมน้ำให้สามี พร้อมทั้งหยิบขวดยาให้แพทย์ด้วย เมื่อส่งยาให้คุณพระก็ยังคงพูดเรื่อยต่อไป

“ฉันสั่งให้เขายกมาแล้วละ ข้าวตุ๋นดูเหมือนจะแฉะไปหน่อย เต็มทีนางแดงทำอะไรที่กะจะให้ถูกส่วนเป็นไม่มี สั่งให้ตวงทั้งน้ำทั้งข้าวมันไม่มีวันเชื่อเสียเลย เชื่อตามันเองมากกว่า เอ้า พุทโธ่ ! คุณรับประทานยาก็ให้เหลือติดก้นถ้วย น่าล้างถ้วยให้ทานเสียอีกเหลือเกิน แม่สุนทรี พ่อจิตรเขาไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ?”

สุนทรีเบือนหน้าไปทางบิดา พูดด้วยเสียงทั้งเบาทั้งช้า ผิดจากธรรมดาที่หล่อนเคยพูดเป็นอันมาก

“คุณประจิตรให้เรียนคุณพ่อว่า วันนี้มาไม่ได้เพราะติดนัดกับเพื่อนไว้เสียแล้ว ลูกบอกให้เธอทราบช้าไป เธอกลับตัวไม่ทัน”

นายแพทย์สุทัศน์มองดูหญิงสาว และสำเหนียกสำนวนที่หล่อนใช้ไว้ทุกคำ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