๖
สุนทรีกำลังนั่งตัดเสื้ออยู่กับงามพิศ เมื่อหล่อนได้ยินเสียงท่านบิดาพูดกับน้องของหล่อนคนหนึ่ง
“คุณพี่เขาไปไหน?”
สุนทรีจึงวางกรรไกรและผ้าลงไว้ แล้วก็ลุกออกไปข้างนอก พบพระวนศาสตร์ฯ ยืนพิงลูกกรงตรงเฉลียงใหญ่ด้านหน้า มือถือโทรเลขฉบับหนึ่ง ซึ่งท่านได้แกะผนึกและอ่านดูแล้ว เมื่อเห็นธิดาท่านก็ส่งโทรเลขให้หล่อนโดยไม่พูดว่ากระไร
สุนทรีอ่านดู เป็นใจความว่า “มาพรุ่งนี้เช้า ประจิตร”
หล่อนเงยหน้าขึ้นจะดูคุณพระ ก็เห็นท่านเดินเข้าในห้องของท่าน ซึ่งอยู่ตรงมุมที่สุดของเรือนด้านใกล้ทะเล ส่วนเด็กชายเล็กๆ ก็โลดเต้นไปอีกทางหนึ่ง
สุนทรีจึงกลับห้องของหล่อน พับโทรเลข ใช้หีบเครื่องเย็บทับไว้ แล้วก็หยิบกรรไกรและผ้าขึ้น
อีกครู่หนึ่งต่อมา สุนทรีเหลือบตาขึ้นมองงามพิศแล้วพูดว่า
“คุณประจิตร ที่เธอเกลียดเหลือเกินน่ะ เขาจะมาพรุ่งนี้ แล้วจะพักอยู่ที่นี่ด้วย”
สีหน้างามพิศมิได้แสดงความรู้สึกอย่างอื่น นอกจากความประหลาดใจอย่างมาก....เพลิดเพลินไปด้วยความสุขความสำราญ นับแต่เวลาที่มาอยู่แหลมหินนี้ งามพิศไม่เคยนึกถึงชายที่ชื่อประจิตรแม้แต่สักหนึ่งครั้ง
สุนทรีพูดต่อไปว่า “ประจิตรคนนี้ ฉันเคยกินนมแม่เขามา พอฉันเกิดได้เจ็ดวันแม่ฉันก็ตาย แม่ของประจิตรเอาฉันไปเลี้ยงไว้ เลี้ยงรักเหมือนลูกแท้ๆ ฉันเรียกท่านว่าแม่ เรียกบิดาคุณประจิตรว่าพ่อ ถ้าจะว่าไป คุณประจิตรก็เหมือนกับน้องแท้ๆ ของฉันนั่นเอง”
หล่อนเว้นระยะคำพูด ผู้ฟังคอยฟังต่อด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง
“คุณประจิตรเป็นคนดีหลายอย่าง ไม่มีความใจชั่วใจดำอยู่ในตัวเลย ตรงกันข้าม เขาเป็นคนมีความกรุณา เขาไม่เคยรู้ว่าเธอตกทุกข์ได้ยากยังไง ใครๆ ก็ไม่รู้แม้แต่พี่ชายของเธอเอง จริงไหมล่ะ? ถ้าคุณประจิตรรู้เรื่องของเธอละเอียด เธออยากจะให้เขาช่วยในทางไหนบ้าง เขาจะช่วยเธอทุกทาง....ถ้าจะช่วยได้”
พูดมาได้ถึงเพียงนี้ก็ได้ยินเสียงมารดาเลี้ยง ตะโกนเรียกชื่อตนอยู่ภายนอก คิ้วของหล่อนก็ขมวดเข้าหากัน แล้วหล่อนก็ฝืนตัวขยับจะลุกขึ้น ก็พอดีนางวนศาสตร์ฯ มาใกล้
“พ่อจิตรจะมาหรือ?” ถามทันทีที่มาถึงช่องประตู
“ค่ะ”
“จะมาเมื่อไหร่?” นางวนศาสตร์ฯ เข้ามาในห้อง สีหน้าตื่นเต้นหมกมุ่น
“เอาเมียมาด้วยไหม?”
สุนทรีมองดูงามพิศด้วยความตะขิดตะขวงใจ แต่ก็จำต้องตอบว่า
“เรื่องเมีย ไม่ทราบว่าจะมาหรือไม่ แต่ตัวเธอจะมาพรุ่งนี้”
“ตาย !” นางละม้ายร้อง “ถ้าขืนเอา ‘อี....เก็บ’ นั่นมาด้วยละก็ ฉันทนไม่ได้จริงๆ ใครทนได้ก็ทนไป”
“ไม่ทนจะทำยังไง?” สุนทรีถามแกมประชดอยู่ในความคิด ครั้นแล้วเกิดความรู้สึกแน่ในใจว่า มารดาเลี้ยงของหล่อนนี้ มิใช่จะทำเกลียดภรรยาประจิตรเพราะตั้งใจจะ ‘ช่วย’ สุนทรีเกลียดมิได้ หากเกลียดด้วยน้ำใสใจจริงของท่านเอง รู้สึกเช่นนี้แล้ว หล่อนก็ขอบใจท่านพร้อมกับนึกขันท่านด้วย จึงตอบไปว่า
“ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียก็แล้วกันนี่คะ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะยกขึ้นเชิดหน้าชูตากับใคร”
“ก็ไม่เชิดแล้วทำไมจะต้องพาเอามาโชว์จนถึงนี่ จะเอามาให้ตำตาพ่อแม่สุนทรียังงั้นหรือ?”
