๒๑
ยืนอยู่บนฝั่งซึ่งสูงพ้นน้ำประมาณ ๔๐ เมตร สุนทรีมองดูความชุลมุนในเรือสองลำที่จอดอยู่หน้าท่าด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
เรือสองลำนั้น ลำหนึ่งเป็นเรือยนต์ อีกลำหนึ่งเป็นเรือมาดขนาดใหญ่ ท้องแบน ทั้งสองลำกินน้ำไม่เกิน ๓๐ เซ็นต์
หลวงเอนกประชากร ชี้แจงแก่ผู้ที่จะโดยสารเรือไปว่า เรือยนต์จะเป็นเรือพ่วงเรือมาด พร้อมกันนั้นจะได้บรรจุคน เรือที่จะต้องทำหน้าที่เข็น ถ่อ ฉุดเรือเมื่อถึงที่จำเป็นด้วย
ความชุลมุนที่ในเรือเกิดจากการขน และการจัดสิ่งของต่างๆ ของผู้โดยสารลงในท้องเรือให้เรียบร้อย เพื่อจะได้มีที่สำหรับผู้โดยสารได้นั่งนอนได้สบาย
คณะเที่ยวไทรโยค มาถึงจังหวัดนี้เมื่อสายจัดใกล้จะเที่ยง มีเวลาพอดีสำหรับพักร้อน รับประทานอาหารที่จวนข้าหลวงแล้ว และพักอิ่มก่อนที่จะมายังท่าเรือ
เขาเหล่านี้รู้สึกความผิดหวังค่อนข้างแรงมาก เมื่อได้ทราบว่าข้าหลวงติดความยุ่งยากเกี่ยวแก่การเทศบาลจังหวัด จะเดินทางไปด้วยไม่ได้ แต่เมื่อข้าหลวงได้รับรองความปลอดภัยของเขาพร้อมกับชี้แจงว่า ได้จัดให้มีผู้แทนตัวถึงสองนาย คือนายร้อยตำรวจกับปลัดอำเภอ กับทั้งได้เรียกเจ้าของเรือผู้เป็นทั้งผู้ใหญ่บ้าน และผู้ชำนาญในการเดินทางแถบนี้มาให้พบ เขาได้เห็นลักษณะเจ้าของเรือมีท่วงทีบึกบึน แต่สีหน้าแสดงความสุจริต เขาจึงค่อยโล่งใจขึ้น
อนึ่ง นางสะอาดผู้เป็นหัวหน้าในการเที่ยวครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยกับหลวงเอนกฯ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยที่หลวงเอนกฯ และสามีของนางสะอาด เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย ด้วยกัน นางสะอาดเล็งเห็นว่าการที่ธิดาของหลวงเอนกฯ ยังคงเป็นคนหนึ่งในจำนวนผู้ที่จะเดินทางไปด้วย ย่อมจะเป็นประจักษ์พยานแสดงให้เห็นชัดว่า หลวงเอนกฯ มีความแน่ใจในความปลอดภัยแห่งการเดินทางคราวนี้ดีอยู่
เฉพาะตัวสุนทรี หล่อนได้รับความผิดหวังมาแล้วครั้งหนึ่ง ประจิตรได้รับปากต่อหล่อน - โดยไม่กระตือรือร้น แต่โดยทันทีที่หล่อนออกปากชวน - ว่าเขาจะไปไทรโยคกับหล่อนด้วย แต่ครั้นใกล้วันที่จะออกเดินทาง เขาก็ปรารภถึงการแข่งขันกอล์ฟที่สนามหัวหิน มีน้ำเสียงแสดงว่าเขาใคร่ที่จะได้ใช้ความสามารถของเขา ในทางการกีฬาที่เขาจะใช้กำลังแขนกำลังขาของเขาได้มากกว่าที่จะนั่งงอมืองอเท้าไปในเรือเพื่อผจญกับความกันดาร ฝ่ายสุนทรีก็เป็นผู้ที่ไม่ชอบฝืนให้ผู้ใดทำสิ่งใดเพื่อตัว จึงกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า “ยังงั้นก็อย่าไปไทรโยค” ประจิตรก็รับเอาคำของหล่อนด้วยน้ำเสียงแสดงความอิดออดแต่เพียงเล็กน้อย
