๑๒

วันนี้ ที่บ้านขุนจำนงพิทักษ์ราษฎร์มีเหตุการณ์พิเศษ ท่านขุนเจ้าของบ้านกลับมาถึงบ้านเวลาเที่ยงกว่าๆ พาเพื่อนนายอำเภอกับเพื่อนข้าราชการแผนกอื่นมาด้วยรวมห้าคน และบอกกับภรรยาว่า ได้ชวนเพื่อนเหล่านั้นมารับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน

“เออ ! วิเศษจริง” นางจำนงฯ ร้องเมื่อสามีพูดจบลงแล้ว “จะพากันมาก็ไม่บอกให้รู้เนื้อรู้ตัว ฉันจะไปโอมเอาอะไรที่ไหนมาให้ทันล่ะ”

“จุ๊ยๆ ๆ” ท่านขุนห้าม ด้วยเกรงว่าเพื่อนที่อยู่ข้างล่างจะได้ยิน “ไม่มีข้าวก็ไปเรียกหาบอะไรมาสักหาบหนึ่งก็ได้นี่นา แล้วก็ช่วยหาน้ำหาท่าให้เท่านั้นแหละ”

“หาบอะไรล่ะ? เจ้าขนมจีนวันนี้ก็หายไป ไม่เห็นมา เด็กเล็กมันก็ไปโรงเรียนกันหมด มีแต่อีแหวว อีนั่นก็ท้องโต กว่าจะย้ายสะโพกได้ข้างละที ไอ้มุ่ยของคุณกลับมาหรือยังล่ะ?”

“ไม่รู้มันนี่ ท่ามันจะกลับไปอำเภอละกระมัง ฉันมาจากจวนข้าหลวง”

“อ้อ ! จริง พวกที่มาน่ะไปรับข้าหลวงใหม่มาทั้งนั้น มีใครมั่งล่ะ เออ ! แล้วข้าหลวงนะท่าทางเป็นยังไง?”

“ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ไปหาอะไรมาเลี้ยงก่อนเถอะ กำลังหิวมาด้วยกันทุกคน”

ท่านขุนลงบันไดกลับไปหาเพื่อน คุณนายก็ตะโกนเรียกนางแหววกับงามพิศเสียงขรมต่อไป

คุณนายสั่งนางแหววให้ไปเรียก ‘หาบ’ แล้วกำชับ “เดินให้มันเร็วๆ เข้าล่ะ อย่ามัวแต่ย้าย....ข้าเห็นคนท้องมามาก ไม่เห็นเขาหนัก....เหมือนเอ็ง ได้อะไรก็เอาไอ้นั่นแหละนะ แต่อย่าให้มันหลายหาบนัก สักสองหาบก็พอ เดี๋ยวแม่พบอะไรก็เรียกมาเสียหมด”

ถึงเวรงามพิศ คุณนายสั่งว่า

“หาน้ำหาท่าไว้ คุณลุงของหล่อนพาแขกมาตั้ง ๕-๖ คน เอ้า ลูกกุญแจนี่แน่ะ เออ ! นั่นลุกขึ้นไปมือเปล่า จะไปไหน แล้วหล่อนจะเอาอะไรใส่น้ำ ถ้วยแก้วพวงในตู้น่ะ เอามาทั้งสองพวง อ้อ ! เอาขันน้ำพานรองไปด้วย จะได้พอกันกิน เออ ! น้ำแข็งก็ไม่มี ดูลืมสั่งให้อีแหววซื้อ เร็วเข้า บอกให้มันซื้อมาสัก ๓ สตางค์ก็เห็นจะพอ มากนักก็ละลายเสียเปล่าๆ”

งามพิศลงบันไดด้านหลังเรือนวิ่งไปถึงประตูบ้าน เห็นหลังนางแหววเดินอยู่ห่างไปมาก โดยมิคำนึงถึงการควรมิควร ถือคำสั่งคุณป้าเป็นที่ตั้ง หล่อนก็วิ่งต่อไปจนทันนางแหวว