หญิงสาวเริ่มเกิดโมโห จะตอบออกไปให้เป็นคำที่สุดและคำสุดท้าย ก็ขัดด้วยงามพิศผู้ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วย จึงจำเป็นทำใจดีต่อผู้พูด กล่าวว่า
“อุ๊ย ! เราอย่าไปเอาใจใส่กับเขาเลยค่ะ เรื่องหลังฉากของเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรา นับถือกันอย่างญาติดีกว่า เขาก็นับถือคุณพ่อกับคุณละม้ายอย่างญาติผู้ใหญ่ของเขาจริงๆ คุณอาผู้หญิงคุณอาผู้ชายไม่ได้ตกฟากสักคำเดียว ไม่ว่าต่อหน้าลับหลัง แล้วที่จริงเราก็ยังไม่รู้แน่สักทีว่า เขาจะเอาอีกคนหนึ่งมาด้วย พูดล่วงหน้าไปก่อนแท้ๆ”
นางละม้ายนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก็แล้วพูดเสียงอ่อนลง
“ไม่รู้ อย่าเอามาก็แล้วกัน !”
“ออกไปนั่งข้างนอกดีกว่าค่ะ” สุนทรีรีบพูดเพื่อเปลี่ยนเรื่อง พับผ้าที่ตัดค้างไว้เสียแล้วก็เก็บเข้าในหีบ “ในห้องนี้ออกจะร้อนเสียแล้ว ทำอะไรไม่ได้ดี”
พอนางละม้ายกับสุนทรีออกไปจากห้อง จำนงกับถวิลก็สวนทางเข้ามา วางเบี้ย หอย กระดาษเครื่องมือสำหรับเล่นจูงนางเข้าห้องลงตรงหน้างามพิศ
สุนทรีหวาดหวั่นมาแต่เย็น ว่ามารดาเลี้ยงของหล่อนจะแจ้งข่าวการมาของประจิตรแก่หลวงชาญฯ และสุทัศน์ ด้วยน้ำคำที่ตรงกับความรู้สึกของท่านเกินไป เหตุฉะนี้ ในตอนค่ำ เมื่อชายหนุ่มทั้งสองมาถึง หล่อนรอเพียงให้เขาทำความเคารพท่านผู้ใหญ่ และนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็รีบชิงพูดเสียก่อนว่า
“พรุ่งนี้เราจะได้เพื่อนใหม่อีกคนหนึ่งค่ะ คุณประจิตรโทรเลขบอกมาแล้ว มาพรุ่งนี้รถเที่ยง”
สุทัศน์รู้สึกเหมือนถูกชกโดยแรงที่ตรงอก หลวงชาญฯ พูดขึ้นว่า
“ดี ขาโพ้คเคอร์ของผมกลับกรุงเทพฯ เสียคนหนึ่งแล้ววันนี้เอง” แล้วเขาถามเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ และโดยไม่มองดูตาสุนทรี “มากับใครมั่ง?”
“ดิฉันเชื่อว่ามาคนเดียว” สุนทรีรีบตอบทันทีแต่น้ำเสียงเป็นปกติ “ถ้าจะมีคนอื่นมาด้วย เธอเคยบอกล่วงหน้าเสมอ” แล้วรีบพูดต่อไปอีก “มาเล่นบริดจ์กับดิฉันมั่งซีคะ ที่นี่เรามีครบสี่ขาพอดี พรุ่งนี้กลางคืน พอรับประทานข้าวแล้ว เราเปลี่ยนจากเดินเล่นมาเล่นบริดจ์กันเสียมั่ง ดิฉันกำลังนึกอยากเล่นเหลือเกิน”
“ดีเหมือนกัน” หลวงชาญฯ ตอบ “ค่อยเป็นเกมสุภาพหน่อย เล่นโปกันมามากแล้ว”
นางวนศาสตร์ฯ ถามสุทัศน์ว่า เขามียาชนิดใดบ้างที่อาจดับพิษแมงกะพรุนไฟได้ชะงัด เพราะเมื่อตอนเย็นแมงกะพรุนชนิดนี้เกือบจะถูกแขนท่าน แล้วท่านเล่าถึงการที่ท่านถูกแมงกะพรุนชนิดไม่ใช่ไฟเมื่อสองปีก่อน และแจงรายนามตำรับยาที่ใช้ในคราวนั้นโดยละเอียด
สุนทรีโล่งใจและนึกขัน คืนนี้หล่อนพอใจให้แม่เลี้ยง พูดเรื่องตัวของท่านให้มากที่สุดที่จะมากได้ เพื่อท่านจะได้ลืมนึกถึงเรื่องประจิตร
ตรงกันข้ามกับสุทัศน์ เขานึกเบื่อต่อการฟังคำเหล่านั้นอย่างเหลือแสน เป็นครั้งแรกที่เขารับกับตัวเองว่า เขาเบื่อหญิงช่างเล่าคนนี้ เกิดความประหลาดใจตัวเองว่าเหตุไฉนจึงมารับประทานอาหารที่บ้านนี้ได้ทุกคืน ช่างไม่นึกว่าตัวทำให้อาหารบ้านเขาหมดเปลือง ทั้งไม่นึกว่าเจ้าของบ้านเขาจะเบื่อหน้าตัวด้วย
เด็กหญิงน้อยเดินตุบตับเข้าไปหาเขา ซบหน้าลงบนตักแล้วว่า
“ช็อกกะแล้ตของหนูหมดแล้ว”
“อ้าว แล้วกัน !” นางวนศาสตร์ฯ ร้อง “ลูกของแม่ทำไมยังงั้น เป็นลูกขอท่านแล้วไม่ใช่ลูกคุณพ่อ เวลาหนูเจ็บคุณหมอก็รักษา เวลาหนูหายไม่เห็นเคยให้อะไรคุณหมอ มิหนำซ้ำยังจะคอยรบกวนคุณหมอเอาช็อกกะแล้ตอีก ยังงี้คุณหมอก็แย่น่ะซิ”
สุทัศน์ยิ้มนิดหนึ่งแล้วตอบว่า
“ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยเท่านั้น”
“ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง” สุนทรีว่าพลางหัวเราะ “ดีแล้ว ! อยากแจกแต่เด็กๆ คนโตๆ ไม่แจกมั่ง”
เขาเข้าใจคำของหล่อนผิด จึงมองไปทางที่งามพิศนั่งอยู่แล้วตอบว่า
“มองดูหน้าไม่นึกว่าจะชอบกินช็อคกะแล้ต”
สุนทรีมองตามตาเขาแล้วถาม
“หน้าใครคะ?”