แต่ภายหลังเขาบอกแก่หล่อนว่า เขาจะขึ้นรถไฟไปส่งหล่อนจนถึงต้นทางที่หล่อนจะลงเรือ เพื่อดูลาดเลาว่าเขาควรจะปล่อยให้หล่อนเดินทางไปโดยไม่มีเขาหรือไม่ หากเห็นว่าไม่ควร เขาก็จะลงเรือไปกับหล่อน แต่สุนทรีได้ตัดบทเสียว่า “ไม่จำเป็น” อธิบายว่าหล่อนไว้ใจผู้ที่เขาจัดการให้หล่อนไป ประจิตรก็รับเอาคำของหล่อนอีก โดยโต้แย้งแต่เพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับคราวก่อน
ก่อนที่สุนทรีจะขึ้นรถไฟเล็กน้อย ท่านบิดาได้ถามหล่อนเรียบๆ แต่ด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจมากว่า “ไปกันเท่านี้แหละหรือ?” สุนทรีได้รีบตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงแสดงความั่นใจว่า “ผู้ชายคอยอยู่ทางโน้นเยอะค่ะ” พระวนศาสตร์ฯ ก็นิ่งไป แต่ท่านหันไปมองดูนายจี๊ด - ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในกระบวน - อย่างตรึกตรอง - ราวกับท่านจะหยั่งดูจิตใจของชายคนใช้ผู้นั้น ว่าจะช่วยเหลือนายสาวของเขาได้อย่างไรบ้างในเมื่อถึงคราวคับขัน
บัดนี้การตระเตรียมต่างๆ ได้ถึงที่สุดแล้ว เรือยนต์ก็ติดเครื่องเสร็จ ทอดเชือกจากท้ายเรือมาที่หัวเรือมาดและเตรียมค้ำเรือออกจากฝั่ง หลวงเอนกฯ นำสตรีลงมาตามตลิ่งอันสูง และคอยส่งให้ลงเรือจนครบทุกคนเสียงสั่งการค้ำเรือดังโหวกเหวกมาจากหมู่ผู้ชายที่อยู่ในเรือยนต์ เสียงวุ้ยว้ายด้วยความตื่นเต้นดังอยู่ในเรือมาด บุตรีข้าหลวงยืนเกาะเอวบิดาอยู่ไม่ห่าง หัวเราะมาก หวีดหวาดมาก ตื่นเต้นมากพูดมาก และเป็นผู้ที่ทุกๆ คนเอาใจใส่ห่วงใยมาก หล่อนเป็นคนสุดท้ายที่ลงเรือ
เรือยนต์เหหัวออกจากท่า มิช้าเรือมาดก็ถูกกระชากเบาๆ แล้วก็เหหัวออกตาม ข้าหลวงยืนโบกหมวกอยู่ริมฝั่ง ส่งศรีเต้นพลางโบกผ้าเช็ดหน้าพลางอยู่ที่ท้ายเรือ หญิงอื่นๆ ช่วยโบกแต่พอเป็นพิธี
นางสะอาดเป็นผู้ที่ค่อนข้างชินต่อการเดินทางทางเรือ และเคยเที่ยวในลำน้ำแถบนี้บ้างแล้ว และเจ้าหล่อนเป็นผู้ที่ได้ทำงานครูมาถึง ๑๒ ปี ย่อมเคยกับการต้องทำทุกๆ สิ่งให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าในที่แห่งใด ฉะนั้นพอเรือยนต์ตั้งลำได้เรียบร้อยแทนที่จะตื่นเต้นต่อทางเดินแห่งเรือและภูมิประเทศดังคนอื่นๆ เจ้าหล่อนก็เริ่มคิดถึงสิ่งของและที่นั่งที่นอนในลำเรือ แล้วและไม่แต่เพียงคิดเท่านั้น ได้พาตัวมานั่งในประทุนกลางลำ เริ่มโยกย้ายสิ่งของที่ชาวเรือเขาจัดไว้ เพื่อจะจัดใหม่เป็นที่ถูกใจตน มิหนำซ้ำหมั่นตะโกนถามคนอื่นในปัญหาที่ว่า ใครจะนอนที่ใด และสิ่งของชิ้นนั้นชิ้นนี้เป็นของใครด้วย
สายใจกับฤดีได้เคยเป็นศิษย์ครูสะอาดในวิชาคำนวณ อยู่ตลอดเวลาสองปีที่หล่อนเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ ๖ และมัธยมปีที่ ๗ แล้วยังได้ครูสะอาดเป็นครูประจำชั้นในปีที่แล้วมาอีกเล่า ย่อมจะเคยต่อการที่ต้องเคารพและต้องเกรงกลัวครูสะอาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นครูสะอาดออกกำลังยกนั่นขนนี่ก็เกิดความเกรงใจทำให้นั่งไม่เป็นสุข จึงต้องลุกจากที่มาช่วยครูด้วยกิริยาของเด็กที่ห่วงเล่นก็ห่วง ส่วนงานก็จำใจต้องทำ