ขากลับหล่อนมิได้วิ่งแต่เดินเร็วมาก ด้วยกลัวว่าคุณป้าจะตำหนิว่าเฉื่อยชา ไม่ได้งานได้การ ผ่านข้างเรือนหล่อนเห็นบุรุษนั่งอยู่หมู่หนึ่ง แต่มิได้มองให้เห็นว่าใครเป็นใคร แม้กระนั้นหูหล่อนก็ได้ยินคนหนึ่งในหมู่นั้นพูดว่า

“หน้าแก่นะ สำหรับอายุ ๑๘ ดูราวกับอายุสัก ๒๕ แต่เห็นท่าวิ่งก็รู้ว่ายังเด็ก”

ถึงจะรู้ว่าคำพูดนั้นหมายถึงตัว งามพิศก็ไม่ได้รู้สึกกระเทือนใจ ตั้งแต่มาอยู่กับคุณป้า งามพิศได้ยินคำกล่าวขวัญถึงตัวล้วนแต่ในแง่ที่ไม่มีหญิงสาวคนใดจะภูมิใจเลยเมื่อถูกกล่าวขวัญเช่นนั้น จนงามพิศปลงใจเชื่อว่าตนเป็นดังที่เขากล่าวทุกประการ เมื่อมาได้ยินคำชนิดเดียวกันนี้มากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการแปลกประหลาดอะไรนักหนา

กลับขึ้นเรือนแล้ว งามพิศตรงเข้าห้องคุณป้า ไขกุญแจตู้ หยิบวัตถุที่ต้องการใช้ นำพวงกุญแจไปคืนให้คุณป้าเสียก่อน แล้วจึงล้างและเช็ดถ้วยแก้วและตักน้ำใส่

“ยกลงไปให้คุณลุงข้างล่าง” คุณป้าสั่ง

ครั้นเห็นงามพิศหิ้วถ้วยแก้วด้วยมือข้างละพวงท่านก็ว่า

“เอ้า ! สองพวงสามพวงเดี๋ยวก็แตก” แต่แล้วก็เปลี่ยนความคิด “เอาไปได้ก็เอาไป แล้วกลับขึ้นมายกขันน้ำกับพานรองไปด้วย”

เมื่อหลานสาวปฏิบัติงานเสร็จแล้ว คุณป้าก็ลงไปปราศรัยกับเพื่อนของสามีที่อยู่เบื้องล่าง

งามพิศกลับขึ้นมานั่งบนยกพื้นหน้าเรือน มองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่มีความตั้งใจอย่างใดเลย เสียงคุณป้าถามถึงข้าหลวงคนใหม่ คุณลุงและแขกของคุณลุงบรรยายความที่เกี่ยวแก่ข้าหลวงนั้น เป็นการได้ยินโดยที่งามพิศมิได้ตั้งใจฟัง จนกระทั่งถึงตอนท้าย ความว่าข้าหลวงมีลูกสาวคนหนึ่งมีอายุ ๑๘ ปี เป็นกำพร้ามารดามาสามปีแล้ว ความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งเกือบจะคล้ายกับความสนใจจึงเกิดขึ้นแก่งามพิศ แล้วหล่อนได้ยินเสียงคุณลุงพูดว่า

“พ่อเห็นจะรักเป็นแก้วตา เห็นคำหนึ่ง ‘หนู’ สองคำก็ ‘หนู’”

อาการอย่างหนึ่งคล้ายกับยิ้มปรากฏขึ้นที่หน้าของงามพิศ เป็นยิ้มที่ไม่เหมาะแก่หน้าเด็กหญิงอายุ ๑๗ ปีเศษแม้แต่น้อย... เป็นธรรมดา ลูกที่กำพร้าแม่ย่อมเป็นที่รักดังดวงตาแห่งพ่อ ข้อนี้งามพิศเคยประสบมาด้วยตนเอง แต่ขอแม่ลูกสาวของข้าหลวงจงระวัง ถ้าเมื่อไหร่พ่อหาชีวิตไม่แล้ว ตนตกไปอยู่ในปกครองของใครคนหนึ่ง ก็พึงรู้เถิด ว่าตนนั้นไม่มีค่าเกินกว่าพัสดุที่เขาเก็บไว้เพื่อใช้งาน

เสียงคุณป้าตะโกนเรียกงามพิศบอกให้หยิบผ้าเช็ดมือ งามพิศลุกขึ้นจากที่ ลงบันไดไปเบื้องล่าง คุณป้าก็พูดว่า

“ป้าบอกให้หยิบผ้าเช็ดมือมาให้ที”

“ขอลูกกุญแจค่ะ” งามพิศตอบ

“เอาไปทำไม?”