เขาหันมาตอบ
“หน้าเด็กโต”
“อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันหมายความถึงตัวดิฉัน ไม่เห็นเคยได้แจกสักทีเดียว” สุนทรีก็หัวเราะ
สุทัศน์ทำหน้าพิกล ร้องว่า “อ๋อ” แล้วก็นิ่งอยู่
คืนนี้ พอเสร็จการรับประทาน ยังไม่ทันที่ประมุขแห่งบ้านจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ถวิลกับจำนงก็ใช้น้องชายเป็นนายหน้าขออนุญาตมารดาลงไปวิ่งเล่นที่หาดทรายกับเด็กคนใช้
“นี่ท่าจะเตี๊ยมกันมาตั้งแต่กลางวัน” พระวนศาสตร์ฯ กล่าวพร้อมกับลุกขึ้น “ค่าที่เมื่อคืนเดือนหงายมาก”
สุนทรีก็ฉวยโอกาสพูดขึ้นว่า
“ดิฉัน ก็ขออนุญาตไปพร้อมกับน้องๆ เหมือนกัน” แล้วหันไปพยักกับชายหนุ่มทั้งสอง “ไปสูบบุหรี่ข้างล่างเถอะนะคะ ดิฉันคิดถึงพระจันทร์เต็มที”
หล่อนหันไปทางงามพิศอีกคนหนึ่ง และพูดแกมหัวเราะ
“คืนนี้นางพยาบาลอนุญาตให้นอนดึกนิดหน่อยได้....ไปหาผ้าพันคอเสียสักผืนหนึ่งไป๊”
เมื่อสุนทรีลงมาพ้นเรือนแล้ว หล่อนโล่งใจดังยกของหนักออกจากอก จบเรื่องกันที คุณละม้ายไม่มีโอกาสได้ ‘พ่น’ เรื่องประจิตรให้หลวงชาญฯ และสุทัศน์ฟังแล้ว
สุนทรีมีความพอใจด้วยแสงจันทร์อันแจ่มแจ้ง พอใจในตัวเอง ในผู้ที่อยู่ใกล้เคียง งามพิศไล่จับปูลมในหมู่เด็ก หัวเราะเสียงดังกว่าที่สุนทรีเคยได้ยิน สุนทรีรู้สึกตัวว่าพลอยเป็นสุขไปด้วย และมีความปรารถนาจะเพิ่มความสุขความพอใจให้แก่เด็กให้มากขึ้นอีก จึงเอ่ยขึ้นแก่นายแพทย์ว่า
“คนไข้ของคุณหมอดูเหมือนจะแข็งแรงดีแล้วนะคะ ว่ายน้ำยังกะปลา ลงทั้งเช้าทั้งเย็น แล้วไม่ค่อยจะอยากขึ้น เดี๋ยวนี้อยากทราบว่าจะถีบรถไปเที่ยวไกลๆ จะแสลงยังไงไหมคะ?”
“อย่าให้เกินกำลังก็ไม่เป็นไร” สุทัศน์ตอบ
“ถีบรถเป็นด้วยหรือ?” หลวงชาญฯ ถามอย่างพิศวง
“เป็นทุกอย่าง” สุนทรีตอบอย่างแน่นแฟ้น “พายเรือก็เป็น เด็กคนนี้ถ้าหัดให้เล่นเกมต่างๆ จะเล่นได้ดีทุกชนิด”
ทันใดนั้น หล่อนนึกสงสัยว่าสุทัศน์เป็นชายชนิดที่ชอบผู้หญิงสงบเสงี่ยม หรือชนิดที่ชอบผู้หญิงประเปรียวเป็นนักกีฬาจึงเสริม
“แต่ถ้าให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนก็จะอยู่ได้ดี”
ไม่มีผู้ใดออกความเห็นว่ากระไร สุนทรีปรารภกับตัวเองว่า เห็นจะต้องแต่งตัวงามพิศให้มากขึ้นอีก แล้วหล่อนก็นึกขันความคิดของหล่อนนั้น
รุ่งขึ้น พอรับประทานอาหารเช้าแล้วสักครู่ สุนทรีก็ชวนงามพิศลงจากเรือนใหญ่ไปที่ตึกหนู ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหน้าของบ้าน ซึ่งเป็นเขตที่น้ำทะเลจะถ่วมถึงในบางฤดู
คำว่า ‘หนู’ ได้จากขนาดของตึกซึ่งยาวไม่เกิน ๑๐ ศอก และกว้างเพียง ๔ ศอกเท่านั้น มีห้องเพียงสองห้องคือห้องน้ำกับห้องนอน ทั้งเป็นตึกที่ปูพื้นวางอยู่บนทรายซึ่งมีขนาดทั้งเล็กทั้งเตี้ย
ที่นี่ประจิตรได้เคยใช้เป็นที่อยู่ทุกคราวที่เขามาแหลมหินพร้อมกับสุนทรี และเจ้าหล่อนผู้นี้ได้มีเพื่อนครูและนักเรียนมาพักอยู่ด้วย
โดยคำสั่งของสุนทรี คนใช้ได้ปัดกวาดและถูที่นี่ไว้แล้ว เมื่อสุนทรีเข้าไปถึงข้างใน หล่อนจับข้อมืองามพิศจูงไว้ และพูดด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม
“วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ใจของเราเองให้ยกโทษให้ใคร ให้หายโกรธหายเกลียดเขา ก็คือทำประโยชน์ให้เขาโดยไม่ต้องการให้เขารู้ แต่ก็ไม่กลัวว่าเขาจะรู้ด้วย” แล้วสุนทรีก็หัวเราะเบาๆ
งามพิศช่วยสุนทรีทำงานอย่างจริงจังและว่องไว ตลอดจนกระทั่งงานที่สุนทรีไม่ตั้งใจจะทำเอง เพราะคร้านที่จะออกกำลังกาย หากจะเรียกคนใช้มาทำแทน เช่นงานถอดและใส่เพดานมุ้ง งามพิศก็ทำได้คล่อง แล้วสุนทรีก็ต้องกลายเป็นผู้ช่วยของงามพิศ
สุนทรีรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ว่าท่าทางที่งามพิศทำงานนั้นทะมัดทะแมงเกินไป เมื่อจับของสิ่งใดพร้อมกันทั้งสองมือ งามพิศมักจะกางข้อศอกห่างจากตัวออกไปมาก เมื่อเอื้อมก็เอื้อมจนสุดแขน ตลอดถึงตัวไม่มียั้ง เมื่อก้าวก็ก้าวจนสุดขาไม่ยั้งเหมือนกัน แต่สุนทรีรู้ว่า ‘ท่า’ เป็นสิ่งที่จะหัดหรือแก้ไม่ได้ในวันพรุ่ง และรู้ด้วยว่า ‘ท่า’ มิใช่เป็นสิ่งที่บุคคลทั้งหลายจะสังเกตเห็นไปหมดทุกคน ฉะนั้น ‘ท่า’ ก็ย่อมจะไม่เป็นภัยแก่ผู้เจ้าของอย่างใดเลย จึงหมายใจว่าจะตักเตือนงามพิศต่อภายหลัง คือเมื่องามพิศกับหล่อนสนิทสนมกันยิ่งกว่านี้
พอเสร็จงาน นั่งพักได้สักครู่แล้ว สุนทรีก็แต่งตัวไปรับประจิตรที่สถานีพร้อมกับน้องทั้ง ๔ คน
สุนทรีไปแล้ว งามพิศนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องแต่ผู้เดียว รู้สึกว่าอ่านหนังสือไม่ได้เพลินเหมือนทุกวัน ดูเหมือนจะมีความกลัว ความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็นคอยรบกวนอยู่
งามพิศกำลังจะหิวจัด เมื่อประจิตรมาถึง แต่เมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว ความรู้สึกหิวก็หายไป เขาพูด เขาหัวเราะ อยู่ทางระเบียงเรือนด้านหน้า งามพิศนึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงนางวนศาสตร์ฯ ผู้ซึ่งเกรี้ยวกราดเขาอยู่เมื่อวาน พลอยพูดพลอยหัวเราะอยู่กับเขาด้วย
แล้วหล่อนก็พยายามนึกถึงหน้าตาของเขา ก็นึกไม่ค่อยออก เพราะหล่อนไม่เคยมองดูเขาเต็มตา แต่หล่อนจำรูปของเขาได้-สูงต่ำขนาดเดียวกับนายแพทย์สุทัศน์ ท่าทางของเขาหล่อนก็จำได้ถนัด เพราะได้เคยย่อลักษณะของเขาไว้ในใจว่า ‘จองหอง’
แล้วสุนทรีก็มาเรียกงามพิศ ให้ออกไปรับประทานอาหาร
งามพิศรู้สึกไม่สบายในจิตใจ แต่....เป็นการแปลกที่สุด หล่อนนึกจำคำของสุนทรี ที่เคยเตือนมิให้หล่อนซ่อนหน้าได้อย่างถนัดถนี่
ประจิตรยืนอยู่ริมโต๊ะ มีเด็กล้อมรอบ สุนทรีจูงมืองามพิศเข้าใกล้เขา แล้วพูดว่า
“คุณจิตร นี่ยังไงแขกของฉัน”
ประจิตรหันมาก้มศีรษะให้งามพิศอย่างงาม เจ้าหล่อนประหม่าจนนิ้วสั่น นึกอยากก้มหน้าเป็นกำลังแต่ฝืนไว้ไม่ก้ม พนมมือไหว้แล้วก็หลบตา
ประจิตรมองแล้วก็เลิกคิ้วกับสุนทรีอย่างเห็นแปลกไปในทางที่พอใจ สุนทรีก็ยิ้มตอบด้วยความที่รู้สึกพอใจด้วย แล้วประจิตรพูดว่า
“พวกครู นักเรียนเห็นจะตั้งต้นหย่อยกันมามากแล้วกระมัง ฉันมาวันนี้พบสองพวก ลงที่ยะลาเสียพวกหนึ่ง มาถึงหัวหินพวกหนึ่ง”
เด็กชายเล็กมีชูชีพยางสะพายแล่ง โลดเต้นอวดของสิ่งนั้นแก่งามพิศด้วยความพอใจ หนูน้อยอวดว่า “หนูขี่ตะเข้ พี่พิศ หนูขี่ตะเข้” และความจริงนั้นก็คือจระเข้ยางตัวใหญ่ยาว มีกลางตัวเป็นช่องแหวะออกให้พอเหมาะที่จะรัดเข้ากับตัวเด็ก ประจิตรขัดคอเด็กว่า
“จระเข้มันขี่หนูต่างหาก”
เมื่อไปนั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว งามพิศรู้สึกว่ากลืนข้าวและกับไม่ค่อยคล่องคอ เคราะห์ดีเสียอีก ได้มีการต่อโต๊ะให้ยาวขึ้นหน่อย ตั้งแต่วันแรกที่งามพิศมาถึง งามพิศนั่งอยู่ห่างจากประจิตรมาก คือแถวเดียวกันแต่คนละมุม ถ้ามิฉะนั้นหล่อนจะกลืนอาหารไม่ได้เลย
ความจริงประจิตรก็หันข้างให้งามพิศตลอดเวลา เพราะเขาเป็นผู้นำการสนทนาแต่ผู้เดียว คนอื่นๆ เป็นแต่เพียงหัวเราะและตอบรับคำของเขาคล้ายลูกคู่ แม้แต่คุณละม้ายก็ยังพูดไม่ทันเขา งามพิศเสียอีกหันหน้าไปดูเขาบ่อยๆ และบางทีก็นึกขึ้นในคำที่เขาพูด จนลืมว่าใครเป็นผู้พูดอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเขาหันมามองดูหล่อนโดยตรง งามพิศก็เกือบจะสำลักข้าว
ทันใดนั้นมีคำถามข้อหนึ่งเกิดขึ้นในสมอง “คุณหมอกับคนนี้ใครจะสวยกว่ากัน?”
