ที่พักสำหรับนายอำเภอ คือบ้านที่ขุนจำนงพิทักษ์ราษฎร์อยู่นั้น อยู่บนตลิ่งลำน้ำสำคัญที่สุดของจังหวัด ตัวเรือนเป็นเรือนชั้นเดียวแต่ตั้งเสาสูงประมาณ ๓ วา และยกแคร่ไว้ใต้พื้นเรือนเป็นแห่งๆ ขนาดกว้างยาวพอเป็นที่เก็บวางของด้วย นั่งเล่นนอนเล่นด้วยได้สบายในฤดูแล้งเมื่อน้ำขอดก้นแม่น้ำ จะแลเห็นว่าเรือนนี้สูงโพนเพนอยู่บนตลิ่ง ซึ่งแห้งเกราะและแดงด้วยแดดเผา ในฤดูเมื่อน้ำเต็มฝั่งสภาพแห่งเรือนนี้ดูงาม เพราะตั้งอยู่จรดขอบฝั่ง ซึ่งมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม แต่ถ้าปีใดน้ำไหลบ่ามาจากทางเหนือมาก เขตบ้านนายอำเภอก็กลายเป็นที่ ตัวเรือนกลายเป็นเรือนชั้นเดียวที่คับแคบ เพราะพื้นที่ใต้ถุนเรือนมีสภาพเป็นใต้ถุนอันนองด้วยน้ำที่ขุ่นเป็นตม สรรพสิ่งของที่เคยวางอยู่กับพื้นต้องถูกยกขึ้นตั้งบนแคร่ ของที่ตั้งอยู่บนแคร่ต้องถูกยกขึ้นบนเรือน

วันที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ พาหลานสาวมาอยู่ด้วยนั้น อยู่ในปีที่ชาวจังหวัดนี้กล่าวกันว่า ‘น้ำมากอักโข’ เหตุฉะนั้นเมื่อรถจะเลี้ยวเข้าประตูที่พักนายอำเภอ ผู้ที่อยู่บนรถและเป็นผู้ใหม่ต่อเมืองนี้ ก็จะมีความคิดว่ายานที่ตนนั่งมาจะพาตนลงน้ำ ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นแว่บหนึ่งในสมองอันมึนตื้อของงามพิศ

อันความโทมนัสของบุคคล หากว่าได้เกิดขึ้นมากจนท่วมขีดที่จะแสดงออกด้วยกิริยาภายนอกแล้ว ก็กลับเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ทำความชาจนแข็งให้เกิดแก่จิตใจ งามพิศไม่มีความรู้สึกถึงเวลาอันยืดยาวที่ใช้ในการเดินทาง ไม่มีความรู้สึกถึงภูมิประเทศซึ่งตนไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน ไม่มีความรู้สึกถึงผู้ร่วมทาง ไม่มีความรู้สึกถึงบุคคลหน้าแปลกใหม่ ซึ่งพากันจ้องมองดูด้วยความทึ่ง ตลอดจนคำปราศรัยของลุงเขย หล่อนก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีน้ำหนักไปในทางใด

งามพิศรู้สึกตัวเป็นตัวขึ้นเมื่อหล่อนอยู่ในมุ้ง กำลังจะสวดมนต์ก่อนที่จะลงนอน เกิดความรู้สึกว่าห้องนี้ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง และสิ่งนั้นคือไฟฟ้าที่ข้างเตียง ซึ่งมืออันเคยชินของหล่อนจะต้องกดสวิทช์ให้สว่างก่อนที่จะพนมมือกราบพระ เพื่อว่าเมื่อสวดมนต์จบแล้ว เอนศีรษะลงกับหมอน มือข้างหนึ่งก็จะหยิบหนังสือขึ้นเปิดอ่านได้ทันที