“ไขหยิบผ้าเช็ดมือในตู้”

“ฮ้าย ! แกละรู้ดีเสมอแหละ คนกันเองทั้งนั้น เอาไอ้ที่ใช้อยู่ทุกวันนั่นแหละลงมา”

งามพิศวิ่งกลับขึ้นเรือนตรงไปที่ครัว แล้วถือผ้าเช็ดมือสามผืนกลับลงมาส่งให้คุณป้า

นางจำนงฯ เลือกผืนสีแดงเลือดนกอันเป็นผืนที่ตนใช้ประจำอยู่ทุกวัน วางไว้ทางหนึ่ง อีกสองผืน สีขาวลายแดงเหมือนกันทั้งคู่ ขุนจำนงฯ กับงามพิศเป็นผู้เคยใช้ คุณป้าวางผ้าคู่นี้ไว้บนเสื่อในหมู่เพื่อนของสามี ท่านเหล่านั้นก็ผลัดกันหยิบขึ้นเช็ดปากโดยมิได้เลือกผืน

แม่ค้านำขนมจีนน้ำพริกมาส่งให้นางจำนงฯ คุณนายจึงเรียกหลานสาวผู้ซึ่งกำลังจะกลับขึ้นเรือน “จะกินอะไรก็กินเสียซี” ท่านว่า “ป้ากินขนมจีนน้ำพริกของเขาอร่อยดี แกจะกินอะไรก็สั่งเขา”

งามพิศรั้งรออยู่ที่เชิงบันได หล่อนไม่สมัครใจแม้แต่สักนิดเดียว ที่จะรับประทานร่วมที่กับท่านราชการเหล่านั้น ผู้ซึ่งหล่อนเคยเห็นจนชินแล้วทุกคน แต่ซึ่งหล่อนไม่เคยถือว่าเป็นผู้ที่รู้จักกับหล่อนแม้แต่สักคนเดียว เผอิญคุณป้าก็ไม่เปิดโอกาสให้งามพิศได้ลังเลนาน ท่านหันไปสั่งแม่ค้า

“เอาขนมจีนน้ำพริกให้แม่พิศชามนึง เอาพริกทอดใส่มาด้วยหลายๆ เม็ด ลูกคนนี้กินเผ็ดเป็นเสือ ฉันว่าเผ็ดแล้ว แม่นี่ยังเผ็ดไปกว่าฉันอีก”

แม่ค้าปรุงอาหารที่คุณนายสั่งอย่างว่องไว แล้วถือชามมาส่งให้งามพิศ เจ้าหล่อนรับแล้วก็นั่งบริโภคอยู่บนขั้นบันไดนั่นเอง

เสร็จการรับประทานของคาว ขุนจำนงฯ ปรารภถึงของหวาน ภรรยาท่านขุนรีบบอกว่า

“ของหวานมี วันนี้เผอิญทำขนมตาลไปถวายพระ” หันมาทางหลานสาว “ไปเอาขนมตาลมาไป๊ ที่ป้าบอกให้เก็บไว้กินเย็นน่ะ”

งามพิศไปหยิบขนมตาลที่ในครัว เมื่อหล่อนถือจานลงบันไดมา ก็พบนางแหววถือน้ำแข็งมาถึง

“แหม อีแหวว” คุณป้าร้อง “ไปซื้อน้ำแข็งจนกูลืม นี่แล้วกว่าเอ็งจะไปต่อยไปล้างพอดีเขากลับหมดเลยเอาน้ำแข็งมาสุมหัว”

งามพิศวางจานขนมตาลไว้ตรงหน้าขุนจำนงฯ แล้วก็ตรงไปรับน้ำแข็งจากนางแหวว วิ่งเข้าห้องน้ำล้างน้ำแข็งให้หมดขี้เลื่อย เสร็จแล้วถือน้ำแข็งกลับมาใส่ในขันเงินที่มีพานรอง

สหายคนหนึ่งของขุนจำนงฯ พูดว่า

“หัดกันเสียคล่อง”

