๑๓

สองสามครั้งแล้ว คุณป้าบอกแก่งามพิศว่าธิดาข้าหลวงถามถึง

ทุกครั้งงามพิศนิ่งฟังโดยดุษณีภาพ เสมือนหล่อนไม่มีความรู้สึกต่อข่าวนั้นอย่างใดเลย

การนิ่งของงามพิศก็คือ การพยายามกดพายุแห่งความคะนึงนึกภายใน เพื่อมิให้ประจักษ์แก่ผู้ใดรวมทั้งตัวหล่อนเองด้วย

แท้จริงนั้นนับแต่งามพิศได้พบส่งศรี คือธิดาข้าหลวงแล้ว ความคับแค้นใจซึ่งมีอาการเสมือนได้ ‘ด้าน’ ไปพักหนึ่งจนไม่ออกฤทธิ์ให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้เจ้าทุกข์ ก็กลับไหวตัวดิ้นรนขึ้นใหม่โดยแรง งามพิศเคยทำลืมเสียว่าตนเป็นธิดาของผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง และเคยได้รับความสุขสมควรแก่ฐานะครบถ้วน ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนหญิงที่มีฐานะคล้ายคลึงกับตนในสมัยก่อนทุกประการ เนื้อความที่ทำลืมเสียนั้น ก็กลับมาเป็นภาพล่ออยู่ในสมองงามพิศอีก เจ้าหล่อนเคยทำลืมว่าตนเป็นผู้มีการเล่าเรียนสำเร็จบริบูรณ์ ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนร่วมโรงเรียนและร่วมชั้น เนื้อความที่ทำลืมเสียนั้น ก็กลับมาก่อกวนความจำอีก ในท้ายที่สุดข้อที่สำคัญเหนือความสำคัญทั้งหลาย ข้อที่ลืมยากยิ่งกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด งามพิศพยายามลืมว่าตนได้เคยเป็นนักศึกษาแล้ว และต้องละทิ้งมาเสียกลางคัน ทั้งสุดสิ้นหวังที่จะได้กลับเข้าศึกษาอีก ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนนักศึกษาร่วมห้องร่วมปี ความพยายามซึ่งดูเหมือนจะมีทีท่าว่าจะสำเร็จผล ก็กลับถอยหลังไปสู่ความห่างไกลจากผลสำเร็จเท่ากับเมื่อครั้งที่งามพิศตั้งต้นพยายาม

ใจหนึ่งกลัวคุณป้าจะสั่งให้ไปหาธิดาข้าหลวง ใจหนึ่งนึกคอยว่าเมื่อไรคุณป้าจะสั่งให้ไป ใจหนึ่งไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินได้ฟังแม้แต่ชื่อหรือเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ ใจหนึ่งอยากให้เพื่อนใช้อำนาจของบิดาสั่งคุณป้าให้พาตนไปพบ ใจหนึ่งอยากให้เวลาที่มหาวิทยาลัยเปิดเทอมมาถึงในวันในพรุ่ง ใจหนึ่งกลัวว่าเวลานั้นจะมาถึงเสียก่อนที่ตนจะได้พบกับเพื่อนอีก

วันล่วงไปอีกหลายวัน ความลังเลในใจงามพิศจึงถึงที่สุดลง

วันนั้นเป็นวันธรรมสวนะในพรรษา งามพิศได้ไปสู่พระอารามกับคุณป้าในตอนเช้า และคุณป้าสมาทานอุโบสถศีล รับประทานอาหารเพลที่วัด งามพิศก็ได้รับประทานด้วย เสร็จจากนั้นแล้ว งามพิศก็เก็บภาชนะที่ใส่อาหารไปนั้นกลับบ้านพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กในบ้านเหมือนกัน ส่วนคุณป้ายังอยู่ฟังธรรมเทศนา จะกลับบ้านก็ต่อใกล้ค่ำ

