๑๑
บ้านที่นายประพันธ์เช่าอยู่รวมกับเพื่อนนั้น ประกอบด้วยตัวเรือนขนาดเล็ก ห้องครัวปลูกห่างจากตัวเรือน และพื้นดินข้างเรือนกว้างยาว ๕-๖ ตารางวา ตัวเรือนแบ่งออกเป็นสองหลัง มีระเบียงติดต่อกับบันได เหมาะแก่การที่จะใช้เป็นที่รับแขก ประจิตรได้พาสุนทรีขึ้นไปนั่ง ณ ที่นี้ โดยมิได้มีผู้หนึ่งผู้ใดฝ่ายเจ้าของบ้านแนะนำหรือเชื้อเชิญ หนุ่มสาวทั้งสองนั่งอยู่เกือบ ๕ นาที ประพันธ์จึงออกมาจากห้อง
การที่ต้องคอยเจ้าของบ้านเป็นเวลาเท่าที่กล่าวแล้ว ในเมื่อตนเองมาถึงตรงเวลานัดมิได้คลาดเคลื่อน แม้แต่เพียง ๑ วินาที ทำให้ประจิตรอึดอัดใจ เหตุฉะนั้นพอเห็นตัวประพันธ์ เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า
“นึกว่าไม่พบเสียอีกแล้ว”
เพราะเหตุที่ในที่นั้นมีเก้าอี้อยู่เพียงสองตัว และฝ่ายเจ้าของบ้านก็มีท่วงทีเหมือนมิรู้ที่จะทำท่าไรถูก ประจิตรจึงลุกจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ แล้วเลื่อนเก้าอี้นั้นให้ประพันธ์
ประพันธ์จับเก้าอี้หันอยู่ขณะหนึ่ง แล้วในที่สุดก็นั่งลงบนเก้าอี้นั้น
สุนทรีพิศดูหนุ่มน้อย เห็นเขาเป็นผู้มีรูปสมบัติพอตัว อย่างที่จะนับว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งก็ได้ และผมของเขาหยักศกเป็นลอน อย่างที่ผู้หญิงควรจะนึกอิจฉา แต่ท่าทางของเขามีลักษณะเหลือที่จะอธิบายได้ถูก ถึงกับทำให้สุนทรีประหม่า หล่อนจึงรีบถามขึ้น
“เธอได้รับจดหมายที่คุณประจิตรฝากไว้ให้เธอแล้วไม่ใช่หรือ?”
ประพันธ์ตอบแกมหัวเราะ
“ได้แล้ว”
เขาไม่รู้ตัวว่าเหตุใดเขาจึงหัวเราะ ฝ่ายผู้เป็นแขกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ข้อขำในคำพูดอยู่ที่ตรงไหน อยู่ที่คำถามหรืออยู่ที่คำตอบ สุนทรีมองดูประจิตร เขาทำหน้าพิกล แล้วก็ถอยไปยืนพิงลูกกรง เจ้าหล่อนจึงพูดสืบไป
“เราอยากทราบเรื่องน้องสาวของเธอ แกอยู่ที่นี่หรือที่ไหน?”
“ไปอยู่หัวเมืองแล้ว” แล้วประพันธ์บอกชื่อจังหวัดที่งามพิศอยู่ ด้วยน้ำเสียงหัวเราะเช่นเดียวกับคราวก่อน
“ไปอยู่กับใคร?” สุนทรีถาม
“คุณป้าเอาไปอยู่ด้วย” น้ำเสียงมิได้ผิดกับตอนต้น
ประจิตรเกิดความเดือดดาลในน้ำเสียงของประพันธ์ จวนเจียนจะต้องถามว่า “หัวเราะอะไร?” แต่สุนทรีรู้สึกทั้งขันและสมเพช หล่อนพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลยิ่งขึ้น
“แกสมัครไปหรือ หรือว่าแกจำเป็นจะต้องไป?”
“ก็ไม่ค่อยสมัคร” ตอบแกมหัวเราะอีก
“ขอโทษที่เรามานั่งซักเธอยังงี้ แต่....เรา....คุณประจิตรกับฉันถือว่าเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้......เธอเดือดร้อน ก็อยากทราบเรื่องให้ละเอียดหน่อย เผื่อว่าเราจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ได้ยินว่าน้องสาวของเธอกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ?”
“ก็กำลังเรียน” อาการหัวเราะยิ่งมากขึ้น
“อ้าว ! แล้วไปอยู่หัวเมืองเสียก็ไม่ได้เรียนน่ะซี”
“ก็ไม่ได้เรียน”
“ก็แล้วยังไง?” น้ำเสียงสุนทรีแข็งขึ้นเล็กน้อย “เป็นยังไงถึงต้องไปอยู่หัวเมือง? แกไม่เสียดายวิชาของแกที่เรียนค้างไว้หรือ?”
คราวนี้ประพันธ์ตอบโดยไม่หัวเราะ
“แกก็ร้องไห้เวลาจะไป แต่คุณป้าจะเอาไป”
“ก็ทำไมถึงเอาไปล่ะ? เด็กกำลังเรียน แล้วทำไมเธอถึงปล่อยให้น้องไป?”