นางสาวบุญช่วยกับนางสาวฉลวย เป็นเพื่อนครูทำการสอนอยู่โรงเรียนเดียวกับครูสะอาด แต่เป็นครูที่มีนิสัยชอบมีครูเหนือตน คือชอบเป็นผู้ตามมากกว่าเป็นผู้นำ ก็เข้าช่วยครูสะอาดด้วยทั้งสองคน
สุนทรีนั่งพับเพียบอมยิ้มอยู่ที่หัวเรือ หันมาทางกลางลำเรือบ้าง ดูภูมิประเทศรอบข้างบ้าง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่องานที่เพื่อนเร่งรีบโดยไม่จำเป็น ครั้นเมื่อความตื่นเต้นอันย่อมเกิดแก่ผู้เริ่มออกเดินทางได้คลายลงแล้ว สุนทรีก็เริ่มนึกถึงเพื่อนร่วมเรืออีกสองคน ซึ่งหล่อนพึ่งจะได้พบในวันนี้เป็นครั้งแรก
คนหนึ่งคือส่งศรี สุนทรีรู้เรื่องราวของส่งศรีอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่มกะการเดินทาง และยังรู้ต่อไปอีกในชั่วเวลาที่หล่อนจับตาดูส่งศรีเพียงสองชั่วโมง ว่าส่งศรีเป็นลูกกำพร้าที่บิดารักอย่างตรงกับคำ ว่า ‘ทูลหัวทูลเกล้า’ แต่ไม่เลยไปถึงกับรักอย่างหลับตาเสียทีเดียว โดยเหตุนั้นการที่ส่งศรีเป็น ‘หนู’ หรือเสียงดังมาก หรือหัวเราะเกินกว่าเหตุ จึงไม่เป็นข้อประหลาดสำหรับสุนทรี....ซึ่งสุนทรีคิดถึงส่งศรีในขณะนี้ หล่อนคิดแต่เพียงว่าส่งศรีจะรู้จักอดทนต่อความลำบากซึ่งคอยอยู่เบื้องหน้าได้มากหรือน้อยเพียงใด
แต่คนที่สอง หญิงสาวรุ่นเดียวกับส่งศรี รูปร่างก็ขนาดเดียวกัน แต่ผิวขาวกว่าส่งศรีมาก ถึงแม้จะมีลักษณะแสดงว่าคร้ามแดดคร้ามฝนก็ตาม หญิงคนนี้ผู้ซึ่งสวมแว่นตานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ริมประทุน ท่าทางเจียมตัว คล้ายกับว่าตนเป็นผู้ที่ไม่มีราคาเลย แม้แต่น้อยภายในเรือลำนี้ สุนทรียังไม่ทราบว่าหล่อนเป็นใคร
สุนทรีไม่ได้เห็นหล่อนที่จวนข้าหลวง ไม่ได้เห็นว่าหล่อนโผล่มาจากที่ใด พอเห็นครั้งแรกก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังเดินก้มหลีกข้าหลวงมาลงเรือ แม้แต่มือของข้าหลวงที่ยื่นคอยพยุงสุภาพสตรี เจ้าหล่อนก็ดูเหมือนจะไม่เห็น แต่สุนทรีจำได้ว่าข้าหลวงตะโกนส่งหลังเจ้าหล่อนมาเป็นเชิงล้อ
“ระวังแว่นตาจะหลุดลงน้ำนะ”
มองดูเสื้อผ้าที่เจ้าหล่อนใส่อยู่ ผ้าถุงดำ เสื้อขาวคอปก หน้าอกและแขนก็ดูรัดรูปสมกับสมัย แต่เอวเสื้อนั้นดูหิ้วและอยู่ผิดที่มาก จะว่าหลวมก็ไม่ใช่ จวนจะคับก็ไม่เชิง สุนทรีดูด้วยตาของผู้ชำนาญอยู่ครู่หนึ่งก็จับความจริงได้ว่า เสื้อนั้นน่าจะตัดเมื่อขนาดตัวผู้ใส่ยังไม่เจริญขึ้นถึงเท่านี้
เสียงครูสะอาดตะโกนถามอยู่ข้างในประทุน
“จำนงพิทักษ์ราษฎร์ ! ใครเป็นขุนหลวงหรือนางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ ที่นี่?”