ครึ่งวันเต็มๆ งามพิศทำงานโดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดคอยคุ้ยเขี่ยติโน่นตินี่ ทั้งยังมีเวลาได้นั่งเงียบๆ ตามลำพังหลายสิบนาที เมื่อรู้แน่ว่าตนจะสบายใจตลอดเวลาเย็นอีกด้วย เพราะลุงเขยมีปกติกลับบ้านล่าช้ามากในวันที่ภรรยาไปอยู่วัด งามพิศก็อาบน้ำแต่วัน แล้วก็นั่งฟังนกเขาขันบ้าง ลงไปเดินเล่นดูสิ่งต่างๆ ริมน้ำบ้าง พร้อมกับคิดถึงเรื่องราวแห่งชีวิตของตนไปพลาง

เมื่อแดดลบ อากาศครึ้ม และเสียงนกเสียงการวมทั้งธรรมชาติรอบข้างเริ่มจะมีอาการวังเวง เยือกเย็น ความคิดต่างๆ ก็เริ่มชวนให้เกิดความเศร้าสลดในใจ งามพิศก็ต้องรีบหนีสิ่งที่ชวนให้เศร้า ทั้งที่เกิดจากเหตุภายนอก ทั้งที่เกิดจากเหตุภายใน งานที่จะต้องทำในวันนี้ยังมีเหลืออีกอย่างหนึ่ง คือปูที่นอนไว้สำหรับคุณป้าและสำหรับตัวเองด้วย งามพิศกลับขึ้นเรือนและลงมือทำงานนั้น

พอปูที่นอนเสร็จ กำลังคลี่มุ่ง มีเสียงแปลกหูแว่วมาจากทางหน้าห้อง แต่งามพิศมิได้เอาใจใส่ ยกเก้าอี้มาต่อตัวเพื่อจะผูกมุ้งสายที่หนึ่ง พอเอื้อมมือถึงตะปู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะในที่ใกล้ พร้อมกับได้ยินชื่อของตนเอง.....ส่งศรีมายืนเรียกงามพิศอยู่ตรงหน้าห้อง

งามพิศโดดลงจากเก้าอี้ ก้าวเท้าสองที่ถึงตัวเพื่อนแล้วก็หยุดชะงัก พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป

“แหม ! ใจดำยังกะหมึกจีน” ส่งศรีกล่าวพร้อมกับค้อนให้อย่างงอนจัด “สั่งคุณนายเชยมาตั้งร้อยหนแล้วว่าคิดถึง ไม่เห็นสั่งตอบไปว่ากระไร บอกให้ไปหามั่งก็ไม่โผล่ไปเลย”

แทนคำตอบ งามพิศกลับถามว่า

“นี่เธอมาคนเดียวหรือ?”

“มากะคุณพ่อ คุณพ่อคอยอยู่ในรถ”

อีกฝ่ายหนึ่งถอนใจแล้วถาม

“เธอจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่?”

ส่งศรีหัวเราะก๊ก แล้วว่า

“ไม่กลับแล้ว จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่ยังไงล่ะ” เห็นสหายทำหน้าตื่นและพึมพำอยู่ในคอ เจ้าหล่อนก็หัวเราะอีกและถาม “มหาวิทยาลัย? ฉันลาออกแล้วเหมือนเธอเหมือนกัน....อุ๊ย เรื่องมากยืดยาว เล่าวันนี้ไม่ทัน บอกแล้วว่าคุณพ่อคอยอยู่ในรถ ฉันบอกท่านว่าจะพูดกับเธอ ๒-๓ คำเท่านั้นแล้วก็จะไป ฉันมาชวนเธอไปไหว้พระแท่นด้วยกัน”

“ไปไหนนะ?” งามพิศถาม ความอยากสนุกปรากฏในแววตาแว่บหนึ่งแล้วก็ดับไป

“ไปพระแท่นยังไงล่ะ พระแท่นศักดิ์สิทธิ์ ใครไปไหว้แล้วไม่ตกนรก พรุ่งนี้โมงเช้าเขาจะออกกัน”

