นิราศสุโขทัย

ประพันธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓

โดย

คุณหญิงส้มจีน เขื่อนเพ็ชรเสนา (ส้มจีน อุณหะนันทน์)

----------------------------

  นิราศรักหักใจจำไกลบ้าน
ไปสุโขทัยเบื้องเมืองโบราณ ชมสถานแถวทางให้สร่างใจ
ทั้งประสงค์ส่งพ่อเถียวเกี่ยวเป็นญาติ ไปรับราชกิจวินิจฉัย
เป็นอัยการจังหวัดนัดกันไป พออุทัยไขศรีฉวีเรือง
ที่ ๒๗ มิถุนาวันคลาคลาศ พุทธศักราชสองพันต่อกันเนื่อง
สี่ร้อยเจ็ดสิบสามยามประเทือง จึงย่างเยื้องยังหมู่ที่บูชา
จุดธูปเทียนน้อมเศียรกราบพุทธรูป และจุดธูปที่อัฐิปริปากว่า
ขอลาไกลไปดูเมืองบูราณ์ แล้วไคลคลาลงจากตึกรู้สึกงง
เห็นเด็ก ๆ เลี้ยงมาล้อมหน้าหลัง ล้วนแต่ตั้งใจงามจะตามส่ง
คิดห่วงหลังห่วงหน้าพะว้าพะวง ค่อยดำรงกายออกนอกประตู
ระทวยอ่อนถอนใจอาลัยเหลียว เคยไปเที่ยวครั้งใดก็ไปคู่
ไปคนเดียวเสียวเจตต์น้ำเนตร์พรู มิได้ดูสิ่งใดหักใจจร
๑/ ถึงสถานีใหญ่รถไฟจวน จะออกล้วนเซ็งแซ่แลสลอน
เปนหลายสายย้ายพรากจากนคร เรารีบจรพร้อมเสร็จรวมเจ็ดคน
นั่งที่สองของใช้ไปรถตู้ ดูคนผู้ส่งรับกันสับสน
บ้างอวยชัยให้ล้วนส่วนมงคล ส่งกันจนรถออกนอกชาลา
เป็นขบวน ๆ ไม่ป่วนปั่น แต่ละคันท่วงทีมีสง่า
ควรภูมิใจไทยเจริญเพลิดเพลินตา นับเวลายิ่งทวีบริบูรณ์
ลอดสะพานกษัตริย์ศึกจารึกยศ อันปรากฏเกียรติไว้มิให้สูญ
พระกำจัดไพรินทร์จนสิ้นมูล ทรงเพิ่มพูนอำนาจของชาติไทย
เป็นดิเรกเอกราชชาติในโลก อุปโภคสาระพันทันสมัย
พระสร้างทำบำรุงเป็นกรุงไกร สืบมาให้ไปภายหน้าคุ้มฟ้าดิน
๒/ มาถึงจิตรลัดดาสถานี มิใช่ที่ชาวประชาอย่าถวิล
สำหรับพระราชะจอมนรินทร์ เสด็จลินลาศตรงทรงรถไฟ
เห็นดุสิตคิดเหมือนได้ไปดุสิต ชวลิตแลตลอดยอดไสว
พระที่นั่งดังสถานพิมานไชย สวยดังไกรลาศสวรรค์อันรุ่งเรือง
เห็นโบสถ์วัดเบญจมบพิตร แลวิจิตรสี่มุขแสงสุกเหลือง
ดังทองทาบปลาบปลั่งมะลังมะเลือง สีกระเบื้องแลระยับจับนภางค์
ฉันน้อมกายถวายอภิวาท พระชินราชองค์ที่สองจำลองสร้าง
โปรดพิทักษ์รักษาทุกท่าทาง ให้สำอางสำเร็จเจตนา
ข้าพเจ้าเขาทั้งหลายทุกชายหญิง จงพ้นสิ่งโรคภัยให้ทั่วหน้า
มีดวงใจใสกระจ่างทางสัมมา วัฒนาลาภล้ำอร่ามเรือง
๓/ ถึงสามเสนไม่ได้ความเรื่องสามเสน ใครประเคนชื่อไว้ไฉนเรื่อง
เอาพิมเสนแลกเกลือเห็นเหลือเปลือง ล้วนแต่เครื่องเสียค่าราคาควร
๔/ ถึงบางซื่อ ๆ ตรงลงว่าโง่ โอ้พุทโธ่คิดมาก็น่าสรวล
ที่ตลบแตลงแต่งสำนวน กลับชมชวนกันว่าอาจฉลาดดี
คนชนิดไหนนะเรียกฉลาด ที่จอมปราชญ์ยกย่องว่าผ่องศรี
ถ้าจะมีใครโผล่โต้วาที และทั้งมีกรรมการประหารความ
คงได้ฟังคารมอุดมแปลก ต่างจะแหวกเอาชัยในสนาม
ต่างชี้เลศเหตุผลจนให้งาม ซึ่งจะคร้ามปากกันนั้นไม่มี
ฉลาดใดไม่เหมือนการชาญฉลาด รักษาอาตม์ให้ดำรงตรงวิถี
แห่งสัมมาอาชีวะนั่นแหละดี มิได้มีอกุศลปนมลทิน
จึงควรนับว่าเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ อันบาปกรรมมิให้เข้ากายสิ้น
ครองชีวิตสุขาเป็นอาจิณ อยู่ในศีลซื่อสัตย์สวัสดี
เห็นตึกเตาเผาดินเป็นหินผง แล้วขายส่งเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
ทำสะพานบ้านเรือนเขื่อนกุฎี แห้งเป็นศิลาแท่งแข็งแรงทน
บางซื่อนี้โรงมีทหารบก ปลูกล้อมวกกว้างใหญ่ดั่งไพรสณฑ์
มีทหารชาญชัยหลายกองพล เป็นน่ายลยินดีบุรีเรา
๕/ ถึงบางเขนเลนมากต้องลากเข็น เรือติดเลนหรือเช่นเข็นซุงเสา
ก็พอจะเข็นได้สบายเบา แต่ว่าเอาความรักนี้หนักครัน
ลงติดตรังฝังใจเข็นไม่ออก ยิ่งกว่าตอกด้วยตะปูคิดดูขัน
บางทีถึงร่างกายวายชีวัน เพราะรักนั้นมิได้สมอารมณ์ปอง
สมรักแล้วแคล้วคลาดนิราศร้าง นี่อีกอย่างก็ระทมอกตรมหนอง
เป็นโรคร้ายหายยากมากทำนอง ยิ่งตรอง ๆ เรื่องรักชักรำคาญ
๖/ ถึงหลักสี่มีนาธัญญาไสว ขอขอบใจชาวนามหาศาล
สู้เหนื่อยยากตรากตรำกระทำการ ไถคราดหว่านเก็บเกี่ยวด้วยเรี่ยวแรง
การกินอยู่ดูทุเรศสมเพชเหลือ กะปิเกลือปลาร้าน่าแสยง
นอนโรงจากฟากปูสู้ตะแคง โคลนตมแห้งเกรอะกรังเขายังทน
เราลำบากยากใจอะไรหน่อย บ่นตะบอยกันวันตั้งพันหน