ผู้ที่อยู่ทางหัวเรือหันไปทางที่เสียงมา พร้อมกับส่งศรีหัวเราะดัง และชี้มือไปทางหญิงสวมแว่นตาพร้อมกับพูดว่า
“นี่ค่ะ นี่ค่ะ คนนี้?”
จำนงพิทักษ์ราษฎร์ นามนี้สะกิดใจสุนทรีทันที ผู้ที่ส่งศรีชี้ได้เข้าไปคุกเข่าอยู่เบื้องหลังครูสะอาดแล้ว และนางสะอาดพูดพร้อมกับหัวเราะว่า
“เปล่าจ้ะ ไม่ว่ากระไรหรอก ถามสำหรับจะได้บอกให้เธอรู้ ว่าฉันเอากระเป๋าของเธอไว้ที่ไหนเท่านั้นแหละ เวลาเธอจะเอาของจะได้ไม่ต้องหา”
สุนทรีถามส่งศรีด้วยเสียงค่อนข้างเบา
“เจ้าของกระเป๋าน่ะแกชื่ออะไร?”
“ชื่องามพิศค่ะ เพื่อนหนู เป็นหลานคุณนายนายอำเภอที่นี่”
อาการเย็นวาบเกิดขึ้นในอกสุนทรี ความสมเพชเวทนาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พองามพิศโผล่ออกมานอกประทุน หล่อนก็พูดด้วยเสียงมีกังวานไม่เป็นปกติว่า
“มานั่งที่นี่แน่ะ” พร้อมกันนั้นสุนทรีตบพื้นกระดานที่ข้างตัว
แต่เมื่องามพิศได้นั่งลงแล้ว ห่างจากที่ๆ สุนทรีชี้ให้เพียงเล็กน้อย สุนทรีเห็นดวงตาอันดำและโตฉายแสงแห่งความสนเท่อยู่ในกระจกแว่น ความอึกอักอ้ำอึ้งเกิดขึ้นแก่สุนทรี มิรู้ที่จะต่อการปราศรัยอันค่อนข้างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของตนโดยสถานใดดี ในที่สุดสุนทรีจึงพูดว่า
“เธอเป็นน้องนายประพันธ์ไม่ใช่หรือ? ฉันรู้จักกับพี่ชายของเธอ”
“ใช่ค่ะ” แล้วดวงตาอันใหญ่และวาวก็ตั้งคำถามเอาแก่สุนทรีอีก
“ประพันธ์กับฉันเคยพบกับหลายหน” สุนทรีชี้แจงต่อไป แล้วรู้ได้จากสายตาที่ยังคงจ้องดูหล่อนว่าผู้ฟังยังไม่หยุดตั้งคำถาม จึงเสริมความให้กะทัดรัดขึ้น “คนๆ หนึ่ง....เพื่อน....ผู้ชายเขาเป็นคนชักนำให้รู้จัก”
เห็นว่าผู้ฟังดูเหมือนจะพอใจแล้ว สุนทรีก็นึกอยากจะเป็นฝ่ายถามบ้าง แต่ก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจลงไปทีเดียว จึงยังคงนิ่งอยู่
ครูสะอาดโผล่ออกมาจากประทุนเรือ ขาข้างหนึ่งพับขึ้นบนพื้นเรือ อีกข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่ท้องเรือ ถามอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“เป็นนักเรียนโรงเรียนไหน แม่คนนี้น่ะ?”
งามพิศบอกชื่อโรงเรียน พร้อมกับขยับตัวเพื่อละที่ให้แก่ผู้ถาม
“อ๋อ ! โรงเรียนเดียวกับส่งศรี รู้จักสงวนไหม สงวน วรประพาฬ?”
“รู้จักค่ะ”
“ปีนี้เขาจบ ๘ แล้ว จะเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า เราน่ะจบหรือเปล่า?”