เมื่อถามแล้วหล่อนตอบตัวเองไม่ได้ หล่อนนึกเห็นหน้านายแพทย์สุทัศน์ เป็นใบหน้าที่สวยเก๋มาก แต่หล่อนนึกหน้าหัวเราะของเขาไม่ออกเลย จำได้แต่หน้าที่ยิ้มน้อยๆ หรือมิฉะนั้นก็หน้าเฉย ส่วน ‘คนนี้’ ริมฝีปากของเขาเผยอเห็นไรฟันอยู่ตลอดเวลา แต่หล่อนรักคุณหมอของหล่อน ! ส่วนคนนี้....เอ๊ะ เขาก็เป็นคุณประจิตรน้องคุณสุนทรีเหมือนกัน !
งามพิศยังคงต้องนอนหลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันแล้วทุกมื้อ แต่วันนี้หล่อนนอนไม่หลับ เพราะประจิตรคุยเสียงขรมอยู่ทางหน้าเรือน ทั้งเด็กใหญ่เด็กน้อยก็พลอยไม่ได้นอนไปด้วย จนกระทั่งนางวนศาสตร์ฯ นึกขึ้นได้ ว่าคนได้รับเชิญไป ‘เข้าวง’ ที่บ้านสหายคนหนึ่ง ก็บอกแก่ประจิตรตรงๆ ตามนิสัย การแยกย้ายและเปลี่ยนอิริยาบถจึงเกิดขึ้น
พระวนศาสตร์ฯ เข้าไปในห้องเพื่อนอนพัก เด็กเล็ก ‘ถูกเชิญ’ ให้ลงไปเล่นบนชาลาใต้เรือน ตอนนี้งามพิศจึงนึกขึ้นได้ว่า ตนลืมรับประทานยาหลังอาหารสำหรับมื้อกลางวันนี้
ประจิตรกล่าวแก่สุนทรีว่า
“ไปคุยกันที่ห้องเถอะ คิดถึง อยากคุยด้วยจัง”
หล่อนทำใจเฉยต่อสองประโยคหลังของเขา ลังเลอยู่ครู่จึงตอบว่า “ไป”
เขาหยิบเสื้อนอกขึ้นพาดบ่า แล้วก็ลงบันไดไปด้วยกับสุนทรี
เมื่อไปถึง ‘ตึกหนู’ พบนายเตี้ยกำลังรื้อของจากกระเป๋าเดินทางของประจิตร จัดใส่ในตู้เล็ก ประจิตรพาดเสื้อไว้กับพนักเก้าอี้ตัวเดียวที่มีอยู่ในห้องนั้น มองไปรอบห้องด้วยสายตาแสดงความพอใจ แล้วเขาพูดขึ้นว่า
“ไอ้เตี้ย มึงออกไปก่อน แล้วถึงค่อยมาจัดทีหลัง”
เขาเชิญให้หล่อนนั่งลงบนเตียง แล้วเขาเองก็นั่งลงข้างหล่อน
นายเตี้ยฉวยเสื้อผ้าใส่ๆ เข้าในตู้อย่างเร่งรีบ จนหมดแล้วก็ปิดกระเป๋ายกขึ้นวางบนหลังตู้ เพื่อสงวนเนื้อที่ในห้องนั้น แล้วก็เดินก้มตัวออกประตูไป
สุนทรีรอให้ประจิตรเป็นผู้ตั้งต้นพูด ครั้นเขาไม่พูดนั่งแกว่งขามือสองข้างเท้าอยู่บนผ้าปูที่นอน และมองดูพื้นห้องคล้ายกับมีความเพลิดเพลินเสียเต็มที เจ้าหล่อนจึงพูดขึ้นก่อน
“ที่กรุงเทพฯ ฝนตกมากหรือ?”
“มากจนเบื่อ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“สู้ที่นี่ไม่ได้ ไม่มีฝนเลย ดูเหมือนตกสัก ๒-๓ หนเท่านั้น เราไม่ต้องการจะออกไปไหนกันด้วย เลยนอนสบาย”
นิ่งเงียบกันไปอีก สุนทรีออกนึกประหลาดใจในความขรึมของประจิตร พยายามทายอยู่ในใจว่าเขามีเรื่องขุ่นข้องอย่างใดหรือ หรือว่าเขาซึมไปเพราะอาหารและอากาศ ในที่สุดจึงถามขึ้น
“เธอจัดการเรื่องนายประพันธ์ ให้ฉันเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ได้ยินชื่อประพันธ์ ประจิตรสะดุ้งในใจ แต่เขาตอบแกมหัวเราะว่า “จัดแล้วครบถ้วนทุกอย่างตามพระเสาวนีย์” เว้นระยะแล้วพูดต่อเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ “น้องสาวเจ้าประพันธ์ดูดีขึ้นมาก เกือบจำไม่ได้ แต่ก่อนเคยเห็นใส่แว่นตา”
สุนทรีพอใจที่เขาชมงามพิศของหล่อน แต่หล่อนอยากฟังเรื่องของเขาเองมากกว่า จึงตอบแต่เพียงสั้นๆ
“สายตาของแกเป็นปกติดีแล้ว ก็เลยถอดแว่นตาได้”
แล้วถามต่อไปโดยเร็ว
“แล้วยังไง ที่กรุงเทพฯ มีอะไรไม่ดีอีกนอกจากฝน”
เขานึกในใจว่าคำถามของหล่อน ฟังดูคล้ายกับหล่อนรู้ใจเขา นิ่งไปอึดใจหนึ่งจึงตอบว่า
“ฉันไล่นางลำไยกับลูกสาวออกจากบ้านไปแล้ว”
สุนทรีเกือบลืมหายใจ
“ทำไมล่ะ?” หล่อนถามในที่สุด
“เพราะว่าอีดอกลำเจียกมันเป็นลำเจียกปลอม ที่จริงมันชื่อใหญ่ เป็นเมียหลวงประเสริฐฯ”
“เป็นอย่างไรเธอถึงเกิดรู้ขึ้นล่ะ?”