ครั้นเมื่อรู้สึกตัวว่า ไม่มีไฟสำหรับจะเปิดอ่านหนังสือแล้ว ก็รู้สึกต่อไปว่าตนได้ถูกพรากจาก ‘หนังสือ’ มาเสียแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ‘หนังสือ’ กับตนจะต้องขาดกัน ชีวิตแห่งการศึกษาของตนขาดสะบั้นลงแต่บัดนี้ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกทั้งปวง ทั้งแสบ ทั้งร้อนในดวงใจ อาการคลุ้มคลั่งประดังกันขึ้นในอก หายใจไม่ทันกับความต้องการ งามพิศอ้าปากเตรียมพร้อมที่จะร้องออกมาให้สุดเสียง

แต่ในอึดใจเดียวกันนั้น มีแสงสว่างสลัวๆ ฉายเข้ามาในห้อง ด้วยมือของคุณป้า ซึ่งแง้มประตูออกแต่เบาๆ แล้วเดินเข้ามาข้างใน งามพิศหมอบลงกับหมอนโดยเร็ว แล้วค่อยๆ เหยียดเท้าออกในท่านอน คุณป้าชะโงกหน้าเข้ามาชิดมุ้ง พึมพำเบาๆ “หลับแล้วรึ” งามพิศบีบตาแน่นและนอนนิ่งที่สุดที่จะนิ่งได้ ได้ยินเสียงฝีเท้าคุณป้าเดินไปมาอยู่รอบมุ้ง ได้ยินเสียงแปะๆ เป็นเสียงประแป้ง ได้ยินเสียงพัดโบก มิช้าความนิ่งนั่นเองก็ทำให้งามพิศหลับไป

เมื่อหล่อนตื่นขึ้นในเวลาเช้า สมองและจิตใจของหล่อนมิได้เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ในตอนกลางคืนเมื่อก่อนหลับ ทั้งความบังคับตัว ซึ่งมีอำนาจหนักมากจนถึงกับทำตัวให้เหมือนเครื่องจักร ทั้งความเดือดร้อนกระวนกระวายซึ่งเผากรุ่นอยู่ภายใน ยังคงมีฤทธิ์อยู่เช่นเดิม ทั้งนี้เพราะความหลับแห่งภายนอกคือร่างกาย มิได้ทำให้ภายในคือจิตและสมองหลับลงด้วย โดยนัยนี้แม้ภายนอกซึ่งเป็นแต่เพียงวัตถุจะได้รับการพักผ่อนเพียงพอ ภายในซึ่งเป็นสภาวะไม่ขึ้นอยู่กับวัตถุใดๆ ได้โลดเต้นพลุ่งพล่านอยู่ในโครงร่างอันปราศจากสติ

ขณะแรกที่หล่อนลืมตาขึ้น ก็เห็นรูปจมูกของคุณป้าดุนผ้ามุ้งให้โป่งเข้ามาข้างใน เช่นเดียวกับเมื่อตอนกลางคืน แต่คราวนี้คุณป้าถามว่า “ตื่นแล้วรึ” แล้วท่านก็พูดต่อไปด้วยเสียงซึ่งเป็นคำสั่งมากกว่าจะเป็นคำแนะนำหรือเชื้อเชิญ

“ตื่นก็ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเสีย ขันอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง น้ำมีแล้ว ป้าตักไว้ให้เสร็จ”

ตามปกติ งามพิศเคยอาบน้ำในเวลาตื่นนอนเช้าเสมอ แต่เมื่อมีผู้สั่งให้ล้างหน้าเจ้าหล่อนก็ทำตาม

เมื่อหล่อนใช้แป้งลูบๆ ไปตามพื้นหน้าพอสักแต่ว่าได้ทาแป้งและหวีผมแล้วใช้คลิ้บสองอันกลัดไว้พอกันรกหน้า คุณป้าพูดว่า “ล้างหน้าแล้วละก็เก็บที่นอนหมอนมุ้งของตัวเองเสียด้วยนะ”