“จบค่ะ”
สุนทรีคิดว่างามพิศคงรู้สึกเสียวปลาบในใจ พร้อมกับที่ตอบคำถามนั้น แล้วสุนทรีก็ช่วยเสียวด้วย ให้นึกใคร่ที่จะลูบหลังงามพิศ หรือมิฉะนั้นก็บีบมือเบาๆ เพื่อประเล้าประโลม
ส่งศรีพูดขึ้นว่า
“งามพิศก็เคยเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนหนูเหมือนกันแล้วก็ออกปีเดียวกัน แต่งามพิศออกเพราะพ่อเขาตายไม่มีใครออกค่าเรียนให้ หนูออกเพราะคุณพ่อไม่มีแม่บ้าน”
เนื่องจากที่ผู้ฟังเคยรู้เรื่องของส่งศรีอยู่แล้ว ทุกคนจึงไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดประโยคหลังของหล่อนนัก สายตาหลายคู่พุ่งตรงไปที่งามพิศ และสุนทรีสังเกตเห็นว่าลำคองามพิศนั้นเต้นแรง และริมฝีปากของเจ้าหล่อนก็สั่น
“คุณพ่อเป็นอะไรตาย?” ครูสะอาดถาม สีหน้าซึ่งสำแดงความเป็นผู้มีใจดีเป็นนิสัยอยู่แล้วนั้น ยิ่งสำแดงความปรานีเด่นชัดขึ้นอีก แต่สุนทรียกมือบีบขาสหายไว้และพูดว่า
“อย่าไปซักแกเลย สงสาร เดี๋ยวแกจะเศร้าใจเลยหมดสนุก ฉันรู้เรื่องของแกดี แล้วจะเล่าให้ฟัง” แล้วสุนทรีก็พยักหน้าอย่างมีความหมาย
นางสะอาดพิศดูงามพิศอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับถอนใจเบาๆ แล้วก็นิ่งอยู่ มิช้าก็มีผู้อื่นเริ่มคุยถึงสิ่งอื่นต่อไปใหม่ แล้วแม่สาวน้อยๆ ที่มิใช่ตัวเจ้าทุกข์ และมีสิ่งสำคัญคือวัยของหล่อนเอง เป็นเครื่องขับไล่ความเศร้าให้ปลาศนาการไปโดยง่าย ก็พากันลืมเรื่องงามพิศเสียสิ้น คงเหลือแต่ผู้ใหญ่ต้องทนความอยากรู้ต่อไปตามลำพัง
บัดนี้เรือแล่นไปตามลำแด่วน้อย ผ่านตลิ่งทราย ตลิ่งแดง ตลิ่งหิน สลับกันไป แลดูไม่เบื่อตา บางแห่งหาดใหญ่ขึ้นขวางอยู่ กลางลำแคว ปลายหาดมีสีดังทองแดง กลางหาดหนาแน่นด้วยต้นตะไคร่น้ำ มองดูแต่ไกลคิดว่าเกาะ น้ำใสจนมองเห็นกรวดทรายได้ถนัด กระแสเชี่ยว บางแห่งลึก บางแห่งตื้น และเมื่อถึงที่ตื้นลำเรือก็กระเทือนและสั่นเบาๆ พอทำให้ผู้โดยสารตกใจได้บ้างแล้วก็พากันสรวลเสเฮฮาในความตื่นเต้นของตน
อีกเวลาหนึ่ง ตลิ่งเป็นศิลาสูง กลม ชะโงกง้ำออกมาเหนือน้ำ ต้นไม้ต่างชนิดขึ้นคลุมอยู่ระเกะระกะเหมือนเขาเล็กกระเด็นใสจากเขาใหญ่มาตกอยู่ริมธาร ครั้นมองไกลออกไป ก็เห็นเขาใหญ่ตั้งเป็นพืดสูงตระหง่าน ดูดังแม่เขาเขม้นมองดูลูกที่มาหลงเล่นอยู่ริมแคว
อีกเวลาหนึ่ง แควน้ำคดเคี้ยว เขาที่เห็นอยู่เบื้องขวาก็ย้ายมาอยู่เบื้องหลัง บางคราวดูเหมือนเขาขวางหน้า ครั้นเรือแล่นเข้าหา เขาก็แหวกช่องให้
