๔
วันที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์พาหลานสาวไปจากกรุงเทพฯ นั้นเป็นวันเสาร์ สุนทรีเลิกจากการสอน กลับถึงที่อยู่เร็วกว่าวันธรรมดาสองชั่วโมง เมื่อขึ้นมาถึงตึกชั้นบน ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าห้องส่วนตัว หล่อนมองเห็นร่างของชายผู้หนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้นวมในห้องหนังสือ หนังสือพิมพ์ที่ถืออ่านอยู่ปิดหน้าเขาไว้ ประหลาดใจและสงสัย สุนทรีจึงเดินมาที่ประตู
ครู่หนึ่ง เขาพับหนังสือพิมพ์ ตามองไปข้างหน้า พอหญิงสาวขยับจะทัก เขาก็เห็นหล่อนและพูดขึ้นก่อนว่า
“อ้าว ! กลับแล้วหรือ? เอ๊ ! ทำไมวันนี้กลับเร็ว?”
“ก็วันเสาร์นี่ เธอล่ะ ทำไมนอนอยู่นี่ ไม่ไปทำงาน”
“เมื่อเช้าตื่นขึ้นเพลียเหลือเกิน ปวดแขนจากไอ้เทนนิสเมื่อวาน เลยโทรศัพท์ไปบอกนายเขาว่าไม่ไปล่ะ”
หล่อนไม่พูดว่ากระไร พยายามที่จะไม่เปลี่ยนสีหน้า ยืนนิ่งอยู่กับที่นานพอสมควร แล้วก็เดินห่างออกไป
ทันใดนั้นความฉุนโกรธก็เกิดขึ้นในใจประจิตร...งานของเขา เขาไม่รู้หรือว่าเขาหยุดได้หรือไม่ได้...ทำไมถึงจะต้องมาคอยว่าคอยกล่าว ตัวเป็นใคร มาถึงจะมาบังคับกะเกณฑ์ให้เขาทำนั่นทำนี่....
หนังสือพิมพ์ทั้งฉบับกระเด็นหวือ ไปกระจายอยู่กลางห้อง ประจิตรลุกขึ้นนั่งหน้าบึ้งอยู่บนเก้าอี้....เขาเล่นเทนนิสเมื่อวานนี้ไม่ใช่เพื่อความสนุกถ่ายเดียว เขาเล่นเพื่อจะเอาชื่อให้แก่สมาคม และเพื่อจะเอาชื่อให้แก่ชาติ เพื่อมิให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศชนะเจ้าของชาติได้ !!! เมื่อนึกถึงข้อแก้ตัวได้เช่นนี้แล้ว ประจิตรก็ค่อยคลายโมโห เตรียมพร้อมที่จะให้อภัยแก่ผู้ที่มาก่อกวนให้เกิดความรำคาญ เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้ดังเดิม ‘ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงไม่ค่อยมีความคิดสำหรับเรื่องพรรค์นี้ !...’
พยายามจะทำที่ตั้งใจไว้ คือนอนพักสักชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ตื่นขึ้นแล้วจะได้ไปสโมสรเพื่อเล่นกอล์ฟซ้อมมือ ไว้เข้าแข่งขันในเดือนหน้า แต่สมองที่ได้ถูกสะกิดให้ตื่นตัวเสียแล้วนั้นไม่ยอมอยู่นิ่ง.... ‘ไม่ทันนึกว่าวันนี้วันเสาร์ ไม่ยังงั้นก็....’
หลับตาอยู่ได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องลืมตาขึ้นอีก.....มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นทำไมจึงเข้มงวดนัก? จุกจิกอย่างยายแก่ก็ไม่ !...เป็นครูเสียจนเคยตัว เห็นใครๆ เป็นนักเรียนไปเสียหมด....รู้ได้อย่างไรว่าการขาดงานเดือนละครั้งสองครั้ง จะทำให้นายเขาติลับหลัง นายเป็นผู้ชายย่อมจะรู้ว่า ความมีชื่อในทางกีฬาก็เป็นเกียรติอันหนึ่ง....ผู้หญิงก็ดีแต่จู้จี้ ยิ่งเป็นครูเคยแต่รักษาระเบียบของโรงเรียน เอะอะก็ระเบียบ.....ระเบียบ....ระเบียบจนเป็นเถรตรง....