งามพิศสั่นศีรษะช้าๆ มองไม่เห็นทางว่าตนจะไปได้อย่างไร ส่งศรีขึ้นเสียงดังอีก

“แหม ! เหลือเกิน จะไปเป็นเพื่อนกันหน่อยก็ไม่ได้ คนที่จะไปน่ะล้วนแต่ผู้ชายทั้งนั้น แล้วเราไม่รู้จักใครสักคนมันจะสนุกยังไง เปิ่นตายเลย ถึงเธอจะเคยไปแล้วก็ไปเป็นเพื่อนกันอีกหนหนึ่งไม่ได้เทียวหรือ? เสียแรงมาชวน คุณพ่อก็อุตส่าห์มาด้วย รู้ยังงี้ไม่มาหรอก เสียเวลาเปล่าๆ....”

พูดยังไม่ทันขาดคำดี ธิดาข้าหลวงสังเกตเห็นสีหน้าเพื่อนมีลักษณะพิกล ฉุกใจจึงเปลี่ยนเสียงถามว่า

“เป็นอะไรน่ะ เธอน่ะ ฮะ? เป็นยังไง? เป็นบ้าเรอะ จะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมา”

งามพิศรู้ดีว่าเป็นการน่าละอายที่จะบอกแก่เพื่อน ว่าตนไม่อาจที่จะออกปากลาคุณป้า แต่ความจริงข้อนี้ก็หลุดจากปากหล่อนจนได้

“แหม ! อะไรกลัวคุณป้าจนยังงั้นเทียวหรือ?” ส่งศรีย้อนถามอย่างทึ่งที่สุด “ดุมากหรือเธอ? เคยตีเธอไหม?”

งามพิศรู้สึกหน้าชา ดูเหมือนจะเกิดความคิดขึ้นเป็นครั้งแรกเดี๋ยวนี้เอง ว่าคุณป้าอาจถืออำนาจที่หล่อนได้ และแล้วหล่อนก็จะไม่มีความกล้าพอที่จะป้องกันตัวหรือหลบหลีกจากอำนาจท่าน ส่งศรีเห็นเพื่อนยังไม่ตอบในทันที ก็กระเซ้าถามต่อไป

“เธอเคยถูกตีบ่อยๆ หรือ ตั้งแต่มาอยู่กับคุณป้า?”

“ยังไม่เคย” งามพิศตอบ

“เอ๊ะ แล้วทำไมถึงกลัวมาก! ตกลงพรุ่งนี้เธอไปไม่ได้เรอะ? ตาย ! แล้วทำยังไงเธอถึงจะไปได้ล่ะ?.... เออ ! นายอำเภอก็ไปด้วยนี่นา ฉันบอกนายอำเภอให้เอาเธอไปด้วยได้ไหม? หรือให้คุณพ่อบอกก็ได้ เผื่อได้เธอไปนะ”

งามพิศคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเรื่องเป็นไปเช่นนั้นตนก็คงจะถูกคุณป้าเกรี้ยวกราดอย่างที่ตนเป็นผู้ผิด เพราะสิ่งใดที่งามพิศกระทำลงก่อนที่คุณป้าจะนึกขึ้นเองแล้ว และสั่งให้กระทำสิ่งนั้นได้ เคยเป็นเหตุให้งามพิศถูกตำหนิอย่างแรงมาแล้วทั้งสิ้น แต่งามพิศไม่อาจออกปากแจ้งความจริงแก่เพื่อน จึงต้องพยักหน้ารับ เพื่อ ‘ขอไปที’

ส่งศรีแสดงกิริยาดีใจ ซึ่งเกือบจะกล่าวได้ว่าอย่างลิงโลด จับมือเพื่อนเขย่าแขนไปมา แล้วนึกขึ้นได้ว่าบิดาคอยตนอยู่ ก็ทำท่าจะออกวิ่ง แต่แล้วก็กลับชะงัก เมื่อความอยากรู้เกิดขึ้นใหม่อีกข้อหนึ่งและถาม

“นี่ห้องเธอรึ?”

“ไม่ใช่ ห้องคุณป้า”

“แล้วห้องเธออยู่ที่ไหน?”

“ไม่มี มีแต่ของอยู่ในห้องนี้”

“แล้วเธอนอนที่ไหน?”