งามพิศหันมาทางเบื้องหลัง เห็นมุ้งกางอยู่ข้างฝาห้อง เกิดความรู้สึกเป็นครั้งแรกในเช้าวันนี้ ว่านั่นคือที่ๆ ตนนอนเมื่อตอนกลางคืน ที่นอนปูอยู่บนเสื่อเหนือพื้นห้อง มิใช่ปูอยู่บนเตียงดังที่ตนเคยนอนเมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ

งามพิศเข้าในมุ้ง ตั้งต้นพับผ้าห่ม เสร็จแล้วเลิกผ้าปูที่นอนขึ้นพับ ช่วงแขนสองข้างของหล่อนยาวกว่าส่วนความกว้างของมุ้ง คุณป้าเห็นมือที่กระตุ้นผ้ามุ้งให้โป่งออกมาบ่อยๆ ก็ทักว่า

“ทำไมไม่แก้มุ้งเสียก่อนจะได้ไม่เกะกะ”

หล่อนวางผ้าปูที่นอน ออกจากมุ้งไปปลดสายมุ้งจากตะปูทั้งสี่มุม แล้วก็ตั้งท่าจะพับมุ้งตามสติปัญญาของหล่อน คือตอนต้นทีเดียว พยายามจะพับด้านยาวเป็นสองทบตามวิธีที่พับผ้าชนิดอื่นทั่วไป แต่มุ้งมิใช่ผ้าที่มีแต่ส่วนยาวและส่วนกว้าง มุ่งมีส่วนสูงด้วยอีกส่วนหนึ่ง คุณป้าผู้ซึ่งกำลังจะออกประตูไปอยู่แล้ว กลับหยุดชะงักหันกลับมาทักว่า

“เอ ! ลูกคนนี้พับมุ้งก็ไม่เป็น”

คำนี้แทงใจงามพิศโดยแรงเป็นครั้งแรกในระยะ ๒๔ ชั่วโมง ที่หล่อนเกิดความรู้สึกเพราะการกระทบจากสิ่งภายนอก เกิดความอายแล้วประหม่า จนไม่คิดที่จะใช้สติปัญญาหาวิธีให้ดีขึ้น แล้วฮึดฮัดอยู่ในใจ คุณป้าหัวเราะและตรงเข้าจับหูมุ้งข้างที่อยู่ในมือของหลานสาว ปากพูด “ดูไว้นะ เขาพับกันยังไง?” มือก็พับมุ้งที่งามพิศโทษว่าใหญ่โตเกินกำลังแขนของหล่อน มิช้าก็เสร็จเรียบร้อย มีขนาดกว้าง ยาว หนา เท่ากับผ้าห่มนอนนั่นเอง

เสร็จจากการเก็บที่นอนหมอนมุ้ง คุณป้าเรียกงามพิศให้รับประทานอาหาร อาหารนั้นมีข้าวต้มและกับสามจาน งามพิศไม่สนใจในอาหารแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นลูกหนำเลี้ยบผัด หล่อนรู้สึกปลาบในใจเป็นคำรบสองในเช้าวันนี้

ด้วยเหตุใด? เพราะเหตุที่ว่าลูกหนำเลี้ยบเคยเป็นกับข้าวต้มในเวลาเช้าที่บ้านเก่าของหล่อน เพราะเหตุที่ว่าบิดาของหล่อนชอบกับชนิดนี้ และเพราะเหตุที่ว่าหล่อนเองไม่รู้จักที่จะหัดทำตัวให้รับประทานกับชนิดนี้ได้เลย แล้วงามพิศนึกถึงคำท่านบิดาและมารดาของหล่อนเคยปรารภต่อกัน นึกขึ้นเองโดยมิได้ตั้งใจในสมองอันมึนชาคล้ายกำลังฝัน แต่เห็นภาพและจำคำได้เหมือนกับได้เห็น และได้ยืนอยู่เฉพาะหน้าบัดนั้น มารดากล่าวว่า “ลูกคนนี้หัดยากเหลือเกิน กระทั่งจะหัดให้กินก็ไม่ค่อยยอมเชื่อ” และบิดากล่าวตอบ “บทมันจะเป็น มันเป็นของมันเอง”