สมองทำการคิดต่อไป คิดเร็ว คิดลึก จนเจ้าของสมองไม่รู้ว่าคิดอะไรบ้าง ทันใดเขาเกิดความรู้สึก ในความรู้สึกอยากรู้ ซึ่งบังเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า อยากรู้ว่าในขณะนี้สุนทรีมีความคิดในเรื่องตัวเขาประการใดบ้าง เขาเกลียดการที่เขาต้องทายความคิดของหล่อนโดยเดา ทั้งที่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดถึงเขาในแง่ที่ไม่ดี ผุดลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไปนอกห้อง
ฝีเท้าของเขาทำให้สุนทรีรู้ตัว หล่อนจึงเตรียมตัวไว้รับหน้าเขา ฉะนั้นเมื่อเขาเข้ามาในห้อง จึงเห็นหล่อนนั่งก้มหน้าเคร่งอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเดินเข้าใกล้และถามว่า
“ทำอะไร?”
“ตรวจสมุดนักเรียน” หล่อนตอบโดยไม่เงยหน้า
เขาขยับเข้าใกล้อีก เท้าแขนซ้ายลงบนโต๊ะในระยะที่ทำให้ทรวงอกของเขาเกือบประสานกับบ่าของหล่อน สุนทรีไม่ไหวตัว แต่มือถือปากกาหมึกซึมนั้นคงเดินหน้าหรือหยุดนิ่ง แล้วแต่เนื้อความแห่งตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เขามองดูตัวอักษรเหล่านั้นโดยไม่เอาใจใส่ ใจคิดถึงผู้ตรวจตลอดเวลา....เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขามองดูเส้นผมดำเป็นมันซึ่งปกคลุมศีรษะ แล้วลงมารวบเป็นมวยยาวรีรอบท้ายทอย ริมๆ มวยนี้ เขาเห็นผมเส้นละเอียดม้วนบิดตามธรรมชาติเป็นวงน้อยๆ อยู่ตามต้นคอ เขาเคยเห็นเช่นนี้หลายครั้ง ทุกครั้งเขามีความรู้สึกอยากจะจับเล่น และเดาว่าวงผมน้อยๆ นี้คงอ่อนนุ่มดังเส้นไหมชนิดแท้และละเอียดที่สุด แต่เขายังไม่เคยกล้าที่จะลองทำตามใจ คราวนี้ก็อีก เขายกมือขวาขึ้นแล้ว...แต่ก็ต้องทิ้งมือให้ห้อยลงข้างตัวตามเดิม
มองกลับไปที่สมุด เห็นปลายปากกาขีดปราดลงใต้ประโยคที่มีข้อความว่า ‘ท่านจงรักใครๆ’ เขาถามขึ้นด้วยความสนเท่ห์
“เอ๊ นั่นหมายความว่ากระไร?”
“ก็ดูเถอะ” สุนทรีอุทานโดยเร็ว “นักเรียนชั้น ม. ๘ ยังเขียนภาษาที่ไม่เป็นภาษามาได้”
“ที่ถูกน่ะมันควรจะเป็นอย่างไร” เขารีบถาม มีความดีใจที่จะทำให้หล่อนต้องพูดกับเขามากกว่าที่ได้พูดแล้ว
“ภาษาฝรั่งเศสมีว่า ‘Aimez-vous les uns les autres’ เขาเลยแปลว่า ท่านจงรักใครๆ” แล้วหล่อนก็แก้รูปประโยคนั้น
แต่ประจิตรไม่ทันได้เห็นข้อความที่หล่อนเขียน เขาได้ขยับไปยืนทางหลังโต๊ะตรงหน้าหล่อน พอสุนทรียกมือขึ้นจากสมุดเล็กน้อย เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาปิดหน้ากระดาษในสมุดนั้นเสีย หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดู เขาก็พูดอย่างครึ่งเล่นครึ่งวิงวอน