“โอ๊ย ! เอ็ดกันทุกวัน สอนกันทุกวันกว่าจะได้อย่างนี้”

ในตอนต้นงามพิศมิได้สำนึกว่า คำพูดนั้นมีตัวหล่อนเป็นที่หมาย แต่เมื่อได้ยินคำตอบของคุณป้าเกิดความเข้าใจขึ้นในทันทีก็รู้สึกว่าหน้าชา ถึงกระนั้นหล่อนก็นั่งลงรับประทานอาหารต่อไปได้เป็นปกติ และรู้สึกแต่เพียงว่าขนมจีนน้ำพริกเป็นสิ่งที่กลืนยาก ทำให้แค้นคอ

ตอนเย็น ตั้งแต่ขุนจำนงฯ กลับจากที่ว่าการอำเภอ ตลอดไปจนกลางคืน งามพิศไม่ได้ยินคำสนทนาเรื่องอื่นนอกจากเรื่องข้าหลวงคนใหม่ ดูเหมือนว่าข้าหลวงกระดิกตัวกี่ครั้ง เดินกี่ก้าว พูดกี่คำ นายอำเภอก็จำได้และเล่าให้ภรรยาฟังโดยละเอียดลออ ในตอนท้ายที่สุดมีข้อที่งามพิศเอาใจใส่อยู่บ้าง คือนางจำนงฯ กล่าวแก่สามีว่าท่านจะไปหาข้าหลวงในวันพรุ่งนี้ เวลาเช้าก่อนที่ข้าหลวงจะออกจากจวนไปศาลากลาง และขุนจำนงฯ ก็แสดงความเห็นชอบด้วย

ก็แลเวลาที่คุณป้าไม่อยู่บ้าน ครั้งหนึ่งๆ ไม่ว่าจะช้าเร็วเพียงไร เวลานั้นเปรียบเสมือนยาที่หล่อเลี้ยงชีวิตงามพิศไว้ให้ยืนยาวมาได้จนถึงวันนี้ เมื่อคุณป้าไม่อยู่งามพิศทำงานได้คล่อง บางคราวถึงกับรู้สึกเพลิดเพลินไปในงานด้วย และถ้าหากงานนั้นไม่เรียกร้องความตั้งใจมากนัก งามพิศก็มีเวลาปล่อยใจให้เป็นอิสระ ได้คิดได้ฝันถึงเรื่องราวและสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติของจิตใจ ถึงแม้เรื่องที่คิดที่ฝันจะไม่ทำให้เกิดความรื่นรมย์ ก็ยังเรียกว่าได้คิดได้ฝันบ้าง เป็นการเปิดโอกาสให้สมองออกกำลังในทางที่ควรด้วย และได้พักผ่อนด้วยไปในตัว

วันรุ่งขึ้น นางจำนงฯ ออกจากบ้านไปแล้ว ขุนจำนงฯ ยังอยู่ แต่งามพิศไม่รู้สึกเดือดร้อนเท่าไร เมื่องามพิศกำลังให้ข้าวนก ขุนจำนงฯ มายืนอยู่ใกล้ๆ สัญชาตญาณแห่งการป้องกันตัวทำให้งามพิศรู้สึกทำท่าจะกอด เมื่องามพิศรีบถอยหนีเสียก่อนคุณลุงก็ไม่หักหาญ งามพิศหอบผ้าลงจากเรือนไปซักที่หน้าห้องน้ำ คุณลุงก็เข้าห้องแต่งตัวแล้วก็ออกจากที่พักไป

เวลาล่วงไปเกือบชั่วโมง งามพิศซักและตากผ้าเสร็จเรียบร้อย คุณป้ายังไม่มา บัดนี้ยังเหลือแต่งานจีบพลูอยู่อย่างเดียว ถ้างามพิศทำเสร็จก่อนคุณป้ากลับนานเท่าใด ก็หมายความว่าหล่อนจะได้มีเวลาว่างเป็นของหล่อนโดยแท้จริงนานเท่านั้น