มีที่อยู่ดังวิมานสำราญตน กินดังปนเพ็ชร์ทองยังร้องคราง
เอาแต่สุขส่วนตัวทั่วทุกผอง ขอเชิญมองดูคั่นคนชั้นล่าง
ตรองสักนิดคิดสักหน่อยอย่าปล่อยวาง จะเห็นทางเพื่อนมนุษย์สดุดใจ
อันหลักสี่นี้นามยังงามอยู่ หลักหนึ่งสองสามไม่รู้ไปอยู่ไหน
รัชกาลที่สี่มีพระทัย บำรุงไพร่พลเมืองให้เฟื่องฟู
ให้ขุดคลองแยกจากคลองผดุง ผ่านท้องทุ่งป่าละเมาะถึงเกาะคู่
ตำบลบางปะอินถิ่นควรรู้ ปักหลักไว้ให้ดูตลอดคลอง
หลักละ ๕๐ เส้นเป็นหลัก ๆ ตั้งแต่หนึ่งถึงสำนักหลักที่สอง
ที่สามที่สี่ห้าหกเจ็ดเขตรอง ๆ นับเกือบสองพันเส้นสร้างกว้าง ๕ วา
ราวร้อยเส้นเป็นมีศาลาพัก ตัวไม้สักมุงกระเบื้องเขื่องอยู่หนา
เมื่อยังเยาว์เราได้เห็นเด่นนัยตา แต่เวลานี้ไม่เห็นดังเช่นเคย
ทรงพระราชทานนามตามนุสรณ์ ชื่อคลองเปรมประชากรสุนทรเฉลย
ชื่อตามหลักยักเป็นอื่นไม่คืนเลย เหลือพิเปรยสี่กับหกก็ตกลง
อันบูราณสถานที่มีประวัติ ถ้าเปลี่ยนผลัดชื่อใหม่ย่อมไหลหลง
ต้อนเรียนใหม่ไถ่ถามเพราะความงง เอาไว้คงชื่อไม่ได้ไฉนหนา
๗/ ถึงดอนเมืองเนืองนองกองเครื่องบิน วิชาศิลปสิ่งนี้ดีหนักหนา
ชวนกันหัดให้จบทางนพภา จะไปมาเร็วพลันเท่าทันการณ์
มิควรกลัวตกดินสิ้นชีวิต ความตายคิดไม่ปลาดชาติสังขาร
ถ้าถึงที่ชีวันอันตรธาน อยู่กับบ้านมันก็มรณา
เป็นทหารนักบินควรยินดี เกิดมามีโชคแก่ชาติศาสนา
ถ้ามาตรแม้นไพรีมาบีฑา อาจรักษาปกป้องได้ว่องไว
แม้จะเสียชีวาตม์อย่างขลาดหลบ ต้องรุกรบจนศัตรูสู้ไม่ได้
ช่วยกันรักษาเอกราชของชาติไทย ถาวรไว้ในหล้าคุ้งฟ้าดิน
ให้สมศักดิ์อัครฐานทหารกล้า ยามเวลาสงบสมอารมณ์ถวิล
รีบฝึกหัดให้ชำนาญในการบิน รอบรู้ถิ่นทั่วประเทศเขตของเรา
รู้ทางหนีทีไล่ย่อมได้เปรียบ ไหวพริบเฉียบแหลมดีไม่มีเศร้า
สามัคคีมีไว้ไม่ใจเบา แม้ภูเขาก็อาจสามารถทำลาย
ทหารบกทหารเรือและเสือป่า ย่อมมีหน้าที่เหมือนกันดังมั่นหมาย
ควรไว้เกียรติศักดิ์หลักผู้ชาย มิให้อายแก่เขาชาวโลกา
ดูเขาหรือคือบุคคลที่ต้นคิด เพียรประดิษฐ์ยานยนตร์ด้นเวหา
มิได้เกรงตกตายวายชีวา ทำจนสามารถเสร็จสำเร็จการ
โลกมนุษย์สุดประเสริฐเกิดชีวิต นักประดิษฐ์ต่าง ๆ อย่างวิตถาร
ถ้าช่างคิดประดิษฐ์ทำเครื่องสำราญ เครื่องประหารชีวิตไม่คิดทำ
มีเมตตาอารีเหมือนพี่น้อง ใครขัดข้องช่วยชุบอุปถัมภ์
โลกจะแสนสุขประเสริฐเลิศล้ำ เหมือนหนึ่งสำนักสวรรค์ชั้นอินทรา
ทางซ้ายมือมีตลาดขนาดใหญ่ ของกินใช้สารพันน่าหรรษา
ใกล้ทางรถทางน้ำส่ำนาวา คลองเปรมประชากรขนานยานรถไฟ
๘/ ถึงหลักหกจีนยกร่องทำสวน แต่ผักล้วนแลลิ่วเป็นทิวไสว
ในท้องร่องปลูกข้าวไม่เปล่าไป เขาทำได้ประโยชน์คล่องทั้งสองทาง
การขยันขันข้อแล้วหนอเจ๊ก งานใหญ่เล็กไม่เลือกคลำทำทุกอย่าง
ที่สุดขนอุจจาระไม่ระคาง ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็นชั้นดี
การหากินถูกอย่างทางสัมมา ไม่เลวทรามต่ำช้าน่าบัดสี
การทุจริตมิจฉาชีพราคี และเป็นที่อับอายขายหน้าตา
เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม บ้างตูมแย้มงามเล่ห์ดังเลขา
สัตตบุศย์ผุดพ้นชลธาร์ สัตตบันวรรณาน่ายินดี
สัตตบงกชสดใสวิลัยลักษณ์ บัวเผื่อนสพักบัวผันกระชั้นสี
สะพรั่งพร้อมเยียยงจงกลมณี ให้เปรมปรีดิ์เจริญเพลินกมล
ดอกไม้น้ำดอกไม้ดินสิ้นทั้งหลาย ดอกกล้วยไม้กินน้ำค้างกลางเวหน
ล้วนเป็นเครื่องชูจิตยามพิศยล กลิ่นระคนยั่วยวนชวนสำราญ
ความอยากชมดมกลิ่นถวิลหวัง จึงปลูกฝังกันชุกแทบทุกบ้าน
ที่ใดมีผกาสุมามาลย์ ดูสง่าพาบ้านโอฬารงาม
๙/ คลองรังสิตพิศตรงไม่โค้งคด มีการทดน้ำมาทำนาหลาม
มีคลองน้อยซอยสลับนับหนึ่งนาม ไปจนสามสิบกว่าล้วนนาดี
มีประตูระวังปิดขังน้ำ ถ้าเหลือล้ำระบายออกนอกวิถี
แต่น้ำรักไหลรวมท่วมฤดี มิรู้ที่จะระบายให้คลายใจ
๑๐/ มาถึงเชียงรากใหญ่ไฉนหรือ จึงระบือชื่อเสียงเวียงที่ไหน
หรือเป็นเพียงตั้งรากแล้วจากไกล ก็มิได้เห็นทรากของรากเลย
สถานที่ย่อมมีประวัติการณ์ จึงเรียกขานตำบลนุสนธิ์เฉลย
ทั้งบกเรือเหนือใต้ใช้กันเคย ไปมาเอ่ยชื่อเค้าได้เข้าใจ