ลุงเขยนุ่งโสร่ง ใส่เสื้อชั้นใน นั่งอยู่เบื้องขวา คุณป้านุ่งผ้าลาย ใส่เสื้อชั้นในเหมือนกัน นั่งอยู่เบื้องซ้าย พูดว่า “เออ ! กินข้าวได้มากดีจะได้อ้วน” งามพิศจึงนึกได้ว่าตนกำลังจะปล่อยให้คุณป้าตักข้าวต้มให้เป็นทัพพีที่สาม

รับประทานแล้ว คุณป้าลุกจากที่เก่าไปนั่งที่เฉลียง ชวนงามพิศให้ไปนั่งด้วยโดยคำว่า “มานั่งเล่นทางนี้แน่ะ ยกเชี่ยนหมากของป้ามาด้วย”

งามพิศยกเชี่ยนหมากไปตั้งให้ แล้วก็เหลียวหาที่นั่ง คุณป้ามองดู คอยจะให้หล่อนทำอย่างอื่นก่อน ครั้นเห็นหล่อนไม่ทำจึงว่า

“ลูกคนนี้ให้เรือไม่ให้พาย”

‘เรือ’ หมายถึงเชี่ยนหมาก เพราะฉะนั้น ‘พาย’ ย่อมหมายถึงกระโถน แต่งามพิศไม่เข้าใจทั้งสองคำ คุณป้าจึงต้องแปล

“เอากระโถนมาด้วยซียะ”

มองจากระเบียงเรือน จะเห็นถนนสายยาวผ่านหน้าบ้าน เห็นที่ว่าการอำเภอ เห็นอาราม เห็นตัวโรงเรียนซึ่งอยู่ในเขตอาราม คนละฝั่งถนนกับที่พักนายอำเภอ หน้าตัวโรงเรียนมีที่กว้างใหญ่สำหรับเป็นที่เด็กเล่น เป็นลานดินซึ่งมีหญ้าขึ้นหรอมแหรมและบางแห่งเป็นหลุมเป็นบ่อ มีน้ำขัง เด็กนักเรียนเดินมาจากถนนอื่นก็มี ผ่านถนนสายหน้าบ้านนายอำเภอก็มี หย่อยกันมาทีละหมู่น้อยๆ หมู่ละสามคนบ้าง สี่คนบ้าง ตลอดจนถึงแปดคน และที่ใช้จักรยานสองล้อก็มี นั่งจักรยานสามล้อคันละ ๒-๓ คนก็มี บ่ายหน้าไปยังโรงเรียน บางคนร่าเริงพูดคุยหัวเราะเฮฮา บางคนขรึมแต่แจ่มใส บางคนเคร่งเครียดแต่สีหน้าชื่นบาน บางคนซนมาก เดินไม่ตรงทาง ส่ายไปมาดังงูเลื้อย งามพิศมองดูเด็กเหล่านั้นอยู่นาน มองอย่างเพ่งเล็ง มองทั้งหน้าทั้งตัวทั้งกระเป๋าหนังสือในมือเด็ก ครั้นแล้วเกิดความคิดขึ้นในสมอง เป็นเนื้อความที่ชัดเจนและซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ เนื้อความเดียว “เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน”

กรุ๊ก กรุ๊ก กรู๊ กรุ๊ก ! กรุ๊ก กรุ๊ก กรู๊ กรุ๊ก ! เสียงนกเขาขันอยู่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งงามพิศคิดอยู่ว่า “เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน หมู่นั้นสองคน หมู่นี้ห้า อ๊ะ! ไม่ใช่สี่เท่านั้น หมู่โน้นเจ็ด เด็กพวกนั้นกำลังจะไปโรงเรียน”

ขุนจำนงฯ เดินมาจากกรงนกเขา พูดแก่ภรรยาว่า

“ไม่พาหลานไปเที่ยวตลาดมั่ง แม่เชย?”