“Donnes-moi un peu de ton amour”๑
หล่อนก้มหน้าลงดังเก่าและตอบอย่างเด็ดขาด
“ไม่”
“Je t'an supplie”๒
“ไม่” หล่อนยืนคำ
“Pourquoi ?”๓
คราวนี้หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วตอบ
“ฉันเกลียดคนไถล”
ดวงตาของหล่อนเพ่งอยู่ที่ดวงตาเขา สีหน้าของหล่อนนั้นขรึม แต่แววตาของหล่อนมีลักษณะดังหยาดลงมาจากฟ้า ประจิตรพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
“Comme tu severe !”๔
คราวนี้หล่อนตอบเป็นภาษาเดียวกับที่เขาพูด
“Non, je suis se’reuse”๕
เขายกมือจากแผ่นกระดาษ สุนทรีก็ผลักกระดาษนั้นไปเสีย แล้วลงมือขีดเขียน เสมือนไม่รู้สึกว่าเขายังยืนอยู่ในที่นั้น
ประจิตรยืนนิ่งดูใจหล่อน ครั้นทนดูอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ได้ก็เอ่ยขึ้นว่า
“Je t'aime”๖
เขาเคยแสดงความรู้สึกของเขาในแง่นี้ต่อสุนทรีหลายครั้ง และทุกครั้งเขาแสดงในภาษาที่ไม่ใช่ภาษากำเนิดของเขา เขาถือคำพูดที่เขากล่าวโดยยืมภาษาอื่นมาใช้ย่อมจะไม่มัดตัวเขา แต่ย่อมจะมีความหมายตรงกับที่เขาตั้งใจ โดยนัยนี้ถ้าสุนทรีโกรธ เขาก็จะแก้ได้ว่าเขาพูดเล่น ถ้าหล่อนไม่โกรธแต่ปฏิเสธ เขาก็ถือว่าคำปฏิเสธของหล่อนก็เป็นเช่นเดียวกับคำขอของเขา คือไม่เป็นหลักฐานอันใด แต่ถ้าหากหล่อนไม่โกรธด้วย ไม่ปฏิเสธด้วย.....เขาก็...
ถ้าหากหล่อนไม่โกรธด้วย ไม่ปฏิเสธด้วย ? ? ?...ไม่มีวันเสียหละ !!! - ทั้งไม่โกรธ ? ทั้งไม่ปฏิเสธ ?!!...จุ๊ย์ๆๆ เขายังไม่เคยคิดเลยมาถึงเพียงนี้
“Je t’aime”๗ เขากระซิบอีกอย่างร้อนรน
หล่อนทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว
“J'aime ta severite Cherie, je t' adore”๘
หล่อนหัวเราะเป็นเสียงเบาๆ แต่ยังคงเงยหน้าแล้วพูดอย่างเห็นสนุก
“นี่จะมาซ้อมบทรักไปแสดงที่ไหน?” เหลือบตาขึ้นดูเขาแว็บหนึ่ง พอให้เขาเห็นอาการเย้ยหยัน “หรือตาฝาดเห็นฉันเป็นแหม่มปารีส !”
หล่อนก้มหน้าลงเขียนต่อไป ประจิตรมองดูมือที่ถือปากกา ดูด้ามปากกาที่อยู่ในมือ ดูสมุดที่เปิดวางอยู่ตรงหน้า ดูแล้วก็โกรธทุกๆ สิ่งที่ตนดูอยู่นั้น นึกอยากแย่งปากกาจากนิ้วผู้ถือแล้วโยนออกไปทางหน้าต่าง แย่งสมุดมาขว้างออกไปทางประตู อยากจะฉวยมือ....
มือ ! ถูกแล้ว เขาอยากจะฉวยมือที่ถือปากกา แต่เมื่อฉวยมาได้แล้ว เขาจะทำอะไรกับมือนั้น ?....
ประจิตรถอยห่างจากโต๊ะไปยืนพิงเก้าอี้....