เหมือนความดีความชั่วตัวบุคคล แม้ร่างกายตายหล่นไปไหน ๆ
ชื่อยังรู้อยู่แจ้งทุกแห่งไป ลมน้ำไฟก็มิอาจสามารถทำลาย
รถข้ามสะพานเหล็กรองก้องกระทบ ดังตลบวับหวือหูอื้อหาย
ความเร็วของรถมองตาลาย มิได้วายอาวรณ์อ่อนอารมณ์
๑๑/ มาถึงเชียงรากน้อยยิ่งสร้อยเศร้า ไฉนเล่าจะทราบเรื่องเบื้องประถม
เชียงรากคู่อยู่ใกล้ไม่ระทม เราโศรกซมเพราะคู่ไปอยู่ไกล
ข้ามสะพานเรียกร้องคลองเชียงราก เสียงดังมากอีกเหมือนกันสนั่นไหว
รถหยุดหน้าสถานีค่อยมีใจ ลืมอาลัยลืมตัวมัวแต่ดู
เขาขึ้นลงส่งรับกันสับสน เดินมาชนถูกตัวและหัวหู
ไม่ถือโทษโกรธทำจำคำครู เบียดเสียดสู้อดทนปนกันไป
เชียงรากหรือเชิงลากยากจะคิด ถูกหรือผิดตามแต่จะแก้ไข
เขาเล่ายักษ์สถลมารพาลสุดใจ หวังจะให้พระรถหมดชีวา
ทำประชวรกวนผัวดังตัวเปรต สยายเกศกระสับกระส่ายทั้งซ้ายขวา
เอาข้าวเกรียบเรียบไว้ใต้ไสยา แล้วครางว่ากระดูกลั่นจะบัลลัย
ทำฉอ้อนวอนทูลอาดูรดิ้น ว่าเคยกินผลพฤกษาในป่าใหญ่
มะม่วงผู้รู้หาวขาวอำไพ มะนาวไซร้รู้โห่รสโอชา
จงโปรดให้พระรถทรงยศเดช ไปแจ้งเหตุแก่เมรีที่ภูผา
ได้มากินก็จะสิ้นซึ่งโรคา ซองสารานี้นำไปให้แก่นาง
พระราชางวยงงด้วยหลงไหล ดำรัสใช้โอรสาไปป่ากว้าง
ฝ่ายพระรถขับม้ามาหลงทาง จึงพักค้างที่กุฏีพระชีไพร
เห็นอักษรแก้ขยายชายภูสิต ในลิขิตว่าผู้ถือหนังสือไข
ถึงกลางวันกินกลางวันอย่าพรั่นใจ ถึงกลางคืนกลืนให้มันวายปราณ
พระฤๅษีสงสารกุมารน้อย จึงแปลงถ้อยความใหม่ลงในสาร
ถึงกลางคืนรับกลางคืนให้ชื่นบาน ถึงกลางวันพลันสมานการไมตรี
พระรถไปได้นางได้ดวงเนตร ยาวิเศษหนีลับกลับกรุงศรี
พระบิตุรงค์ทราบความตามคดี อสุรีมันแกล้งจำแลงมา
จึงลงโทษนางนั้นชีวันวาย ราพณ์ร้ายกลายพักตร์เป็นยักษา
มีร่างกายใหญ่โตต้องโกลา ลากใหญ่มาหยุดหน่อยลากน้อยไป
ต้องตัดกรรอนเช่นกันเป็นชิ้น โลหิตนองกองดินดังธารไหล
ที่ตำบลขนกายมารร้ายไซร้ พื้นผะไทแดงดลจนทุกวัน
ตรงเนื้อหนาผ่าวิ่นเป็นชิ้นจิ๋ว เป็นแปดริ้วหิ้วหามตามขยัน
จึงเรียกแปดริ้วนามไปตามกัน เท็จจริงนั้นอยู่แก่เขาผู้เล่ามา
๑๒/ ถึงบางปะอินถิ่นเหมาะเป็นเกาะคู่ พระราชวังตั้งอยู่ดูสง่า
แต่ตัวเราว้าเหว่อยู่เอกา อนิจาเหมือนเกาะแกล้งเยาะเรา
มีคำกล่าวเล่าว่าเกาะนี้ เดิมเป็นที่อาศัยอยู่ของผู้เฒ่า
มีบุตรหลานหลายกระท่อมล้วนย่อมเยาว์ ปลูกน้ำเต้าฟักแฟงไว้แกงกิน
ที่ราบต่ำทำนาเป็นอาหาร สุขสำราญตามทำนองของท้องถิ่น
มีหลานสาวขาวบางชื่อนางอิน เขาเรียกถิ่นนี้เฉพาะเกาะเลนตม
ภายหลังมีสุริยวงศ์พระองค์หนึ่ง เรือมาถึงหัวเกาะจำเพาะล่ม
เกิดพายุแรงกล้านาวาจม ต้องระทมว่ายน้ำแทบจำตาย
ถึงตลิ่งทิ้งองค์ลงกับพื้น จะเดินยืนไม่ไหวฤทัยหาย
เห็นแสงไฟกระท่อมน้อยอยู่พรอยพราย เรียกโวยวายช่วยด้วยจะม้วยมรณ์
พวกชายหญิงวิ่งไปเอาไฟส่อง ช่วยกันประคองมาประทับลงกับหมอน
ได้สมสองนางอินครั้นทินกร รุ่งแล้วจรกลับไปไม่ได้มา
ฝ่ายนางอินมีครรภ์ถ้วนกำหนด คลอดโอรสงามพักตร์เป็นหนักหนา
ได้เจ็ดขวบองอาจประหลาดตา ก็จัดพาไปถวายให้บิตุรงค์
ครั้นเติบใหญ่ได้เป็นมหาอำมาตย์ ในพระราชทินนามตามประสงค์
เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ แล้วได้ดำรงสยามราชประสาททอง
ทรงสร้างวัดไชยชุมพลมงคลสถาน ซึ่งพระองค์ท่านสมภพประสพสนอง
ชาวบ้านเรียกเกาะอออิน ๆ ครอง บ้างเรียกร้องบางปะอินถิ่นพบกัน
อันเกาะนี้มีกษัตริย์หลายรัชช์ประทับ สร้างสำหรับประพาสเปรมเกษมสันต์
แล้วเลิกร้างห่างมาช้านานครั้น พระทรงธรรม์มหาปียายง
วงศ์จักรีที่ห้าพระปราโมทย์ พระองค์โปรดสร้างขนาดราชประสงค์
พระที่นั่งใหญ่ ๆ เป็นหลายองค์ ที่งามทรงเลื่องลือฝีมือไทย
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาศน์ เป็นปราสาทปลูกสร้างกลางสระใหญ่
ที่เกาะนอกออกมหาชลาไหล สร้างวัดไว้ท้ายเกาะเพราะศรัทธา
ทรงพระราชทานนามความพิเศษ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติจัดศึกษา
ให้พระสงฆ์เรียนร่ำพระธรรมมา บำรุงพุทธศาสนาถาวรเนาว์
๑๓/ ถึงบางโพธิ ๆ มีที่ไหนแน่ เห็นแต่แพปากคลองขายของข้าว