“ก็รู้ซี เพราะว่าคนระยำปากบุกซุกปากบอนมันมีมาก”
หล่อนนึกเคืองแทนผู้ที่ถูกประจิตร ‘กล่าวขวัญ’ เช่นนั้น ทั้งที่ไม่มีความรู้เลยว่าเขาเป็นใคร อดไม่ได้จึงประชด
“แล้วเราทำยังไงล่ะทีนี้?”
เขาจับน้ำเสียงของหล่อนได้ก็นึกฉิว จึงว่า
“เธอเห็นจะนึกว่าฉันหลงไหลอีคนกากพรรค์นั้นเสียเต็มที”
เมื่อได้พูดไปแล้ว สุนทรีก็ตำหนิความใจดำของตัวอยู่ในใจจึงแก้ว่า
“เปล่า ไม่ใช่ยังงั้น ฉันนึกถึงว่าเธอไม่มีเมียอยู่ในบ้าน มิต้องตั้งต้นเที่ยวดึกอีกหรือ เมื่อเธอมีนางลำเจียกอยู่ในบ้าน ฉันสังเกตดูว่าเธอรู้อยู่ขึ้นเป็นกอง”
“ฉันคิดว่า ฉันจะแต่งงานเสียที” เขาตอบอย่างเคร่งขรึม
หล่อนใจเต้น แต่ถามเรื่อยๆ
“ยังงั้นรึ? แต่งกับใครล่ะ?”
ชื่อของสุนทรีอยู่ที่ริมฝีปากของประจิตร แต่เขาไม่แน่ใจตัวเอง จึงตอบว่า
“ยังไม่รู้เลย” แล้วเขามองดูหล่อนเต็มตา
สายตาของเขาทำให้สุนทรีเกิดความกลัว กลัวว่าตนจะต้องเป็นเหตุทำความเสียใจให้แก่เขาอย่างรุนแรง และความกลัวนั่นเองเป็นเหตุให้เกิดความคิด ที่จะหาเครื่องป้องกันตัว จึงเกิดได้ความคิดขึ้นอีกข้อหนึ่ง เป็นความคิดที่ใหม่แปลก สว่าง แจ่มใส สุนทรีพอใจในความคิดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น
“แต่งงานกับพิศเอาไหม?”
หล่อนประหลาดใจมากและใจหายมากด้วย เมื่อประจิตรมิได้ขึ้นเสียงคัดค้านรุนแรงเท่าที่หล่อนคาด เขาตอบแต่เพียงว่า
“ยังเด็กนักนี่”
“เด็กเมื่อไหร่” สุนทรีค้านอย่างแข็งขัน “อายุ ๑๘ เต็มแล้ว แกเด็กแต่ท่าทางและจิตใจ ทางการงานกับทางจรรยาของแกไม่เด็กเลย รู้ดีรู้ชั่วหมดทุกอย่าง”
“สีหน้าก็ยังเด็กมาก” ประจิตรแย้งอีก
“เด็กขนาดนี้แหละดี แต่งงานกันแล้วจะปั้นให้เป็นอะไรก็ปั้นได้ตามใจเรา ฉันจะช่วยเธอปั้นซีน่า รับรองว่าปั้นได้ดีทีเดียว เด็กคนนี้หัวอ่อน ถ้ารักแล้วจะให้ทำอะไร เป็นทำให้ทั้งนั้น” เกิดความศรัทธาอย่างจริงจัง “ฉันอยากให้แกแต่งงานจริงๆ เพราะอยากให้แกพ้นจากยายคุณป้าของแก ขืนปล่อยให้อยู่กับยายคนนั้น เด็กไม่มีทางเจริญขึ้นได้ มีแต่จะเสื่อมลง”
“ก็คนอื่นๆ เธอรู้จักถมไปยังไงล่ะ พวกเพื่อนๆ ฉันน่ะยังอยู่อีกเป็นหลายคน ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เด็กของเธอหน้าตาก็ไม่เลว”
“เด็กของฉันหน้าตาสวยทีเดียว” สุนทรีกล่าวอย่างขึงขัง แล้วหัวเราะเบาๆ “อยากเห็นเวลาแต่งตัวไหมล่ะ? ว่างๆ จะแต่งให้เธอนอนฝันถึงไม่น้อยกว่าเจ็ดคืน”
แล้วหล่อนพูดสืบไปอย่างเป็นงานเป็นการ “เมื่อแรกฉันคิดๆ อยากจะให้ได้กับหมอสุทัศน์ แต่พอเธอมาพูดถึงเรื่องอยากแต่งงานขึ้น ฉันก็อยากให้แกได้กับเธอมากกว่า เธอหาคู่เองมาก็นานแล้ว ไม่เห็นหาได้สักที คราวนี้ให้ฉันเลือกให้เถอะ ฉันรู้สึกว่านิสัยของแกเหมาะที่จะอยู่กับเธอ แล้วแกพึ่งจะเป็นสาว เธอจะหัดให้แกเป็นอะไรก็เป็นได้ อย่างให้เป็นนักกีฬายังงี้ สองสามเดือนเท่านั้นแหละ สำเร็จแล้ว จะได้ไปไหนไปด้วยกันทุกแห่งสมใจเธอ”
ประจิตรนิ่ง เขากำลังใคร่ครวญอยู่ว่าหญิงสาวใหญ่รุ่นสุนทรี กับสาวน้อยรุ่นงามพิศ สองรุ่นนี้รุ่นไหนจะสมใจเขามากกว่ากัน ครั้นตัดสินใจไม่ถูกก็แย้งไปเสียอีกทางหนึ่ง
“แต่แกเป็นลูกสาวของหลวงประเสริฐฯ ฉันรำคาญ”
“แน่ะ ! ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ตรงกันข้าม เธอควรจะแต่งงานกับแก เพราะแกเป็นลูกสาวหลวงประเสริฐฯ ด้วยซ้ำ”
“แล้วนายประพันธ์ก็เป็นพี่เมียฉัน!”