ถ้าเขาหาญพอที่จะจับมือหล่อนในขณะนี้ ย่อมหมายถึงว่าเขาจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่มือ... “จูบเข้าสักที คงโกรธราวกับไฟไหม้ป่า” เขาคิดแล้วก็ยิ้ม
ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง
“อย่าลืมว่าวันนี้อย่างน้อยแขกสามคน แล้วไปฟังคอนเสิร์ทที่ราชกรีฑา”
“จุ๊ย์ ! เบื่อ” สุนทรีอุทาน
“ใจแคบ” เขาว่าหล่อนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษากำเนิดของเขาตามเคย
“ฮื้อ ! ฉันเบื่อเธอน่ะ จะไปไหนก็ไม่ไป เขาจะทำงานของเขา”
“วันนี้ไม่ตั้งใจจะไปไหน อยากจะอยู่กับพี่สุนทรี”
หล่อนอดยิ้มมิได้ขณะที่ว่า
“สำออย ! ฉันไม่ต้องการอยากอยู่กับเธอ ฉันต้องการจะทำงานของฉันมากกว่า”
“แล้วฉันอยู่ด้วยมันกีดขวางอะไร ฉันไปยึดมือถือแขนเธอไว้รึ ฉันขอแต่เพียงให้ได้อยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้นแหละ”
“โธ่ยังงั้นก็อย่ามาชวนฉันพูดซี ฉันจะรีบตรวจสมุดให้แล้ว คืนนี้ก็จะต้องนอนดึกอีก”
“ยังงั้นขออาศัยนอนในนี้พอได้เห็นหน้ากันหน่อย ได้ไหมล่ะ เธอจะทำงานก็ทำไป ส่วนฉันจะหลับก็หลับไป” พูดแล้วเขาบ่ายหน้าไปทางเตียงของหล่อน
สุนทรีลุกขึ้นจากโต๊ะทันที “เธอจะมานอนบนเตียงฉันไม่ได้” หล่อนพูดพร้อมกับหัวเราะ แต่สีหน้าแสดงความร้อนใจ
“ทำไม?” เขาย้อนถาม ทำหน้าซื่อ มีความยินดีที่จะได้ทรมานหล่อน
“เพราะเธอเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน”
เขานึกขำในคำที่หล่อนว่า จนอยากหัวเราะออกมาดังๆ
“ถึงเป็นหนุ่ม ก็ยังคงเป็นน้องชายเธออยู่ไม่ใช่หรือ” เขาเถียง “แต่ก่อนทำไมถึงนอนด้วยกันได้ ตักแม่เล็กกว่าเตียงเป็นไหนๆ ฉันนอนกินนมข้างหนึ่ง เธอก็นอนกินอีกข้างหนึ่ง.....”
“นั่นมัน ๒๕ ปีมาแล้ว เหมือนกันหรือกับเดี๋ยวนี้ อย่าทำเป็นคนไม่รู้ภาษาไปหน่อยเลย พูดกันหลายสิบทีแล้วไม่ต้องรู้จักเข้าใจ”
หล่อนพูดโดยไม่หัวเราะ และถึงแม้ดวงตาของหล่อนจะหวานฉ่ำอยู่เป็นปกติ ก็มีแววแห่งความฉุนโกรธเจืออยู่ด้วย ประจิตรจึงเหออกอีกทางหนึ่ง
“ตั้งแต่เกิดเรื่องอีตาหลวงที่ตายมาแล้ว ก็เป็นโรคไม่อยากอยู่คนเดียว” เขาว่า “จริงๆ นะไม่พูดเล่น แล้วอยู่กับใครก็ไม่อุ่นใจเหมือนอยู่กับพี่” ถอนใจเล็กน้อย “ไอ้โรคนี้คงติดตัวฉันไปจนตาย”
หล่อนตอบอย่างไม่ปรานี
“ไม่จริงหรอก ไม่มีฉันเสียเมื่อไหร่โรคก็หาย”
“ไม่จริงหรอก” เขาเลียน “ไม่มีพี่เมื่อไหร่ฉันก็ตาย”
“โอ้ ฉันจะคอยดู คงได้เห็นสักวันหนึ่งหรอก...ราวกับใครเขาจะหลงเชื่อ”
“ก็เมื่อไม่มีพี่ แปลว่าพี่ไม่มีตัวอยู่ในโลก จะจ้างใครไว้ดูแทนจ๊ะ”
“ฉันอาจจะยังอยู่ในโลก แต่....ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทำไมฉันอาจ จะ....ไปไหนๆ เสียก็ได้”
“จะไปไหน? ไปไหน? บอกมาทีรึ” ฉวยข้อมือหล่อนมากำไว้แน่น มีอาการคล้ายกับว่าหล่อนทำให้เขาเกิดโทสะขึ้นโดยทันที “กลับไปอยู่กับพ่อ? พ่อเขาก็มีเมีย เธอกินนมแม่ฉันมาตั้งแต่อายุได้เจ็ดวัน เธอจะเห็นพี่น้องของเธอทางโน้นดีกว่าฉันหรือ?”