รถวิ่งข้ามสะพานปร๋อไม่รอเบา ดูไม่เท่าไม่ทั่วของตัวคลอง
เลียบใกล้ทางข้างแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นนาวากลไฟแล่นไวว่อง
จูงเรือข้าวยาวยืดเป็นพืดมอง บางขึ้นล่องขนสินค้าทั้งมาไป
ทางน้ำนั้นก็นั่งสบายไม่พายถ่อ ทางบกก็ไม่ต้องเดินเพลินหรือไม่
ถ้าไม่ต้องกินอาหารประการใด จะสำราญบานใจไปทุกคน
การเหนื่อยยากกรากกรำทำทั้งสิ้น เพราะต้องกินเป็นเหตุประเภทผล
จะนั่งนอนร้อนเร่าเฝ้ากังวล จนวายชนม์นั่นแหละสิ้นถวิลปอง
๑๔/ ถึงศรีอยุธยาเวลาสาย น่าเสียดายกรุงเก่ามาเศร้าหมอง
เคยรุ่งเรืองจำรัสกษัตริย์ครอง โอ้มาต้องกลับกลายเป็นไร่นา
ตำนานเก่าเล่าเรื่องแต่เบื้องก่อน พระนครไพบูลย์พูนสุขา
แต่ครั้งหนึ่งไร้กษัตริย์ขัตติยา พวกเสนาพร้อมเพรียงกันเสี่ยงเรือ
สุพรรณหงษ์เอกชัยไปตามน้ำ ประหลาดล้ำเรือคว้างไปทางเหนือ
ดุจจะมีวิญญาณมาจานเจือ ไปหยุดเกื้อกูลเผ่าพวกชาวนา
มีฝูงเด็กเลี้ยงโคบ้างโห่ร้อง เล่นทำนองยกทัพรับอาสา
ตั้งหัวหน้าหนึ่งเป็นเจ้าชาวประชา มีเสนาหมอบก้มประนมกร
เอาจอมปลวกต่างบัลลังก์นั่งบัญชา ลงอาชญาผู้ผิดกิจสังหรณ์
เอาต้นกกต่างดาบปราบฟันฟอน ถูกคนนอนมรณาน่าอัศจรรย์
พวกอำมาตย์ถ้วนทั่วเชิญหัวหน้า ลงนาวาประโคมร้องฆ้องกลองสนั่น
ให้ครองศรีอโยธยาเป็นราชันย์ ทรงนามนั้นสายน้ำผึ้งซึ่งก็มี
ว่าพระนามกษัตริย์สายน้ำผึ้ง ครองกรุงถึงสุโขทัยหาใช่ที่นี่
องค์เดียวกันหรือไฉนไม่ทราบดี แต่ก็มีเรื่องเกี่ยวข้อเดียวกัน
ว่าไปได้ธิดามหาประเทศ กรุงจีนเขตห่างไกลไอศวรรย์
ได้เงินทองเภตราสารพรรณ บริวารนั้นตามมาพาราไทย
๑๕/ ถึงบางกระจะพระเสด็จนิเวศน์ก่อน แล้วย้อนเสด็จกลับมารับใหม่
พระนางสร้อยดอกหมากมิอยากไป กลั้นพระทัยแดดิ้นจนสิ้นชนม์
พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงให้สร้าง วัดพระนางเชิงไว้ให้กุศล
ทั้งสร้างวัดกุฎีดาวคราวมงคล นิรมลมเหษีมีศรัทธา
ทรงสร้างวัดมเหยงค์ยังคงอยู่ สังเกตดูตามทางแนวข้างขวา
พระเจดีย์เรียงรายสุดสายตา ล้วนมหาเจดีย์มีมากองค์
จะเห็นได้ใช่ชั้นสามัญสร้าง ชำรุดร้างไม่มีใครใจประสงค์
แนวแม่น้ำเก่ายังอยู่เป็นคู่ตรง แต่ในพงศาวดารข้ามฐานมา
จับเอาครั้งตั้งกรุงเทพ ฯ ทวาราวดี ลงบัญชีปึกแผ่นไว้แน่นหนา
ยกเอานามบุรีศรีอยุธยา รวมเข้ามากล้ำกลืนเป็นพื้นเดียว
ก็เริดร้างอย่างอนาถขาดชะตา กลายเป็นป่าอีกไม่มีที่แลเหลียว
ความจริงคนละเมืองต่างเรื่องเจียว คิดแล้วเหี่ยวแห้งใจครรไลลา
โอ้สิ่งใดก็ไม่เที่ยงทุกเยี่ยงอย่าง จะก่อสร้างปึกแผ่นไว้แน่นหนา
ถึงหลอมเหล็กหล่อแล่นแผ่นศิลา ก็ไม่ถาวรเที่ยงจะเถียงใย
มนุษย์เรากระดูกหนอเนื้อห่อหุ้ม มันนิ่มนุ่มกระทบกระเทือนความเคลื่อนไหว
หรือจะอาจทนทานการณ์โลกัย ย่อมบรรลัยเปื่อยเน่าไม่เนานาน
ความประพฤติดีและข้อทรลักษณ์ นั่นแหละจักดำรงคงสัณฐาน
ไม่เปื่อยพังตั้งมั่นอันตรธาน ตลอดกาลฟ้าดินจะสิ้นไป
๑๖/ ถึงบ้านม้า ๆ ที่มีพยศ ทั้งโกงคดเหลือกำลังจะรั้งไหว
ขืนขับขี่มีแต่จะแพ้ภัย ไม่ขอใกล้กายาของม้าโกง
กลัวม้าร้ายควายขวิดไม่ชิดใกล้ มันก็ไม่มีเรื่องเครื่องโขมง
คนทมิฬหินชาติอุบาทว์โครง หลีกอยู่โพรงเขายังแผ่กระแสร์ลาม
เกิดเป็นคนยากจะพ้นวิกลเหตุ ดังอยู่เขตรบระหว่างกลางสนาม
ล้วนแต่ศึกกึกก้องทำนองความ มีสงครามกว่าชีวันจะบรรลัย
๑๗/ นั่งรำพึงถึงระยะมาบพระจันทร์ ยิ่งร้าวรัญจวนจิตพิศมัย
ดวงจันทร์แจ่มแรมกลับมืดลับไป ข้างขึ้นได้กลับมาแจ่มแอร่มตา
แต่ดวงพักตร์ลักขณาลี้ลาลับ มิได้กลับมาเหมือนจันทร์ดั้นเวหา
จะชมอื่นเอี่ยมโอ่ทั่วโลกา ไม่เหมือนหน้าคนรักประจักษ์ใจ
๑๘/ ถึงพระแก้วมิประสบพบพระแก้ว แต่จิตแน่วถึงพระไม่ไถล
คำนึงถึงคุณพระรัตนตรัย เป็นฉัตรชัยกั้นเกล้าทุกเช้าเย็น
๑๙/ มาถึงบ้านพาชีที่ใหญ่กว้าง รถหลีกทางรางไขว่น่าใคร่เห็น
มีโรงใหญ่ปลูกขวางคร่อมทางเป็น กั้นร่มเช่นฝนแดดระแวดระวัง
รางรถค้อมอ้อมไปทั้งซ้ายขวา ตัวสถานีวางอยู่กลางตั้ง
มีตลาดสองฟากดุจฉากประดัง ใต้ทางยังมีอุโมงค์เป็นโพรงยาว