งามพิศรีบจีบพลูอย่างที่เรียกว่าจนมือสั่น บัดนี้พลูส่วนที่ใช้กลางใบจีบนั้นจีบเสร็จ คงอยู่แต่ข้างพลูซึ่งเหลือจากที่ได้ใช้ทำไส้แล้ว ก็ยังจะจีบได้อีกหลายจีบ งามพิศอยากฉีกข้างพลูทิ้งเสีย แล้วคุณป้าจะรู้ก็หาไม่ แต่หล่อนทำตามใจตัวเช่นนั้นไม่ได้ เพราะขัดกับนิสัยในตัวหล่อน

พอจีบพลูข้างเสร็จ พรมน้ำเสร็จแล้วจัดใส่ในโถ ก็พอดีได้ยินเสียงคุณป้าตะโกนเรียกนางแหวว หญิงสาวถอนใจ วันนี้โชคไม่ดี ! แต่เอาเถอะ อย่างน้อยที่สุดหล่อนได้ทำงานด้วยใจเฉยเรื่อย ไม่ต้องหวาดไหวเพราะคำพูดติโน่นตินของผู้มีอำนาจเหนือ ก็จัดว่ามีเวลาหายใจสะดวกมากพอควรเป็นการดีอยู่แล้ว

วันต่อๆ มา นายอำเภอเมืองและภรรยายังคงสนทนากันด้วยเรื่องข้าหลวงใหม่อยู่เรื่อยๆ งามพิศได้ทราบทั้งที่ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ว่าข้าหลวงขอให้คุณป้าช่วยหาคนงานสำหรับทำสวน คนใช้ผู้ชายสำหรับวิ่งเต้นและคนใช้ผู้หญิงสำหรับซักฟอก ส่วนแม่ครัวนั้นข้าหลวงได้หามาด้วยแล้วจากกรุงเทพฯ แต่เป็นแม่ครัวที่ไม่สันทัดนัก ถ้าคุณป้าจะหาแม่ครัวให้ใหม่ได้ข้าหลวงจะยินดีมาก จะย้ายแม่ครัวคนเก่าให้ไปทำหน้าที่ซักฟอก เพราะข้าหลวงเป็นผู้ที่ ‘กินยาก’ ด้วย และ ‘ช่างกิน’ ด้วย และ ‘หนู’ ชอบแต่หนังสือ กับข้าวกับปลาไม่เอาถ่านเลย

อาศัยที่แม่ครัวของข้าหลวงเป็นผู้ไม่มีฝีมือดีพอ และ ‘คุณหนู’ ตามสำนวนของคุณป้าที่เรียกธิดาของข้าหลวง ‘ไม่เอาถ่าน’ เรื่องการครัวนี่เอง คุณป้าก็ต้องเข้าครัวทุกเย็น ทั้งนี้เป็นการเพิ่มงานให้งามพิศ เพราะเจ้าหล่อนต้องเข้าครัวกับคุณป้าด้วย ซึ่งถ้าจะกล่าวให้ตรงทีเดียว ก็ควรกล่าวว่าคุณป้าเข้าครัวกับงามพิศ เพราะคุณป้าเป็นแต่ผู้สั่งและผู้ชิม นอกจากนี้ไปตกเป็นหน้าที่ของงามพิศทั้งสิ้น

การถูกเพิ่มงานดังกล่าวนี้ มิได้ทำให้งามพิศนึกชังข้าหลวงหรือโกรธเคืองผู้หนึ่งผู้ใด เหตุว่าถึงแม้หล่อนต้องทำงานหนักขึ้น เวลาแห่งความอิสระของหล่อนก็มากขึ้นด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้คุณป้ามีธุระต้องออกจากบ้านไปทุกวัน เพื่อซื้อจ่ายอาหารดิบมาประกอบเป็นกับข้าวให้ข้าหลวงบ้าง เพื่อหาคนใช้ตามความต้องการของข้าหลวงบ้าง และนอกจากนี้ยังเพื่อเหตุอื่นที่งามพิศรู้ไม่ถึง คุณป้าของหล่อนต้องไปตามบ้านต่างๆ เพื่อให้ภรรยาข้าราชการด้วยกันรู้ว่า ตัวท่านเป็นผู้ที่ข้าหลวงคนใหม่ไหว้วานธุระต่างๆ