สุนทรีมองดูเขาอย่างยิ่ง ประหลาดใจและขันระคนกัน แล้วเกิดความนึกสนุกจึงแย้งขึ้นว่า
“ถึงไม่ไปอยู่กับพ่อ ฉันอาจจะ.....”
เขาเริ่มโกรธอย่างจริงจัง “จะอะไร?” เขาถามเร็วแล้วต่ออย่างฉุนเฉียว “แต่งงานรึ? ชะ ยังไงๆ เธอก็แต่งไม่ได้....” ตกใจในคำยืนยันของตนเองจึงแก้ “อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้เธอแต่งไม่ได้ เพราะยังไม่มีตัวเจ้าบ่าว สิงห์หรือ? จริงแหละ สิงห์เป็นคนโปรดของเธอ แต่เมียเขาเป็นเพื่อนของเธอเอง แล้วมีใครอีก? แสง? อนุชาติ? เฮ้อมันมีเมียแล้วทั้งนั้น ชั่วแต่มันไม่เอาออกแสดง อ้อ หลวงชาญ ! คนโปรดอีกคนหนึ่งก็แต่งงานแล้วอีกเหมือนกัน แต่ว่าสันดานมันป่าเถื่อน เมียมันๆ เก็บไว้ในบ้าน ตัวมันเองมันไปทุกหัวระแหง”
เขาหยุดพูด ฉงนตัวเอง ไม่เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแก่ตัว ขมวดคิ้ว กะพริบตา แล้วมองดูสุนทรี บัดนี้เขาโกรธว่าสุนทรีไม่โต้ตอบเขา แทนที่จะทำดังนั้น หล่อนมองตอบเขาแล้วก็หัวเราะใส่หน้าเขาโดยไม่เกรงใจ
ประจิตรผละจากสุนทรี เดินลงส้นกลับไปยังห้องหนังสือ กิริยาวาจาของเขาเองซึ่งพลุ่งพล่านขึ้นโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจนั้นทำให้เขาอาย และเมื่ออายแล้วก็นึกโกรธสุนทรี หาว่าหล่อนเป็นต้นเหตุแห่งความวิปริตของตน ฝ่ายสุนทรีนึกเคืองว่าประจิตรทำกิริยาฉุนเฉียวใส่หล่อนโดยไม่มีเหตุผล ก็หมายใจไว้ว่าจะไม่พูดดีต่อเขาเลย จนกว่าจะถึงเวลาที่เขากับหล่อนอยู่ต่อหน้าแขกด้วยกัน
ครั้นเมื่อใกล้จะ ๑๗ นาฬิกา ประจิตรตื่นนอนและอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จเตรียมจะไปสโมสร ในเวลาเดียวกับที่เขากำลังจะลงบันไดไปขึ้นรถ มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นเข้ามาจากนอกบ้าน ประจิตรมองเห็นหน้าขาวและบางอยู่ในรถสองหน้า เขาจึงหยุดยืนอยู่บนเชิงบันได แสดงท่วงทีเป็นเจ้าของบ้านเต็มที่
ดรุณีทั้งสองมีอาการประหม่า เมื่อเห็นชายหนุ่มยืนภูมิอยู่ ณ ที่นั้น เจ้าหล่อนซุบซิบกันและเกี่ยงกันให้ลงจากรถก่อน แล้วต่างฝ่ายต่างก็ไม่ลง ประจิตรจึงช่วย เขาลงบันไดไปสองขั้นและถามไปโดยเดา
“มาหาคุณสุนทรีหรือครับ !”
“ค่ะ” คนหนึ่งตอบ “อยู่ไหมคะ?”