เดินได้ตลอดลอดทางกว้างวากว่า คนไปมาทางนั้นกันอื้อฉาว
ได้ปลอดภัยรถไขว่กันระนาว ถ้าเดินก้าวข้ามข้างบนรถชนตาย
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจกันแซ่ซ้อง ขนข้าวของขึ้นลงกลัวหลงหาย
ที่รู้จักทักถามความต้นปลาย บ้างเรียกฝ่ายไกลเพียงสุ้มเสียงเครือ
ดูอะไรไม่เห็นยุ่งเท่าพุงมนุษย์ ช่างแสนสุดยุ่งยากลำบากเหลือ
พอรุ่งเช้างันงกทั้งบกเรือ วุ่นจนเหงื่อเป็นน้ำมันทุกวันไป
บ้างขายค้าหากำไรได้ง่ายคล่อง แลกเปลี่ยนของสุจริตติดนิสัย
บ้างทุจริตบิดงอไม่ขอใคร เห็นถ้าได้เป็นประชิดไม่คิดอาย
บ้างขี้เกียจทำงานขอทานเขา บ้างปล้นเอาซึ่งหน้าฆ่าเสียหาย
บ้างแย่งชิงวิ่งราวฉาวกระจาย บ้างตะกายตลบแตลงตะแคงสิ้น
สุดแต่ได้เอาทั้งนั้นไม่หวั่นหวาด ได้โอกาสแล้วไม่เลือกกะเดือกปลิ้น
มิได้มีจรรยาเป็นอาจิณ พอได้กินได้ผดุงให้พุงเต็ม
การกินอยู่หมู่มนุษย์นี้สุดยาก ต้องกินมากหลายประการคาวหวานเข้ม
ทั้งของอ่อนแข็งเคี้ยวรสเปรี้ยวเค็ม ต้องและเล็มตามคอหอยน้อยเมื่อไร
จะบรรจุเรือกำปั่นสักพันหมื่น ให้เต็มพื้นแล้วมิต้องเติมของใหม่
บรรจุท้องมนุษย์นั้นทุกวันไป ย่อมมิได้เต็มตามความยินดี
๒๐/ ถึงหนองวิวาทอยู่ดีไม่วิวาท เห็นต่างอาตม์ต่างอยู่ไม่สูสี
มนุษย์เราถ้าวิวาทขาดไมตรี ไม่มีดีมีแต่ร้ายทำลายกัน
ทำอย่างใดจะให้เราเหล่ามนุษย์ ละสมมุติโทโสไม่โมหันธ์
ไม่อิจฉาพยาบาทขาดสัมพันธ์ ยุติธรรมถ้วนทั่วทุกตัวคน
แม้ผิดบ้างพลั้งให้อภัยผิด กระทำจิตมุ่งหมายฝ่ายกุศล
ไม่เบียนเบียดเสียดส่อก่อกังวล จะมีผลสุขสานต์สำราญกัน
๒๑/ ถึงท่าเรือเมื่อสัปบุรุษไปพุทธบาท ที่ชายหาดเรือเรียงเคียงมหันต์
ข้ามสะพานเหล็กรานสะท้านครัน แล้วลอดขั้นสะพานไม้ครรไลคลา
เพราะที่ทางจอแจจำแก้ไข กลัวรถไฟจะทับดับสังขาร์
ช่างรอบคอบกอบโกยโปรยเมตตา โมทนาสิ่งที่ทำดีกระไร
หน้าสถานีใหญ่รถไฟหยุด สัปบุรุษเซ็งแซ่แลไสว
ทั้งทางบกทางนทีที่ใกล้ไกล พากันไปล้นหลามตามมรรคา
มีรถไฟสายน้อยคอยรับส่ง ฝ่าทุ่งดงเลียบเดินริมเนินผา
ผู้ที่ไปได้กุศลผลบูชา ทั้งได้ค่าบรรเทิงสำเริงรมย์
ไปเที่ยวเขาเข้าถ้ำดูน้ำบ่อ ได้เคลียคลอรวยรินชื่นกลิ่นฉม
ซื้อของลาวชาวต้องสู้เที่ยวดูชม ของบรมบูราณตระการครัน
๒๒/ ถึงบ้านหมอ ๆ ยาหรือผ่าตัด ช่วยกำจัดเชื้อโรคโศกกระศัลย์
ให้สูญหายได้สนิทไม่ติดพัน ไม่เห็นชั้นหมอกล้ามารับรอง
ไม่มีหมอท้อจิตคิดวิตก โอ้เอ๋ยอกเราเห็นต้องเป็นหนอง
เพราะโรครักหมักหมมระทมมอง หมดทางช่องเยียวยารักษาเลย
๒๓/ ถึงหนองโดน ๆ อีกตั้งกระมังนี่ โดนแต่ที่ทุกข์ซ้ำอีกกรรมเอ๋ย
มาจ่อตาว่าวุ่นดังคุ้นเคย พลางเมินเฉยชมตลาดสะอาดตา
มีโรงพักตำรวจตรวจผิดจับ คอยระงับความทุกข์เป็นสุขา
ตามแผ่นดินราบรื่นล้วนพื้นนา มีมรรคาไปถึงซึ่งคีรี
ใกล้มณฑปบริสุทธิ์พุทธบาท ประชาราษฎร์ครึกครื้นในพื้นที่
ความเจริญเดินถึงพนาลี ก็เพราะมีน้ำใช้ไม่กันดาร
ที่แห่งใดไร้น้ำสำคัญมาก เจริญยากขัดสนผลอาหาร
ถ้ามีห้วยน้ำหนองคลองลำธาร อาจตั้งบ้านตั้งหน้าการหากิน
๒๔/ ถึงบ้านกลับคิดใคร่กลับไปบ้าน เคยสำราญสถิตนิจสิน
มานั่งเมื่อยเหนื่อยตาดูป่าดิน กว่าถึงถิ่นกำหนดรันทดใจ
๒๕/ ถึงป่าหวาย ๆ เหนียวเป็นเกลียวเชือก มีแอกเหนียวแน่นแค่นไม่ไหว
ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด มีเงินไม่มีโชคแก่โลกเอย
ที่เหลือล้นขนเข้าไว้ไม่จ่ายแจก ตายจะแบกเอาไปได้ไฉนเอ๋ย
คิดบางคนจนยากอ้าปากเงย กินน้ำเคยนุ่งห่มโสมมมอม
ควรเมตตาการุณเจือจุนบ้าง พอปะทังร่างกายที่ผ่ายผอม
เหมือนช่วยคนเรือล่มระทมงอม กุศลย่อมจะได้หลายประการ
๒๖/ มาถึงลพบุรีทวีเศร้า เห็นทรากเก่าปรางค์ปราสาทราชฐาน
สร้างลำดับนับกษัตริย์หลายรัชกาล เป็นบูราณนานครันกว่าพันปี
เดิมพระยากาวัณดิศราช ให้พราหมณ์อำมาตย์มาสร้างถางถิ่นที่
ตั้งปราสาทราชวังทั้งมณฑีร์ สิบเก้าปีพร้อมพรั่งทั้งอาราม
เมื่อพุทธศกตกพันเศษสองส่วน จุลสิบถ้วนระกาภาษาสยาม
เรียกว่าเมืองละโว้โสภณนาม พันสี่สิบสามบรรจุธาตุพระศาสดา
จุลมีสี่สิบสองในปีเถาะ อันงามเหมาะชูชาติศาสนา