“ฉันว่าจะไม่ไปนะวันนี้” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “เมื่อยมาจากกรุงเทพฯยังไม่หาย สั่งให้นางแหววซื้อกับข้าวเสร็จแล้ว หรือคุณจะเอาอะไร?”

“เปล่า ! ไม่เอาหรอก แต่เห็นว่าแม่งามพิศแกมาถึงใหม่ๆ เผื่อแกอยากจะเที่ยว”

“ไปหรือ ไปเที่ยวตลาด?”

เที่ยว? เปล่าเลย งามพิศไม่อยากเที่ยวเป็นอันขาด สิ่งที่หล่อนอยากนั้นคือ ไม่ทำอะไรเลย ! ไม่ทำ....ไม่พูด....ไม่คิด โอ ! ไม่คิด! ไม่คิด ! ไม่คิด ! ให้สมองอยู่เฉย ให้จิตใจตายด้าน ให้ร่างกายปราศจากความรู้สึก แต่เมื่อคุณป้าถามว่า “ไปหรือ ?” หล่อนก็ต้องตอบว่า “ไปค่ะ”

โรงสังกะสีมีแต่หลังคา ฝาไม่มี ยาวประมาณสองเส้นเศษ กว้างประมาณ ๑๒ วา ยกพื้นเป็นร้านๆ สูงระหว่างศอกหนึ่งกับสองศอก กับห้องแถวหลังคาสังกะสีปลูกติดต่อกันเป็นแถวยาว หันหน้าเข้าประจบโรงสังกะสีทั้งสองแถว คือตลาดที่งามพิศ ‘ไปเที่ยว’ ตลาดแท้คือร้านที่อยู่ในโรงสังกะสีนั้นออกขายเป็นเวลา คือเวลาเช้าผู้ขายเป็นไทยมากกว่าจีน และไทยที่ขายอยู่เป็นหญิงทุกคน ส่วนตลาดข้างเคียงคือห้องแถวยาวนั้น เปิดร้านขายตลอดวัน ตั้งแต่เช้าจนกลางคืน บางร้านเปิดจนถึงเที่ยงคืนล่วงแล้ว ทุกๆ ร้านมีจีนเป็นเจ้าของ

ทางเดินในตลาดทั้งสองเป็นดินปนทราย แต่บาทวิถีตามหน้าห้องแถวเป็นอิฐปนดิน เด็กเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่เกรียวกราว ที่เล็กลงไปอีกดูเขาเล่นบ้าง เดินหรือคลานเตาะแตะตามหน้าร้านบ้าง ส่วนมากที่สุดของเด็กเหล่านี้เปลือยกายล่อนจ้อน หรือมิฉะนั้นก็ผูกเอี๊ยมหรือสวมกางเกง ไม่ยอมเปียก บางคนมีขนมอยู่ในมือ ครั้นเกิด ‘ทุกข์’ ขึ้นมาก็ถ่าย ‘ทุกข์’ ลงตรงบาทวิถี นางซิ้มที่เป็นมารดาวิ่งมาถึง ฉวยปีกสองข้างนิ้วเข้าไปในร้านพลางส่งเสียงขรม เด็กน้อยตกใจร้องไห้ เด็กอื่นๆ เห็นเป็นของขัน ชี้ให้เพื่อนดูแล้วก็หัวเราะ