“อยู่ครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกให้ เชิญคุณคอยในห้องรับแขกก่อน นั่น ห้องอยู่นั่น”
พูดแล้วเขาหันหลังกลับขึ้นตึก และพอรู้ว่าลับตาหญิงทั้งสองแล้วก็ออกวิ่ง ขึ้นบันไดทีละสองขั้น หยุดชะงักพรืด ! ที่ตรงประตูซึ่งแง้มอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องดังมาจากข้างในว่า
“ใคร ใคร อย่าเข้ามานะ ฉันกำลังแต่งตัว”
“มีแขกมาหาสองคน” ชายหนุ่มบอก
“เอ๊ะ ใครนะ? เธอไปรับเขาก่อนซี บอกเขาว่าพี่กำลังแต่งตัว”
“รับไม่ได้ เขาเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แล้วเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้า”
เสียงหัวเราะและฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทางประจิตร แล้วเสียงพูดดังอยู่ข้างประตู
“ท่าเห็นจะสวย ไม่ยังงั้นคงไม่ตื่นเต้นถึงกับลงทุนวิ่งขึ้นมาบอกเอง”
“คงสวยสู้พี่เวลากำลังแต่งตัวไม่ได้”
“พิลึก ! สองคนที่มาน่ะเขาไม่ได้แต่งตัวมาหรอกหรือ?”
เขาหัวเราะเยาะความเขลาของหล่อนอยู่ในคอ แล้วจึงตอบ
“เขาแต่งมาแล้ว ที่ไหนจะเหมือนพี่เวลาที่กำลังแต่ง อยากเข้าไปเห็นเวลานี้จัง”
หล่อนเริ่มเข้าใจ จึงท้า
“อยากเห็นก็เข้ามาซี”
เขาก็เข้าจริงอย่างหล่อนว่า แต่เขาเห็นหล่อนอยู่ในเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะเมื่อหล่อนเดินมายืนข้างประตูนั้น หล่อนกำลังขัดกระดุมเสื้อนอก เห็นผิดหวังเขาก็ทำหน้านิ่ว
“พิโธ่ ! ยังงี้เอง นึกว่าจะได้ดูอะไรแปลกๆ”
หล่อนหัวเราะกิ๊ก จับตัวเขาหันและรุนให้ออกนอกประตูพร้อมกับพูด
“ไปเร็ว ไปรับแขกแทนประเดี๋ยว ฉันยังไม่ได้หวีผม”
“ขอตัวที” เขาตอบ ครั้นสุนทรีมองดูเป็นทีถามก็ทำหน้าเบ้
“นักเรียน ! เมื่อแรกคิดว่าเป็นครู แต่พอเห็นใกล้ๆ เลยเกิดนึกรู้ขึ้นมา”
ประจิตรเป็นชายหนุ่มที่ ‘ชอบ’ ผู้หญิงมากก็จริง แต่เขาถือมติของเขาอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ข้องแวะกับหญิงที่ยังเป็นนักเรียนเป็นอันขาด เขามักจะกล่าวแก่เพื่อนชายของเขาบ่อยๆ ว่า “ผู้ชายที่เฟลอร์ดกับนักเรียนน่ะบาปเท่ากับผู้หญิงที่สึกพระ” สุนทรีมีความเห็นว่ามติข้อนี้แสดงถึงความมีหิริโอตตัปปะของเขา และคิดนิยมอยู่ในใจหลายครั้ง ในบัดนั้นหล่อนจึงตอบเขาว่า
“ยังงั้นก็แล้วไป อีกสัก ๒ นาทีฉันก็จะเสร็จ”
ดรุณีที่มาหาสุนทรีเป็นนักเรียนจริงดังประจิตรทาย คนหนึ่งชื่อสายใจ เป็นศิษย์สุนทรีโดยตรงในวิชาภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส อีกคนหนึ่งชื่อสงวน เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๗ ในโรงเรียนของคณะมิชชันนารีคาทอลิก
สายใจแจ้งแก่ครูของหล่อนว่า สงวนเป็นเพื่อนบ้านข้างเคียงที่รักใคร่สนิทสนมกับหล่อนมาก บัดนี้ สงวนมีความประสงค์จะย้ายจากโรงเรียนเก่ามาเข้าโรงเรียนใหม่ เพื่อจะได้อยู่โรงเรียนเดียวกับเพื่อนรัก แต่เพื่อทั้งสองจะได้เรียนร่วมชั้นเดียวกัน สงวนขอร้องให้หล่อนได้เข้าเรียนในชั้นมัธยม ๘ เสียแต่ในเทอมหน้าทีเดียว “หนูก็เลยพามาปรึกษาคุณครู” สายใจกล่าวในตอนท้าย “เผื่อปีหน้าเราสองคนสอบไล่ได้ ปีหน้าจะได้เข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกันอีก”
สุนทรีถามถึงระดับความรู้ของสงวน ถามถึงหนังสือที่ใช้เป็นแบบเรียน ถามแล้วหล่อนนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง ภายหลังจึงปรารภ
“น่าเสียดายที่ไม่ได้ย้ายมาเสียแต่ต้นปี เสียเวลาไปเทอมหนึ่งเปล่าๆ”
“เวลานั้นยังไม่ทันคิดค่ะ” สายใจตอบแทนเพื่อน
“แล้วเธอน่ะ แต่ก่อนเห็นว่าจะไม่เข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ เห็นว่าขี้เกียจแล้วยังไง?”