ได้สองพรรษกษัตริย์ก็มรณา ครั้นต่อมาพระยาศรีธรรมไตร
ปีฎกองค์ทรงภิเศกเจ้าไกรสรณ์ ครองนครละโว้อันโตใหญ่
แล้วก็มาพระยาจันทปโชติไซร้ ต่อมานัยจะสูญสิ้นบุญญา
ภายหลังจึงพระนารายณ์มหาราช โปรดประพาสเมืองละโว้อันโอ่อ่า
ให้สร้างซ่อมพร้อมหมดรจนา เปลี่ยนนามว่าลพบุรีที่ยิ่งยง
พระเดชาอำนาจราชประวัติ สารพัดสมพระราชประสงค์
พอประชวรควรหรือหมดเดชยศลง เป็นน่าสงสารเหตุสังเวชใจ
ต้องกำจัดตัดอำนาจราชศักดิ์ ไม่ปกปักษ์ข้าหลวงทั้งปวงได้
ทรงสลดรันทดพระหฤทัย เอาธงชัยพระอรหันต์กันผดุง
ทรงอุทิศปรางค์ปราสาทราชมณฑีร์ ให้เป็นที่สีมาเขตวิสุง
บวชเสวกสามสิบสองปองบำรุง ได้สมมุ่งทุกคนพ้นไพรี
ยังเหลือแต่พระปิยะไม่ละราช ฉลองบาทบงกชบทศรี
กตัญญูรู้กตเวที พวกไพรีผลักตกฟกบัลลัย
เป็นกษัตริย์ขัตติยามหาเดช ต่างประเทศทั้งหลายไม่กลายใกล้
แต่เกิดมีศัตรูอยู่ภายใน กระทำให้ราชอำนาจถึงขาดลอย
พิโรธล้ำดำรงองค์พระแสง จะตัดแล่งกบฎให้ถดถอย
ไม่สมหวังด้วยกำลังพระองค์น้อย วาโยพลอยพาท่านสวรรคต
ปลูกไม้ใหญ่ใกล้เรือนเหมือนเช่นว่า ทับเคหาพังทะลายกระจายหมด
ขับขี่ม้าตัวดีมีพยศ แต่ว่าหมดกำลังจะรั้งได้
ลพบุรีมีตำนานหลายท่านสร้าง แต่ก็ร้างแล้วกลับต่อก่อสร้างใหม่
เป็นหลายครั้งหลายคราน่าอาลัย ขอจงให้มีผู้สร้างอย่าร้างเลย
ข้างขวามือมีศาลพระกาฬสูง มีพวกฝูงลิงไพรอาศัยเฉย
ตามต้นไม้ใหญ่น้อยคอยก้มเงย คนที่เคยขึ้นไปไหว้พระกาฬ
ให้ขนมส้มกล้วยรวยกินเสมอ ถ้าใครเผลอไม่ได้ให้อาหาร
เข้าแย่งของจากกายหลายประการ แล้วทะยานเอาไปทิ้งไว้กิ่งไม้
ต้องนำกล้วยอ้อยไปวางพลางเรียกหา เอาคืนมาเถิดเจ้าเราเปลี่ยนให้
รู้เหมือนคนเอามาวางอย่างเห็นใจ รวบของไปกินพลางยื่นคางชู
บางทีขึ้นรถไฟไปเที่ยวป่า นั่งหลังคาเต็มหมดไม่หดหู
คนไล่ขับกลับคนองจ้องตาดู ตะคอกขู่เลิกคิ้วพริ้วร่างกาย
พอรถหยุดสถานีที่ประสงค์ ก็เผ่นลงจากหลังคาเข้าป่าหาย
เที่ยวเสียสองสามคืนชื่นสบาย แล้วก็ผายมาคอยท่าสถานี
พอรถไฟใช้จักรมาพักหยุด ต่างรีบรุดขึ้นหลังคาไม่ล่าหนี
กลับยังที่เคยอยู่ลพบุรี สัตว์ยังมีใจสมัครรักถิ่นครอง
เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ รักชาติเถิดบำรุงไว้อย่าให้หมอง
จงร่วมใจร่วมจิตคิดปรองดอง อย่าคอยมองผิดกันฉะนั้นเลย
๒๗/ ถึงตำบลโคกกระเทียมเรียมวิโยค มาพบโคกกระเทียมซ้ำอีกกรรมเอ๋ย
หวลสะท้อนร้อนใจไม่สะเบย จำแลเชยชมอื่นให้คืนคลาย
เห็นสีดินดาคล้ำดังหมึก มีไพรพฤกษ์ทัศนาภูผาหลาย
เป็นแนวทิววิเวกเทียมเมฆพราย จนสุดสายเนตรไม่หมดบรรพตเวียน
๒๘/ ถึงหนองเต่าเท้าสั้นกระนั้นเต่า แข่งเอาเจ้ากระต่ายแพ้พ่ายเลี่ยน
ถือขายาวก้าวไวไปจวนเจียน แต่เต่าเพียรเดินไม่หย่อนถึงก่อนพลัน
ความเพียรดีมีตำราว่าไว้มาก แต่มิอยากทำตามเป็นความขัน
ไม่เพียรหาเพียรแต่จ่ายทุกรายวัน จะป้องกันความจนได้กลใด
๒๙/ ถึงทรายขาว ๆ หรือดำในน้ำจิต สุดที่จะพิศให้แจ้งแถลงไข
ที่ใจดำอำมหิตยิ่งพิษไฟ ภายนอกใสขาวช่วงหลอกปวงชน
ที่ภายนอกมัวคล้ำแต่น้ำจิต ขาวสนิทใจฉ่ำดังน้ำฝน
เห็นใครมีทุกข์ร้อนช่วยผ่อนปรน ถ้าดูคนดูแต่ผิวมักพริ้วแพลง
๓๐/ ถึงบ้านหมี่มี่ก้องมองระเหิด เขาระเบิดภูผามาเป็นแผง
เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนแรง เอาเหล็กแทงพะเนินตอกออกกระจาย
ที่เป็นก้อนคอนขนขึ้นบนรถ ทำมีหมดทุกขนาดตามมาตรหมาย
พ่วงรถไฟยาวยืดไม่ฝืดคลาย ส่งไปขายตามระยะพระนคร
เขามีเพียรไม่น้อยขุดต่อยหิน เราขุดดินง่าย ๆ ไม่สังหรณ์
ร้องลำบากยากเหนื่อยเมื่อยบาทกร จะนั่งนอนคอยถ้าเวลาตาย
ศิลาแข็งแกร่งกล้าหนาแน่นสุด เขายังอุตส่าห์ทะยอยงัดต่อยขาย
หวังได้เงินมาบำรุงผดุงกาย ให้สบายพูลสวัสดิ์วัฒนา
๓๑/ ถึงห้วยแก้วเงินหรือคือเหมือนแก้ว ถ้ามีแล้วก็อาจปรารถนา
นึกสิ่งใดได้สิ่งนั้นทันวิญญาณ์ เขาบูชาเงินกันทุกวันมี
จะเลวทรามต่ำช้าถ้ามีทรัพย์ เขามักนับว่าเลิศประเสริฐศรี
ที่ยากจนค่นแค้นถึงแสนดี เขาไม่ชี้เชิดชมนิยมยิน
๓๒/ ถึงจันเสนชื่อแฝงจันแดงแน่ เป็นยาแก้โรคภัยได้ทั้งสิ้น
กล่าวกันว่าถ้าใครได้ไปกิน จะมีอินทรียอ้วนเป็นนวลแดง