อาศัยเหตุที่ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงสลับซับซ้อนกันเป็นที่น่าดูเช่นนี้ ผู้โดยสารก็พากันเพลิดเพลินจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปเท่าใด เมื่อสุนทรีเผอิญมองดูนาฬิกาข้อมือโดยมิได้ตั้งใจ หล่อนจึงอุทานด้วยความพิศวง ทั้งนี้เพราะเข็มนาฬิกาบอกเวลา ๑๗ นาฬิกำกับ ๔ นาที
ทันใดนั้นหล่อนรู้สึกทั้งหิวทั้งกระหาย ด้วยนึกขึ้นได้ว่า ถึงเวลาที่เคยรับประทานน้ำชา จึงลุกจากที่นั่งไปที่ท้ายเรือ
หล่อนกำลังพิจารณาถึงการที่จะหุงต้ม จะสะดวกดีหรือลำบากอย่างใดบ้าง นางสะอาดก็ตามมาด้วยอีกผู้หนึ่งและปรารภว่า
“นี่เราจะเตรียมการกินเดี๋ยวนี้ หรือจะรอให้เรือจอดเสียก่อน”
“อย่ารอดีกว่า” สุนทรีตอบ “ฉันได้ยินเจ้าของเรือแกบอกกับข้าหลวงว่า กว่าจะได้จอดก็ค่ำ เพราะต้องไปให้ถึงที่ที่เขากะไว้ สำหรับจะให้เหมาะกับโปรแกรมวันต่อๆ ไป”
ผู้ถือท้ายเรือเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแปร่งอย่างชาวชนบท
“กว่าจะถึงบ้านตะเข้เผือกก็มืดมากเทียวครับ”
“แล้วคนเรือมิหิวข้าวแย่หรือ?” สุนทรีว่า
“หิวก็กิน” อีกฝ่ายหนึ่งตอบอย่างง่ายๆ พร้อมกับหัวเราะ
“ยังงั้นก็ดี” สุนทรีหันไปทางสหาย “ฉันก็หิวแล้ว หิวน้ำชา มีเวลาพอให้เขาติดไฟตั้งน้ำชาไหม แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร อดน้ำชาไม่ถึงกับตายหรอก”
“ก็ทำได้จะไปอดมันทำไม” นางสะอาดตอบแล้วหันไปทางคนใช้ที่ถูกเลือกมา “จี๊ดจัดแจงติดไฟซี”
“นายจี๊ดชงน้ำชาให้ฉันนะ” สุนทรีสั่งต่อ แล้วออกตัว “กินวันนี้แล้วต่อไปไม่กินทุกวันหรอก วันไหนเหมาะถึงจะกิน”
แล้วเจ้าหล่อนกับครูสะอาด ปรึกษากันต่อไปถึงเรื่องอาหารและการรับประทาน และเมื่อจบเรื่องแล้วครูสะอาดก็ถือโอกาส ‘จับตัว’ สุนทรีไว้ในประทุนเรือเพื่อถามถึงเรื่องราวของงามพิศ
ราวอีก ๑๕ นาทีต่อมา นายจี๊ดก็นำน้ำชาใส่ถ้วยเบเคอไลต์บ้าง ถ้วยแก้วบ้างเป็นจำนวน ๘ ถ้วย มาตั้งที่หัวเรือพร้อมด้วยผลไม้ ผู้ที่ไม่เคยต่ออาหารมื้อนี้ หรือผู้ที่เกรงใจเจ้าของอาหาร พากันปฏิเสธบ้าง แต่ครั้นเมื่อเจ้าของคะยั้นคะยออย่างจริงใจก็พากันรับด้วยความยินดี
สุนทรีนั่งพิงประทุนเรือ ขาขวาพับอยู่ ขาซ้ายยันกราบเรือ จิบน้ำชาด้วยท่าทีของผู้ที่เสพอาหารอันเป็นที่พึงพอใจอย่างยิ่ง และระหว่างนั้น หล่อนมีน้ำใส มีโขดเขาลำเนาไม้เป็นที่ดู และมีแสงแดดอ่อนๆ ลมพัดเฉื่อยๆ เป็นเครื่องสบาย และเรือลำที่หล่อนนั่งนั้นแล่นไปโดยเรียบ ไม่มีเสียง ไม่มีกระเทือน ความสำราญกาย สบายใจก็เกิดขึ้นแก่หล่อนโดยเต็มเปี่ยม