“แต่ก่อนว่าจะไม่เข้าค่ะ ทีนี้เห็นเพื่อนๆ เขาเข้ากันได้ เลยอยากลองมั่ง”
“เธอน่ะแหละ จะเป็นคนที่เข้าได้ดีกว่าคนอื่นๆ อีกหลายคน” สุนทรีตอบพลางยิ้ม “ขอแต่ให้ตั้งใจเรียนนิดเดียวเท่านั้น”
สาวน้อยซึ่งยังมีกิริยาเป็นเด็กอยู่หลายประการนั้น ยิ้มด้วยความพอใจ แล้วตอบตรงๆ ตามนิสัย
“แต่ถ้าเผื่อสงวนไม่ได้เข้าปีหน้า หนูก็ไม่เข้าค่ะ เอาไว้เข้าพร้อมกันปีโน้น”
“อ้าว ! จะยอมเสียเวลาปีหนึ่งเทียวหรือ?”
“ก็คุณครูไม่ช่วยสงวนนี่คะ”
น้ำเสียงนี้ สำนวนเช่นนี้ ในจำนวนนักเรียนทั้งหมด จะมีสายใจแต่คนเดียวที่บังอาจใช้ต่อครูสุนทรี ทั้งนี้เพราะสายใจเป็นนักเรียนที่ฉลาดที่สุด และเรียนดีที่สุดในชั้น ความฉลาดและความเรียนดีของหล่อนนั่นเอง เป็นเครื่องลบความบกพร่องในส่วนวาจาและมรรยาทของหล่อน ให้เห็นปรากฏน้อยลงมาก
สุนทรีตอบคำของศิษย์ว่า
“ช่วยรับไว้เรียนชั้น ๘ น่ะได้ คนอื่นเขาเคยมาเข้ากันได้ถมไป แต่กลัวคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์จะเรียนไม่ทันคนอื่นเขา เธอต้องช่วยกันเองระหว่างเพื่อนได้ไหมล่ะ หรือไม่ยังงั้นก็หาครูพิเศษสอนเวลาเย็น....”
สายใจหันไปดูเพื่อน แล้วด้วยความใจเร็วก็ถามขึ้นว่า
“หาได้ไหมล่ะครูพิเศษ?”
“ต้องถามคุณพ่อดูก่อน” อีกฝ่ายหนึ่งตอบอ่อยๆ
เคยชินต่อการที่ตนเองย่อมได้สิ่งที่ปรารถนา จากบิดามารดาอยู่เป็นนิจ สายใจกล่าวอย่างมั่นคง
“ได้ซิน่า ฉันจะไปช่วยพูด เมื่อไม่ได้จริงๆ ฉันจะสอนให้เอง”
สุนทรีอมยิ้มด้วยนึกเอ็นดู “มีเพื่อนคอยช่วยอย่างนี้เห็นจะได้การหรอก” หล่อนหนุน “แล้วติดขัดอย่างไร ทีหลังมาปรึกษากันใหม่ ปีนี้สอบไม่ได้ ปีหน้าสอบอีกก็แล้วกัน”
สายใจตบมือขึ้นทันทีด้วยความปราโมทย์อย่างยิ่ง