งามพิศตามหลังคุณป้าไปตามทางเหล่านี้ เดินบ้าง หยุดบ้าง แล้วแต่คุณป้าจะนำ มองดูของต่างๆ ที่วางขายแขวนขาย โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าเป็นของชนิดใด ชาวร้านพากันมองดูหล่อนอย่างทึ่ง เพราะในต่างจังหวัดนั้น ทุกคนย่อมรู้จักว่าใครเป็นใคร เมื่อเห็นคนหน้าใหม่เขาก็พากันอยากรู้ใหม่อีก

ตอนกลางวัน ที่บ้านขุนจำนงฯ ไม่มีการรับประทานข้าว ใช้แต่ของว่างที่แม่ค้าพ่อค้าหาบมาขาย เช่นขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ เป็นอาหาร และงามพิศก็รับประทานอาหารอย่างเดียวกับที่คุณป้ารับประทาน เพราะเหตุที่คุณป้าได้ถามหล่อนว่า “กินนี่ไหม?”

ตอนเย็นมีแขกมาหาคุณป้า คุณป้าพาแขกไปที่ระเบียงเรือนโดยมิได้เรียกหลานสาวไปด้วย งามพิศรู้สึกเหมือนกับว่าถูกจองจำอยู่ แล้วเครื่องจองจำนั้นขาดหลุดไป แต่พร้อมกันนั้นก็ให้งุนงง มิทราบจะทำอะไรกับตัวเอง หรือจะให้ตัวเองทำอะไร ที่ร้ายที่สุดนั้นหล่อนรู้สึกว่า พอห่างจากคุณป้า สมองของหล่อนก็ตั้งต้นคิด และการคิดนั้นหล่อนเข็ดคร้ามอย่างที่สุด มิอยากที่จะให้เกิดขึ้นอีก

ลุกจากที่นั่งเก่าไปยืนเท้าลูกกรงที่หลังเรือน เสียงนกเขาขันอยู่ในที่ใกล้ เสียงเดียวกับเมื่อตอนเช้าคล้ายกับว่าไม่ได้หยุดขันเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนเย็น....ต้นอะไรหนอ โตใหญ่ขึ้นอยู่ที่ริมฝั่งน้ำฝูงนกนับร้อยบินขึ้นบินลงอยู่รอบๆ ส่งเสียงดังจอแจ...นั่นนกอะไรโดดไปโดดมาอยู่บนพื้นดิน แล้วบินแฉลบหายไปทางทิศหนึ่ง นี่ก็อีก บินมาเป็นคู่ๆ จะพากันไปไหน...? นกเอ๋ยนก ตัวเจ้านิดเดียว ปีกเจ้ากล้า ขาเจ้าแข็ง เจ้านึกจะร้อง เจ้าก็ร้อง เจ้านึกจะเต้นเจ้าก็เต้น เจ้านึกจะบินเจ้าก็บิน เจ้าได้ความอิสระมาด้วยบุญใด ? เรือลำเล็กๆ มีคนนั่งพอสมขนาดลอยไปตามสายน้ำ ผู้ชายนั่งหัว ผู้หญิงนั่งท้ายคอยคัดคอยวาด เด็กนั่งกลางเหยียดเท้าไปทางพ่อ แต่เบือนคอมาทางแม่ พ่อแม่ลูกเขาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า สุขหรือทุกข์ มีหรือจน เขาก็ยังได้เห็นหน้ากัน แต่งามพิศนั้นไม่เห็นหน้าใครเลย

กู้ฮุกกู ! กู้ฮุกกู ! เสียงนกเขาขัน ! อ้อ ! เจ้านกเขาขัน เจ้าก็ขันได้ บินเจ้าก็บินเป็น เจ้าทำบาปอันใดไว้เล่าจึงมาต้องถูกกักขัง แพไม้ไผ่หันรีหันขวางมาจากทางใต้ คนถ่อเขาจะถ่อเจ้าขึ้นบน แพเอ๋ยมารับเราไปด้วย ถึงแดดร้อน น้ำเชี่ยว ลมกล้า พายุพัด น้ำค้างพรม ฝนตก เราก็จะขอไปกับเจ้า