เย็นวันนั้น ในระหว่างที่งามพิศกำลังหลนปลาร้าทรงเครื่องเพื่อส่งไปที่จวนข้าหลวงตามเคย หล่อนได้ยินเสียงโจษจากชั้นล่างของเรือนว่า “ข้าหลวง ข้าหลวง ข้าหลวงมา” มิช้าก็เห็นขุนจำนงฯ โจงชายสะโหร่งขึ้นบันไดมาก่อนแล้วก็หายเข้าไปในห้อง เสียงคุณป้าพูดว่า “ทางนี้ค่ะคุณ” “ระวังบันไดนะคะ” แล้วเสียงผู้ชายพูดตอบคุณป้า ด้วยความที่ ‘เข็ดคน’ จนเคยตัว งามพิศหันหลังให้ประตูครัว แล้วยังพยายามก้มหน้าลงเสียด้วย แต่มือยังคงทำงานต่อไป

ขุนจำนงฯ กลับออกมานอกห้อง นุ่งกางเกงเรียบร้อย จัดแจงปูพรมลงบนพื้นกระดานตรงที่เคยนั่งรับประทานอาหาร แล้วก็จัดแจงยกเก้าอี้จัดที่ทางระเบียงด้านหน้าด้วย ข้าหลวงตรงไปยังที่ๆ มีพรมปู ครั้นนางจำนงฯ พูดว่า “ทางโน้นเย็นกว่า” ข้าหลวงก็ยั้งอยู่ ถอดรองเท้าก้าวขึ้นบนยกพื้น และเดินต่อไปทางเฉลียง หญิงสาวที่เดินตามหลังก็ทำตาม

นางจำนงฯ ละสามีให้เป็นผู้รับรองข้าหลวง ตนเองขมีขมันเข้าในห้อง ไขกุญแจตู้หยิบถ้วยแก้วพวงเงินได้แล้วก็ถือออกมา ยืนตะโกนเรียกหลานสาวที่หน้าครัว

“เช็ดให้เกลี้ยงๆ นะ” คุณนายกระซิบกำชับเมื่องามพิศรับถ้วยแก้ว “แล้วอย่าให้ผงไผ่มีในน้ำล่ะ”

คุณป้ากลับไปยังข้าหลวง งามพิศรีบไปทำงานตามที่ท่านใช้

เมื่อทำแล้ว จะต้องนำไปให้ผู้เป็นแขก...นึกถึงว่าแขกนั้นมิใช่มีแต่ข้าหลวงคนเดียว ยังมีธิดาข้าหลวงซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนอีกคนหนึ่ง งามพิศเกิดความรู้สึกเกลียดชังการที่ตนต้องปฏิบัติหน้าที่นี้ขึ้นเป็นอย่างแรง มือที่ถือพวงถ้วยแก้วก็มีอาการสั่น เท้าที่ก้าวเดินก็ออกจะแกว่งเมื่อเดินผ่านเฉลียงด้านแรกมาแล้ว มองไปข้างหน้า เห็นคุณลุงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งเก้าอี้เหมือนกัน ส่วนคุณป้ากับหญิงอีกหนึ่งนั่งบนยกพื้น งามพิศค่อยหายใจสะดวกขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่า เจ้าหล่อนผู้นั้นหันหลังมาทางตน รีบสาวเท้าเข้าไปพร้อมกับระวังมิให้เกิดเสียง คุกเข่าลง หน้าก้มไม่เหลียวแลผู้ใด วางพวงถ้วยแก้วไว้ข้างคุณป้า...

แต่ในขณะที่งามพิศขยับจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ร้อง “เอ๊ะ !” ขึ้นอย่างดัง

ทั้งที่ได้ตั้งใจจะไม่ดูเขา เพื่อเขาจะได้ไม่เห็นหน้าตนงามพิศก็อดเหลือบตาขึ้นมิได้ พอดีกับเสียงนั้นดังขึ้นอีก

“งามพิศ ! เอ๊ะ งามพิศนี่นา ! ต๊ายตาย เธอแอบมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

สีหน้างามพิศแดงขึ้นแล้วกลับซีดลงยิ่งกว่าเก่า จำได้ในบัดนั้นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร แต่มิรู้ที่จะแสดงกิริยาอย่างไรถูก ผู้พูดก็ขยับตัวปราดเดียวมาถึงตัวงามพิศตีขางามพิศดังฉาดใหญ่พร้อมกับพูดว่า