“ก็กรุงเทพฯ ไม่มีใคร” เสียงหัวเราะเริ่มปนกับคำพูด
“ก็มีเธออยู่ทั้งคน ยังไงเธอก็โตแล้ว ปกครองน้องไม่ได้หรือ”
“ก็คุณป้าไม่ให้อยู่”
“ตายจริง !” สุนทรีอุทานด้วยความอัดใจ จนปัญญามิรู้จะใช้คำถามแบบไหน เพื่อให้ประพันธ์ตอบเป็นเรื่องราวดีกว่าที่ตอบแล้ว แล้วก็เกิดความสงสัยว่าการที่ตนมานั่งซักถามเรื่องราวของบุคคลผู้หนึ่งที่ตนไม่ได้เคยได้รู้จักแม้แต่สักน้อย เพราะเธอกังวลถึงทุกข์สุข การได้การเสียของเขาผู้นั้น อาจจะเป็นการกระทำที่วิกลวิกาลควรที่คนทั้งหลายจะเห็นขันละกะมัง พอดีกับประจิตรเอ่ยขึ้นว่า
“เห็นจะพอแล้วเธอ กลับกันทีเถอะ อย่ารบกวนคุณประพันธ์ให้มากกว่านี้เลย” ครั้นแล้วโดยไม่สนใจต่อการมองอย่างขอร้องผัดผ่อนของสุนทรี เขายกมือไหว้ประพันธ์อย่างที่เรียกว่า ‘ไหว้ท่วมหัว’ พร้อมกับพูดว่า “ผมลาละครับ ขอโทษที่ได้มารบกวนคุณ” แล้วเขาก็ลงบันไดไป
สุนทรีลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า
“เธอได้ข่าวคราวจากน้องสาวมั่งหรือเปล่า? ตั้งแต่แกไปหัวเมืองแล้วแกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ประพันธ์นิ่งไปครู่จึงตอบ
“ก็ได้เหมือนกัน”
“แกเป็นยังไงมั่ง สบายดีหรือ?”
เขามีอาการลังเลอีก ก่อนที่จะบอกว่า
“ก็เรื่อยๆ อยู่ยังงั้นเอง”
สุนทรีใช้ความคิดอยู่ขณะหนึ่ง ซึ่งไม่เกิดผลอันใดเลย นอกจากจะทำให้หล่อนพูดว่า
“ถ้าเธอมีธุระอะไร ไปหาฉันที่บ้านก็ได้ หรือเขียนจดหมายไปก็ได้ อย่าคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าฉันช่วยเธอได้ฉันจะช่วย ฉันชื่อสุนทรี” แล้วหล่อนบอกตำบลที่อยู่ของหล่อนแก่เขาโดยละเอียด อีกทั้งกำชับให้เขาจดตำบลนั้นไว้ด้วย
สุนทรีลงบันได เมื่อถึงขั้นสุดท้าย หล่อนอดที่จะหันกลับไปมองดูประพันธ์หาได้ไม่ จึงเห็นเขานั่งกัดเล็บอยู่ในที่เดิม แม้กระทั่งเมื่อหล่อนขึ้นนั่งบนรถ แล้วมองไปก็ยังเห็นเขาอยู่ในอิริยาบถนั้น
“ผีทะเล ! บ้าระยำ !” ประจิตรบ่นเมื่อรถพ้นประตูบ้านมาแล้วกำลังแล่นอยู่บนถนนซอยเล็กซึ่งเฉอะแฉะเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีขนาดกว้างพอดีกับคันรถ “ไอ้ถนนก็บ้าพออยู่แล้ว ไอ้คนยังบ้ามากไปกว่า”
“แกประหม่ามากเหลือเกิน จนฉันพลอยประหม่าไปด้วย”
“ประหม่า” ประจิตรทวนคำ ทำหน้าจึงมองดูคู่สนทนาราวกับเจ้าหล่อนเป็นตัวประพันธ์ “ประหม่าอะไรพูดคำหัวเราะคำ แหม! ไอ้คนพูดแบบนี้มันน่าถีบเหลือเกิน ยังงี้ไปพบคนอย่างคุณพ่อเข้าเป็นได้เรื่องแน่ มันเข้าแบบไอ้พวกหยิ่งแกมทะลึ่งไม่มีผิด”
“พุทโธ่ ! ไม่ใช่ยังงั้นหรอก แกประหม่าน่ะ แล้วแกพยายามจะซ่อนความประหม่าของแก ก็เลยเป็นอย่างนั้น แกเห็นเราเป็น.... เอ๊ะ ! ไม่รู้ว่าจะเดาว่ายังไง ก็เธอพบแกเมื่อก่อน แกเป็นอย่างนี้หรือเปล่า?”
“พบทีไรก็เป็นอะไรอย่างหนึ่งเสมอ บอกไม่ถูกว่าเป็นยังไง บ้า ! บ้าระยำ !”
“อะไรก็ช่าง ทีนี้เราเลยไม่ได้รู้เรื่องยายน้องสาวกัน เธอก็เร่งจนพูดอะไรไม่ถูกหมด”
“ก็จะพูดอะไรอีกล่ะ ที่พูดมาแล้วยังไม่พออีกหรือ?”
“พออะไร เรายังไม่ทันรู้เลยว่าทำไมยายหนูนั่น แกถึงต้องไปอยู่กับคุณป้า”
“ก็พี่เขาบอกแล้วยังไงว่าทางกรุงเทพฯไม่มีใคร ป้าเลยเอาไปเสียด้วย”
“โธ่ ! มันไม่ยุติธรรมแก่เด็กเลย” สุนทรีบ่นเสียงละห้อย “พอที่แกจะได้เล่าเรียนวิชาไว้ช่วยตัวแกเวลาข้างหน้า พ่อเชื้อก็ยิ่งไม่มี นี่เลยถูกตัดหนทางหมด”
สีหน้าประจิตรแสดงว่าเขาอึดอัดอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดเขาพูดว่า
“ดีแล้วหละไม่ได้เรียนแหละดี จะได้หาผัวง่ายๆ”
สุนทรีมองดูหน้าเขา ขยับปากจะแย้ง แล้วหวนนึกว่าเขากำลังพื้นเสีย หากจะพูดให้มากความไป อาจจะกลายเป็นเรื่องอย่างเมื่อวานซืนขึ้นได้ จึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไรทั้งหมด