กู้ฮุกกู ! กู้ฮุกกู ! อ้อ ! เจ้านกเขา ขนเจ้าก็งาม เสียงเจ้าก็เพราะ ปีกเจ้าก็กล้า ขาเจ้าก็แข็งเหมือนนกอื่น ทำไมเล่าเจ้าจึงบินร่อนไปมาไม่ได้เหมือนเขา.....อ้อ ! เขาจับเจ้ามาขังไว้ เพราะเจ้าขัน เพราะ เจ้าทำเวรอันใดไว้เล่าจึงมีความสามารถอันเป็นภัยแก่ตัว ? และที่อยู่ของเจ้าก็สูง ที่กินของเจ้าก็ใหญ่ เหตุใดเจ้าถึงมาถูกขังอยู่ในกรง

กรุ๊ก กรู๊ กรุ๊ก ! กรุ๊ก กรู้ กรุ๊ก เจ้านกเขา เจ้าคูหาใคร? หาพ่อหรือหาแม่ หรือหาพี่น้องหาสหาย? เจ้านกเขา เจ้าจะคูไปไย ให้เปลืองเสียง เจ้าก็เหมือนกับเราถึงจะเรียกจนคอแหบ ถึงจะร้องจนเสียงหลง ถึงจะสะอื้นจนสายตัวขาด เจ้าก็แหกกรงออกมาไม่ได้.....

พ่อ ! งามพิศรู้สึกดังใจจะขาดลงบัดนั้น เมื่อเกิดความคิดขึ้นอย่างแจ่มแจ๋วขึ้นเป็นครั้งแรกว่า การเสียไปซึ่งบิดาทำให้หล่อนสิ้นหวังที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามความปรารถนาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พ่อ ! พ่อถูกเขาฆ่า !...อ้ายคนนั้น...ขอให้มันตกนรกร้อยชาติพันชาติ อย่ารู้ผุดรู้เกิด.....

“แม่พิศ... เย็นค่ำยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? อะไรต้องให้ป้าเตือนไปเสียหมดทุกอย่าง....”

วันล่วงไปอีกวันหนึ่ง แล้ววันที่สอง ที่สาม ที่สี่ก็ล่วงตามไป งามพิศก็คงเป็นงามพิศในวันแรก ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เช้าขึ้นหล่อนก็เก็บที่นอนหมอนมุ้ง แล้วรับประทานข้าวต้ม แล้วย้ายจากที่รับประทานไปนั่งทางเฉลียงหน้าเรือน เด็กนักเรียนก็เดินมาเป็นหมู่ๆ งามพิศก็มองดูราวกับดูภาพยนตร์หรือละครที่กินใจอย่างสุดซึ้ง ในเวลาที่ตาดูเจตสิกของหล่อนหวนนึกเห็นภาพศึกษาในมหาวิทยาลัย เห็นท่าอาจารย์ที่แสดงปาฐกถา เห็นความสว่างกระจ่างแจ้งที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสูง เห็นตัวเองเขม้นขะมักจดปาฐกถาที่อาจารย์แสดง เห็นความใส่ใจอย่างยิ่งในสิ่งที่ตนได้ยินใหม่ได้ฟังใหม่ บางคราวเจตสิกถอยหลังไปไกลกว่านั้น งามพิศเห็นห้องเรียนที่เคยเรียนในสมัยเมื่อยังเป็นนักเรียนสามัญ เห็นการซุกซนของเพื่อนและของตัวเองในเวลาที่เกิดความเบื่อในบทเรียน เห็นความเบิกบานในเมื่อมีความเข้าใจในบทเรียนใหม่อย่างแจ่มแจ้ง แล้วจะทำงานที่ได้จากบทเรียนนั้นได้อย่างถูกต้อง เห็นความเกียจคร้านที่จะต้องทำงานระคนกับความดีใจที่จะได้พบเพื่อนฝูงในวันโรงเรียนเปิด เห็นความดีใจที่จะได้พักผ่อน และเศร้าใจที่จะต้องห่างเพื่อนฝูงในวันปิดเทอม