“นอนที่นี่”

“อ้อ ! นั่นที่นอนเธอรึ? แล้วอันโน้นล่ะ”

“ที่นอนคุณป้า”

“อุ๊ยตาย ! นอนกับคุณป้าด้วยรึ? เดี๋ยวดิ้นไปถูกเข้าหน่อยแม่ทุบตาย เออ ! แล้วไหนเธอเคยบอกว่านอนมุ้งเดียวกับใครไม่ ได้ เธอนอนไม่หลับยังไงล่ะ?”

งามพิศยิ้มมีลักษณะน่าสมเพชที่สุด ภายหลังจึงตอบว่า

“วันพระทีถึงจะนอนด้วยกันที”

“เอ๊ะ ! ทำไมยังงั้น แล้วเผื่อไม่ใช่วันพระเธอนอนที่ไหน?”

“นอนที่นี่แหละ คุณป้าท่านนอนในห้องคุณลุง”

“เอ๊ะ ! พิลึก แล้วทำไมที่นอนคุณป้าถึงแบนแต๊ดแต๋?”

“ที่นอนคุณป้าไม่มีนุ่นนี่เธอ วันพระในพรรษาท่านรับศีล นอนที่นอนยัดนุ่นไม่ได้”

“อ้อ !” ส่งศรีอุทานอย่างยืดยาวแล้วก็พูดอย่างร้อนรนสืบไป “แล้วเผื่อฉันมาหาเธอที่นี่ เราเข้ามาทำลิงกันในห้องเหมือนที่กรุงเทพฯ ได้ไหม?”

งามพิศสั่นศีรษะแทนคำตอบ

“แล้วยังงั้นเราจะไปคุยกันที่ไหนล่ะ?” ถามอย่างวิตก

“ไม่รู้นี่”

ชะรอยความคับแค้นของงามพิศ ซึ่งปรากฏเจืออยู่ในถ้อยคำและน้ำเสียง ตลอดจนถึงสีหน้าของหล่อนนั้นจะมีฤทธิ์แรงล่วงเกินไปกล้ำกรายถึงความรู้สึกของส่งศรีด้วย ทำให้เจ้าหล่อนผู้นี้ถอนใจโดยปราศจากเจตนา ครั้นแล้วจึงว่า

“คุณพ่อบ่นแย่แล้วป่านนี้ ไปละ พรุ่งนี้พบกันใหม่ เตรียมตัวไว้นะ อย่าลืม”

พูดแล้วส่งศรีละจากประตูห้อง วิ่งตัดยกพื้นไป แต่เมื่อลงบันไดสองขั้นแล้ว หล่อนก็ชะงัก หันกลับมาบอกงามพิศผู้ซึ่งยังยืนอยู่ที่ประตู

“คุณป้าเธอมาแล้วซี ยืนอยู่กะคุณพ่อ นายอำเภอก็อยู่ด้วย ดีไป คุณพ่อท่าจะไม่ได้บ่นถึงฉันเลย รู้ยังงี้เราไม่ยักรีบ ฉันเลยลาคุณป้าให้เธอเลยนะ”

งามพิศพยักหน้า ความปิติเกิดขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยมีเช่นนี้มานานนักหนาแล้ว ตอบเพื่อนว่า

“ไปเถอะเธอ เดี๋ยวคุณพ่อจะว่า” แล้วกำชับ “ลาคุณป้านะเธอ ถ้าลาคุณลุงละก้อ...ไม่ดีหรอก”

“ได้กัน” ส่งศรีรับ แล้วมองไปเห็นรอยรองเท้าของตนปรากฏบนพื้นกระดานสองแห่ง ก็อุทานว่า “ต๊ายจริง ! นั่นรอยเกือกฉันทั้งนั้น เดี๋ยวคุณป้าเทศน์แย่”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเช็ดเอง”

“เรอะ? ขอบใจ ขอโทษนะ”

แล้วส่งศรีก็ลงบันไดไปอย่างแช่มช้า ผิดกับกิริยาที่ลงมาคราวแรก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