“ก็ช่างปะไร ประพันธ์ก็ส่วนประพันธ์ งามพิศก็ส่วนงามพิศ เธอน่ะบาปมาก ทำพ่อเขาตายแล้วทำให้ลูกเขาตกระกำลำบาก เธอต้องเสียสละความพอใจบางอย่างล้างบาปของเธอมั่งซี”
ความคิดของประจิตรเริ่มจะเอียงไปทางหนึ่ง ในที่สุดเขาลุกจากที่นั่ง เดินไปหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อนอก ปากก็พูดว่า
“ยกให้หมอดีกว่า”
“ไม่เอา ฉันจะยกให้เธอ ยกให้หมอ เผื่อหมอเขาไม่รักล่ะ ใครจะกล้าไปออกปากพูดกับเขาก่อน”
“ฉันจะพูดเอง บอกว่าเธอเห็นเด็กคนนี้เหมาะกับเขาทุกอย่าง”
สุนทรีค้านเสียงแหลม
“ไม่เอา อย่าเล่นอย่างนั้นนะ เขาจะว่าฉันเป็นแม่สื่อแม่ชัก ตายละ อายเขาตาย”
“ถ้ายังงั้นฉันจะบอกว่าฉันเห็นดีเอง”
เมื่อสุนทรีละจากประจิตรขึ้นมาบนเรือน เห็นงามพิศกำลังเก็บเครื่องเย็บลงหีบ เพราะหล่อนเย็บเสื้อเสร็จไปเท่าที่สุนทรีกะไว้ให้ส่วนหนึ่ง สุนทรียกเสื้อขึ้นดูเป็นที่พอใจแล้ว ก็ส่งคืนให้เจ้าของ พร้อมกับพูดว่า
“อาบน้ำแล้วเธอใส่เสื้อตัวนี้เลยทีเดียวนะ ฉันอยากดูเวลามันอยู่ในตัวเธอเวลากลางคืน เข้ากับแสงไฟสีจะสวยไหม”
แล้วหล่อนชวนให้งามพิศเตรียมตัวไปอาบน้ำทะเล ส่วนตัวหล่อนเองก็จัดแจงผลัดเสื้อผ้า
งามพิศรับคำด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ฉวยเสื้อสำหรับใส่อาบน้ำได้แล้วก็วิ่งเข้าในห้องน้ำ
เมื่อหล่อนเตรียมตัวเสร็จ เด็กๆ ได้เห็นก็พากันเกรียวกราวไปผลัดเสื้อผ้า ครั้นแล้วก็พากันวิ่งออกหน้างามพิศและสุนทรีลงไปที่ชายหาด
งามพิศใจหายจนเกือบหมดสนุก เมื่อเห็นประจิตรนั่งอยู่ที่หาดทรายก่อนแล้ว หล่อนยังไม่เคยเผชิญหน้ากับชายคนใดเลย ในเวลาที่หล่อนใส่เสื้อเช่นที่ใส่อยู่บัดนี้เพียงแต่รู้สึกว่า เสื้อคลุมของหล่อนยาวแค่หน้าแข้ง เป็นเสื้อคลุมตัวยาวที่สุดที่จะหาได้จากโฮเต็ลหัวหิน....เมื่อถูกลมพัด ชายเสื้อก็เปิดขึ้นเหนือเข่าหล่อนก็กระดากจนจะเดินต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว
สุนทรีเปลื้องเสื้อคลุมเสร็จ หันมาพยักเรียกงามพิศ งามพิศจำต้องเปลื้องเสื้อคลุมของหล่อนออกด้วย มิหนำซ้ำสุนทรียังจับข้อมืองามพิศจูงเดินช้าๆ อย่างสบายใจ งามพิศรู้สึกว่าระยะทางจากหาดตื้นไปสู่หาดลึกไกลเสียเหลือเกิน
เมื่อถึงที่ๆ หล่อนจะซ่อนตัวใต้ผิวน้ำได้ งามพิศค่อยรู้สึกตัวเป็นตัวขึ้น พอสุนทรีปล่อยมือหล่อน งามพิศก็ดำน้ำหายไปทันที
เมื่อหล่อนโผล่ขึ้น เห็นตัวเองอยู่ห่างจากหมู่คนสักสามวา แล้วหล่อนก็ว่ายห่างจากฝั่งออกไปอีก จนถึงที่น้ำลึกเพียงแค่คอ
เด็กหญิงน้อยใส่จระเข้ยาง หัดว่ายน้ำอยู่กับพี่เลี้ยงและพี่สาวเล็กๆ เด็กชายเล็กได้ชูชีพเป็นเครื่องช่วยก็ดูกล้าแข็งขึ้นกว่าทุกวัน เขาทั้งหมดนี้ เล่นกันอยู่ใกล้ๆ กับสุนทรีและประจิตร งามพิศนึกสนุก อยากเข้าไปเล่นด้วยแต่ก็อาย ! เพราะที่นั่นน้ำตื้นและใสด้วย
เนื่องจากที่วันนี้ลูกคลื่นไม่ค่อยใหญ่ หรือหากว่าจะมีลูกใหญ่มาบ้าง ก็มาช้าๆ เบาๆ ไม่สูง ไม่แรง งามพิศก็ทอดตัวให้ลอยอยู่บนผิวน้ำ หลับตานอนเล่นอย่างสบายใจ
น้ำเป็นละลอกเล็ก ซัดขึ้นท่วมหน้างามพิศโดยแรง แล้วเลยไหลเข้าช่องจมูก เจ้าหล่อนรีบตั้งตัวขึ้นยืนบีบจมูกให้น้ำออกพร้อมกับลืมตาขึ้น ก็พบประจิตรอยู่ข้างตัว
เขาไม่รู้สึกตัวว่าได้ทำให้หล่อนเดือดร้อน พูดกับหล่อนด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติว่า
“นอนน่าสบายเหลือเกิน สอนให้ผมนอนมั่งซี”
งามพิศย่อขาอยู่ใต้น้ำทะเลแทนก้มหน้า แล้วตอบเบาๆ
“สอนไม่เป็นค่ะ”
“สอนไม่เป็นหรือไม่อยากสอนคนที่เป็นศัตรู?” ประจิตรถาม เท้าความถึงคำพูดของงามพิศซึ่งสุนทรีได้เล่าให้เขาฟัง
งามพิศไม่รู้ไกลไปถึงเพียงนั้น แต่ก็ตกใจเป็นกำลังรีบตอบว่า
“เปล่าค่ะ”
“เปล่านะหมายความว่าอย่างไร?”