ไม่รู้แก่รู้ป่วยสวยเสมอ หาไม่เจอกันสักคราเป็นน่าแหนง
ถ้าฉันพบจะผจญขนเต็มแรง เอามาแบ่งให้ทุกคนได้ฝนกิน
ไม่เจ็บป่วยสวยแท้ไม่แก่เฒ่า มนุษยเราก็จะสมอารมณ์ถวิล
จะมีสุขสำราญปานเมืองอินทร์ จะแสนยินดีตัวทั่วทุกมวล
๓๓/ ถึงช่องแคแลบุกค้นทุกช่อง ไม่เห็นร่องรอยใดฤทัยหวล
รถสะท้อนร้อนอบนั่งซบซวน ยิ่งเรรวนใจหวามมาตามทาง
๓๔/ ถึงตำบลบ้านตาคลีนี้ประหลาด แผ่นดินดาษแดงทั่วไม่มัวหมาง
พฤกษาเขียวเกียวกลมสมสำอางค์ ๓๕/ ถึงห้วยหวายดินก็อย่างแดงต่างกัน
สีชมภูดูงามอร่ามฉาย ๓๖/ บ้านหนองโพธิดินก็คล้ายกับที่นั่น
แต่แดงสีมีคล้ำเป็นสำคัญ ๓๗/ บ้านหัวงิ้วก็เช่นนั้นช่างขันจริง
สี่ตำบลนี้กระมังครั้งพระรถ ฆ่ารากษสตัดแล่งเป็นแง่งขิง
ว่าเลือดนองพสุธาน่าประวิง มาเห็นสิ่งสีดินให้กินใจ
๓๘/ มาถึงบ้านมะกอกยิ่งชอกช้ำ ดังใครนำกรดมากรอกทุกซอกใส่
ปวดระทมโทมนัสดวงหฤทัย โอ้เวรใดแน่หนอมาทรมาน
๓๙/ มาถึงบ้านเขาทองมองดูถิ่น เป็นเนินดินเหลืองแดงแข่งขนาน
รถไฟไปกลางเนินเหินทะยาน ๔๐/ ถึงสถานอ่างหินดินธรรมดา
เถาวัลย์วกกกพันวรรณพฤกษ์ เป็นเซิงซึกซึ้งไปไกลหนักหนา
ทั้งสองข้างป่าชัฏริมรัถยา สกุณาเคียงคลอกันจอแจ
เหมือนจะทักถามเราเจียวเจ้านก พลอยวิตกเห็นเรานั่งเศร้าแน่
โอปักษียังมีแก่ใจแท้ มนุษย์แชเชือนชาไม่การุณ
๔๑/ ถึงหนองปลิง ๆ ทากต้องบากบิด กลัวเกาะติดทำให้หัวใจขุ่น
สูบโลหิตสด ๆ ให้หมดทุน หลงวายวุ่นลงหนองจะต้องคราง
๔๒/ มาถึงปากน้ำโพโกลาหล เสียงผู้คนเซ็งแซ่แลสล้าง
รถหยุดยั้งบ้างลงบ้างตรงทาง บ้างขนพลางหาบขนปนกันไป
บ้างขายของร้องถามตามหน้าต่าง ชูของพลางเชิญดูหมูเป็ดไก่
หมี่ก๊วยเตี๋ยวข้าวผัดถนัดใจ ข้าวต้มใส่ชามช้อนร้อน ๆ ดี
ทั้งข้าวโภชน์ข้าวหมากอ้อยและน้อยหน่า เสียงจ๊ะจ๋าซื้อกันสนั่นมี่
ได้ลงเดินชมจังหวัดฝั่งนที เรือแพมีคับคั่งสองฝั่งชล
เป็นทางร่วมรวมสามแม่น้ำมา เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาโอฬาร์ผล
ได้ชื่นชุ่มภูมิพื้นรื่นกมล ประชาชนขายซื้อกันอื้ออึง
ตลาดนี้สำคัญมากทางภาคเหนือ ทั้งบกเรือเป็นแอ่งที่แข็งขึง
ขนสินค้าคับคั่งเสียงตังตึง บ้างฉุดดึงไม้ซุงมุ่งทำแพ
นับพันหมื่นดื่นดาษดูกลาดกลุ้ม เป็นที่ประชุมซื้อขายกระจายแพร่
บ้างค้าซุงเป็นเศรษฐีก็มีแท้ บ้างค้าแพฝรั่งแขกจนแหลกลาญ
การค้าขายถ้าไม่มีไหวพริบ ย่อมจะฉิบหายป่นธนสาร
ไหวพริบไม่มีตำราและอาจารย์ จะสอนอ่านเขียนให้ได้วิชา
ไหวพริบอาจเกิดจากเหตุสังเกตทั่ว สิ่งดีชั่วเลวงามตามยะถา
บรรดาได้เห็นรู้ทางหูตา พิจารณาโดยสุขุมมิสุ่มไป
จะบังเกิดวิทยาอันสามารถ ประจำอาตม์เป็นนิจติดนิสัย
เมื่อได้ยินได้เห็นการเช่นใด ย่อมมีไหวพริบผับโดยฉับพลัน
จะขอกล่าวเปรียบเทียบไว้ ถึงศรีธนนชัยคนขยัน
เป็นตลกหลวงสำคัญ ปัจจุบันคิดคล่องไม่ต้องนาน
ทรงธรรม์พันวษาลงสรง สนานองค์ในท้องธารละหาน
จึงมีพระราชโองการ ธนนชัยเจ้าชาญปรีชา
ถ้าเองหลอกข้าขึ้นฝั่งได้ จะตั้งให้ยงยศปรากฏหล้า
หลอกไม่ได้ไม่ไว้ชีวา เร่งว่าเร็วพลันจะบรรลัย
ธนนชัยไม่พรั่นหวั่นไหว บังคมทูลยอหัตถ์บัดใจ
ชีวิตอยู่ใต้บาทบงก์ แม้พระเสด็จขึ้นฝั่งก่อน
พอจะวอนทูลให้กลับไปสรง นี่จนเกล้าอยู่เพราะรู้องค์
แล้วแต่ทรงกรุณาข้าธุลี  
กรุงกษัตริย์ตรัสว่าถ้าเช่นนั้น ข้าจะผันผายขึ้นพื้นที่
จึงเสด็จจากฟากวารี อ้ายอวดดีจะหลอกบอกมา
ธนนชัยกราบปลกยกมือตั้ง รับสั่งให้หลอกออกจากท่า
ก็ลวงองค์ขึ้นฝั่งดังจินดา พระกลับมารับสั่งดังนี้
จะให้ลวงล่อต่อไป เล่นกับไฟไม่พ้นเป็นผี
ผู้อื่นจะชอบตอบคดี พระองค์มีคุณตอบไม่ชอบทาง
พระรู้สึกเสียกลธนนชัย โปรดอภัยไม่ทรงอางขนาง
เสด็จกลับขึ้นคืนปรางค์ ประทานรางวัลล้นธนนชัย
ดำรัสชมสมกายชายชาติ สามารถเอากูแพ้รู้ได้
มีไหวพริบดีนี่กระไร คนใดมีวิชาสารพัน
แต่ไหวพริบปัจจุบันไม่ทันเพื่อน มัวคิดฝันเฝือนเหมือนฝัน
เสียประโยชน์โทษขำสำคัญ ไม่ทันทีที่เขาผู้เชาว์ไว
ดูแต่พระมหากษัตริย์ยังตรัสชม ผู้อุดมปฏิภาณวิตถารใหญ่
ชมนิยมชมชอบระบอบนัย ซึ่งมิใช่เอาคารมเที่ยวข่มกัน