“จำฉันไม่ได้หรือ? ต๊าย เธอดำไปเป็นกอง ฉันเกือบจำไม่ได้ หากว่าเห็นแว่นตาถึงได้รู้ว่าเธอ”

งามพิศหลบสายตาเพื่อน แล้วทำท่าดังจะหันข้างให้ในใจนึกอยู่แต่ว่า “คุณป้าจะว่ายังไง” ก็พอดีคุณป้าพูดขึ้น

“อ้อ เคยรู้จักกันมาหรือคะ? เออ แล้วยังไงแม่พิศคุณทักก็ไม่ไหว้ไม่กราบ” แล้วเสริมแกมหัวเราะ “แกละออกแขกทีไรเป็นเร่อร่ายังงี้เสมอ”

งามพิศพนมมือขึ้น แต่หันไปไหว้ทางข้าหลวง สีหน้าของหล่อนนั้นซีดเผือด รู้สึกแน่นในอกดังจะหมดความรู้สึกไปในบัดนั้น

บุตรีท่านข้าหลวงหันไปกล่าวแก่บิดาว่า

“คุณพ่อคะ งามพิศเขาไหว้น่ะค่ะ คุณพ่อจำงามพิศไม่ได้หรือคะ เพื่อนหนูที่หนูเคยเรียกว่าท่านยายน่ะค่ะ ที่เคยไปหาหนูที่บ้านคุณน้า แล้วพบกับคุณพ่อน่ะค่ะ”

ข้าหลวงหัวเราะเบาๆ และตอบ “พ่อกำลังนึกอยู่ว่าดูเหมือนพ่อจะเคยรู้จัก” แล้วถาม “อยู่ที่นี่นานแล้วหรือจ๊ะ?”

“อยู่มาตั้งแต่พ่อตายแหละเจ้าค่ะ” คุณนายตอบ “พอพ่อเขาตายดิฉันก็รับมาไว้ด้วย ก็ทางกรุงเทพฯ ไม่มีญาติที่ไหนนี่เจ้าคะ ก็มีแต่ดิฉันนี่แหละ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องเอามาไว้ด้วย”

ความจริงนั้นข้าหลวงก็ไม่เคยทราบประวัติของงามพิศมาก่อน ทั้งตามความที่ลูกสาวได้กล่าวเพื่อช่วยความจำของบิดานั้น ก็มิได้ทำให้บิดาฉลาดขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามข้าหลวงถามอย่างมีความสนใจว่า

“บิดาเสีย เสียตั้งแต่เมื่อไหร่?”

คำถามนั้นทำให้คุณนายต้องหยุดนึก และงามพิศก็ไม่มีศรัทธาที่จะพูด ธิดาข้าหลวงจึงเป็นผู้ตอบ

“เมื่อเดือนกรกฎาค่ะ ที่หนูเขียนจดหมายเล่าให้คุณพ่อฟังยังไงคะ แล้วเวลาคุณพ่อจะให้หนูมาอยู่กะคุณพ่อ คุณพ่อลำเลิกว่าเผื่อคุณพ่อเป็นอะไรไปง่ายๆ อย่างหลวงประเสริฐฯ หนูจะเป็นยังไง”

“อ๋อ ! หลวงประเสริฐฯ ที่รถชนกับใครแล้วเลยตายน่ะหรือ พิโธ่ ! แม่หนูนี่ลูกสาวหลวงประเสริฐฯ น่ะเอง” มองดูงามพิศทั่วทั้งตัวแล้วมองดูธิดา แล้วมองดูงามพิศอีกแล้วเสริมด้วยเสียงเบากว่า เดิม “โธ่ น่าสงสาร”

น่าจะเป็นด้วยกังวานแห่งน้ำเสียงของข้าหลวง ที่กล่าวประโยคสุดท้ายทำให้ขุนจำนงฯ มองดูหลานภรรยาแล้วเห็นหล่อนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน คือเห็นหน้าดำคล้ำเป็นมันด้วยเหงื่อ ผ้าซิ่นที่นุ่งอยู่แม้เป็นสีดำก็ยังเห็นได้ว่าสึกเต็มทีแล้ว ขุนจำนงฯ จึงเกิดความรู้สึกอึดอัดในใจ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