หล่อนนึกถึงคำที่หลวงเอนกฯ เคยตำหนิคำว่า ‘เปล่า’ ของหล่อนนี้ รีบทำใจให้กล้าขึ้นและชี้แจง
“หมายความว่าไม่ได้นึกถึงเรื่องเป็นศัตรู”
“หายโกรธแล้วหรือ?” ประจิตรถามพร้อมกับยิ้มและจ้องดูหล่อน
งามพิศหลบตาแล้วตอบ
“หายแล้ว”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นอีก
“ไม่ใส่แว่นตาแล้วดูแปลกไปราวกับคนละคน จนเกือบจำไม่ได้”
เขามีวิธีพูดอันทำให้ใจของงามพิศแปลคำว่า ‘แปลกไป’ ออกเป็น ‘สวยขึ้น’ หล่อนย่อตัวลงจนคางมิดน้ำ แต่ดวงตาของหล่อนส่อพิรุธว่าหล่อนกลั้นยิ้ม
ประจิตรก็ยิ้มเหมือนกัน แล้วเขาดำน้ำกลับไปโผล่ขึ้นข้างสุนทรี
เจ้าหล่อนผู้นี้ทำกิริยาแสดงว่าตกใจเล็กน้อย แล้วหล่อนพูดขึ้นว่า
“เธอยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังว่า เธอรู้เรื่องแม่ลำเจียกปลอมได้อย่างไร เวลานี้เย็นสบายพอที่จะเล่าได้หรือยัง?”
เขาหัวเราะชวนหล่อนขึ้นไปที่ตื้น นั่งเหยียดเท้าอยู่คู่กัน ตะโพกและขาแช่น้ำ แล้วประจิตรเล่าเรื่องเป็นใจความว่า
วันเดียวกับประจิตรได้รับจดหมายของสุนทรี ขอให้เขานำจดหมายที่หล่อนสอดไปในซองจดหมายของเขาพร้อมทั้งเงินจำนวนหนึ่งใส่ซองผนึกไปให้แก่ประพันธ์ ประจิตรก็ได้ไปหาประพันธ์ยังที่อยู่ แต่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ คนที่บ้านประพันธ์แจ้งแก่ประจิตรว่าประพันธ์ได้ออกจากที่อยู่ไปตั้งแต่ตอนเช้า และไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อไร ประจิตรไม่สมัครที่จะฝากเงินไว้กับผู้ที่พบเขานี้ด้วยไม่แน่ใจว่าจะถึงมือผู้รับ จึงสั่งเขาไว้ว่าให้ประพันธ์มาที่บ้านประจิตรในวันรุ่งขึ้นเวลา ๑๖ นาฬิกา จะได้รับข่าวดีสำคัญอันหนึ่ง
ถึงเวลานัด ประจิตรกลับจากทำงานมาถึงบ้านพอดี แต่เมื่อได้นั่งคอยอยู่จนครึ่งชั่วโมง ประพันธ์ยังหามาไม่ ประจิตรก็มีการนัดหมายไว้กับเพื่อนที่สโมสรเวลา ๑๗ นาฬิกา จึงจำเป็นที่เขาจะออกจากบ้านไป
เขากลับมาถึงบ้านเวลา ๑๘ นาฬิกาเศษ เห็นบุคคลสามคนเดินหนีและไล่กันระหว่างทางจากสนามไปถึงมุมตึก เขาจำผู้หนีซึ่งเป็นหญิงสองคนได้ ทั้งที่เห็นหลังแต่เพียงไวๆ ฝ่ายผู้ไล่ซึ่งเป็นชายนั้น เมื่อได้ยินเสียงรถก็หันหน้ามาดู ประจิตรจึงเห็นว่าเป็นนายประพันธ์
ประจิตรเดือดดาลในกิริยาของชายหนุ่มผู้นี้ ทั้งมิได้คาดว่าจะมีเรื่องที่ตนจะต้องอายแฝงอยู่ภายใน จึงถามเพื่อฟังคารมของประพันธ์
ประจิตรหัวเราะเยาะประพันธ์เมื่อเขาผู้นี้ตอบว่า
“ไล่ตามแม่เลี้ยง เขาหลบผม”
ชี้แจงแก่ประพันธ์ว่า เขาจำคนผิดเสียแล้ว ประพันธ์กลับหัวเราะเยาะประจิตร และยืนยันว่าเขารู้จักและจำหญิงที่เป็นแม่เลี้ยงเขาได้ดี
เมื่อประจิตรได้นำคำของประพันธ์ไปสอบถามนางลำใยและนางลำเจียก นางใช้น้ำตาเป็นเครื่องแทนคำสารภาพ
ประจิตรเว้นเสีย ได้เล่าให้สุนทรีฟังต่อไปด้วยว่าหลังจากที่นางทั้งสองร้องไห้อยู่เช่นนั้น ประมาณหนึ่งภาคนาฬิกา ประจิตรก็ได้จ่ายเงินสดๆ จำนวน ๒๐๐ บาทเป็นค่าจ้างให้นางไปเสียให้พ้นตาเขา