เมื่อเจตสิกของงามพิศเห็นตนเองและเพื่อนๆ เป็นอย่างไร ก็ยกเอาข้อที่เห็นนั้นไปใส่ใจเด็กที่เดินเป็นหมู่ เกิดความเชื่อว่าตนเองที่เคยเป็นเด็ก เคยมีความรู้สึกเช่นไร เด็กเหล่านี้ผ่านมาที่จะเติบโตขึ้นมาเท่าตน ก็คงมีความรู้สึกเช่นนั้น แล้วก็เกิดความรักต่อหมู่มนุษย์เล็กๆ ซึ่งตนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขาประดุจเป็นสหายสนิทสนมมานมนาน

วันหนึ่ง เมื่องามพิศลุกจากที่รับประทานอาหารมานั่งกับคุณป้าทางหน้าเรือน หล่อนไม่เห็นนักเรียนเดินผ่านมาเหมือนเช่นเคย นั่งอยู่ต่อไปจนสาย เด็กเหล่านั้นก็ยังคงไม่ผ่านมา งามพิศก็เศร้าสร้อยประดุจว่าส่วนแห่งความสุขอันมีอยู่เป็นจุดน้อย ในความรันทดอันใหญ่หลวงนั้นได้ขาดลอยไปเสียอีกส่วนหนึ่งด้วยแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตใจของมนุษย์จำเป็นจะต้องมีที่ยึดอันเป็นที่เย็นคือ เมื่อยึดอยู่แล้วก็ไม่ต้องรับการทรมานจากการยึดนั้น จิตใจของผู้ที่ยังไม่ถึงชราภาพย่อมมี ‘ความหวัง’ เป็นที่ยึด คือยึดเอาอนาคตกาล ซึ่งตนคาดว่าจะนำความสำเร็จผล หรือความสุขมาให้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่น ส่วนจิตใจของผู้ที่ชราแล้วย่อมมี ‘ความจำ’ เป็นที่ยึด คือยึดเอาการกระทำและความเป็นอยู่ที่ดีของตนในอดีต เป็นเครื่องระงับความขุ่นมัวในปัจจุบัน ส่วนงามพิศเล่าว่า น่าอนาถหนักหนานัก อายุเพิ่งจะจากความเป็นเด็กเข้าสู่ความเป็นสาวทั้งร่างกายและจิตใจ กำลังก้าวหน้าไปสู่ความเจริญขึ้น และยังจะเจริญไปเช่นนี้ได้อีกนาน หล่อนต้องมาตั้งต้นใช้ ‘ความจำ’ เป็นที่ยึดเสียแต่บัดนี้แล้ว ‘ความหวัง’ ทั้งมวลของหล่อนขาดสะบั้นแหลกลาญจนไม่มีชิ้นดี

หลังจากที่ได้เล่าเรียนศึกษา จนเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงในทางนี้ ตลอดจนได้พบปะวิสาสะกับผู้ที่รุ่งโรจน์ไปด้วยวิชา แล้วตนเองก็พลัดมาอยู่ในหมู่ชนซึ่งมีสภาพความเป็นไปแสดงชัดว่าเขาไม่มีความคิดนึกถึงสิ่งอื่น นอกไปจากสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตประจำวัน ทั้งไม่มีช่องทางอันใดเลยที่จะพาตนกลับไปสู่สมาคมที่ตนจำต้องละไว้เบื้องหลัง งามพิศก็มีแต่จะเกลียดกลัวอนาคตกาลอันมืดดำ ซึ่งถ้าหล่อนเพ่งเล็งหนักขึ้นเท่าใด ก็จะเกิดความเศร้าแสยงหนักขึ้นเท่านั้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