รถหยุดสิบนาฑีที่กำหนด แล้วเคลื่อนรถจากตอนนครสวรรค์
ตามทางนี้ดีเหมาะเพาะปลูกกัน กล้วยแลพันธุ์ข้าวโภชน์ประโยชน์รวย
ที่ขายสดเหลือมากก็ตากแห้ง ขั้วขายแพงราคาดีกว่ากล้วย
เขาปลูกกันแลตลอดยอดระทวย พระพายชวยริ้ว ๆ เหมือนทิวธง
๔๓/ บ้านทับกฤช ๆ แขกแปลกภาษา ดูไม่น่าจะคมสมประสงค์
ดาบของไทยใสขาวแบนยาวตรง ใครเห็นทรงยำเยงกลัวเกรงคม
อันคมกฤชคมดาบย่อมทราบฤทธิ์ แต่ดวงจิตคมเข้มทั้งเค็มขม
เห็นสุดรู้อยู่ลับดังจับลม ไม่นั่งงมก็เหมือนนั่งรู้อย่างใด
๔๔/ มาถึงคลองปลากดกำสรดเศร้า ให้ง่วงเหงาแทบกับจะหลับไหล
ตาไม่หลับแต่กลับเป็นหลับใน จนรถไฟถึงชุมแสงจึงแจ้งการ
สถานีผู้คนดูล้นหลาม บ้างหิ้วหามขึ้นลงส่งเสียงฉาน
ตลาดยาวยืดตั้งใกล้ฝั่งธาร แม่น้ำน่านเรือแพเซ็งแซ่จริง
ทั้งตลาดหันหน้ามาทางรถ ขายของสดของแห้งสุดแจ้งสิ่ง
ยุ้งข้าวเจ๊กมากหนักหนามองตาวิง คอยแย่งชิงซื้อข้าวของชาวไทย
บรรทุกข้าวมาทางเกวียนเดียรดาษ เป็นตลาดข้าวแท้แลไสว
เจ๊กห้ามขนเป็นพัลวันไป ใส่ยุ้งไว้เต็มรักกักราคา
คอยฟังว่าราคาดีแล้วพี่เจ๊ก ก็ขายเขกเต็มแรงไม่แกล้งว่า
ทั้งพ่อพวกโรงสีก็ปรีดา แต่ชาวนาเหนื่อยมากกลับยากจน
เขาจนทรัพย์ขัดสนเพียรขวนขวาย ก็เหือดหายจนได้กำไรผล
ฉันจนจิตคิดตั้งหวังกมล มิได้พ้นจนใจแทบวายปราณ
๔๕/ ครั้นถึงบ้านวังกร่างค่อยสร่างหลับ แต่กระสับกระส่ายหลายสถาน
ให้ปวดเศียรเวียนวิงนิ่งรำคาญ ไม่อุทานนั่งมองตามช่องแกล
๔๖/ แต่นิ่งยลถึงตำบลบางมูลนาค บ้านเรือนมากสะพรั่งฝั่งกระแสร์
ตลาดบกทางน้ำส่ำเรือแพ ฉางข้าวแลวัดวาสถานี
คนขึ้นลงขายค้ากันหนาแน่น ตามพื้นแผ่นดินแดงทุกแห่งที่
มีเกล็ดกล่าวว่านาคจากวารี แปลงอินทรีย์เป็นนางสำอางค์ตา
มาภิรมย์สมพาสชาติมนุษย์ จนเกิดบุตรผิดอย่างต่างภาษา
เป็นไข่ฟองใหญ่ประหลาดชาตินาคา แล้วหายหน้าไม่มีใครที่ได้พบ
ฝ่ายฟองไข่อยู่ชายกระแสสินธุ์ กะเทาะบิ่นขยายคลายประกบ
เป็นเด็กชายงามสะอ้านอาการครบ ออกนั่งตบน้ำเล่นน่าเอ็นดู
พากันนำไปถวายเด็กชายประหลาด ก็องอาจเดินได้ในผลู
พระราชาปราโมทย์โปรดเชิดชู เลี้ยงไว้อยู่เป็นโอรสยศไกร
ภายหลังบุตรภุชชงค์ผู้ทรงเดช ได้ประเวศพนาพฤกษาไสว
ลงบังคนบ้างบ่นเหม็นกระไร ขัดพระทัยสาปต้องเป็นของกลืน
ซึ่งติว่าเฝื่อนเหม็นจงเห็นหอม อย่าให้ยอมกินสวัสดิ์จงขัดขืน
ให้หนามเหนียวเกี่ยวยับดังสับฟืน จึงได้กลิ่นเนื้ออยากทำปากบอน
พระวาจาประสิทธิ์สฤษดิ์ผล เกิดเป็นต้นชูดอกออกสลอน
คือทุเรียนเดียรดาษกลาดดินดอน ยังอีกตอนว่านั่งฝั่งคงคา
ทรงเสวยโภชนามีปลาทอด พระหัตถ์สอดแกะกระทั้งหมดมังสา
ยังแต่ก้างพระวางในธารา ดำรัสปลาว่ายไปในสายชล
ก้างปลากลายว่ายน้ำบ้างดำผุด คนสมมุติเรียกนามตามนุสนธิ์
ว่าพระร่วง ๆ มาแต่ฟ้าบน จึงฝูงคนเรียกมูลนาคติดปากมา
แต่พระราชพงศาวดารเหนือ ว่ากษัตริย์ชาติเชื้อพราหมณ์นาถา
นามอภัยคามมุนีศิลาจาริ์ ไปรักษาองค์ศีลอภิญญาณ
ที่เขาใหญ่ไกลปราสาทราชนิเวศน์ นาคแปลงเพศเป็นกัลยามาสมาน
พระชื่นชมนางนั้นเจ็ดวันวาร นางกราบกราบทูลลาท้าวอาลัย
พระราชทานประวิชภูษิตทรง ไว้ต่างองค์จงคิดพิศมัย
นางนาคาลาย่างลับร่างไป ภูวนัยเศร้าสอื้นกลับคืนวัง
ฝ่ายนาคีมีครรภ์แต่วันจาก มาคลอดฝากผู้ใดไม่สมหวัง
พระฤๅษีหนีไปไม่จิรัง นางทรุดนั่งแหวนผูกกรลูกยา
ทั้งผ้าทรงวงพันกระสันห่อ ของ ๆ พ่อให้อยู่ดูต่างหน้า
แล้ววางไว้ในบรรณศาลา พรานป่ามาพบกุมารสงสารครัน
พาไปเลี้ยงเพียงบุตรสุดถนอม อยู่กระท่อมตามยากสู้บากบั่น
สองคนกับภรรยาไม่อาธรรม์ แต่ช่วยกันเลี้ยงมาได้กว่าปี
มาวันหนึ่งจึงท้าวอภัยราช สร้างปราสาทเพิ่มเติมเฉลิมศรี
อำมาตย์จึงเกณฑ์เหล่าชาวบุรี ทำหน้าที่ถากไม้ไสกระดาน
ฝ่ายนายช่างตั้งเสาเอาขื่อทอด แล้วยกยอดปรางค์รวมสวมประสาน
ติดทวยเทพประณมพรหมประธาน ครุฑทะยานเหนี่ยวพระยาวาสุกรี
อันเครื่องบนต่าง ๆ วางสำเร็จ ทั้งมุขเด็จบุษบกยกขึ้นที่
ยังอยู่แต่พื้นล่างทางปัตพี รีบทวีแรงแต่งทุกแห่งการ
ฝ่ายพรานป่ามาทำประจำกิจ เป็นห่วงคิดถึงบุตรสุดสงสาร
ให้ภรรยาพาเอาเจ้ากุมาร พักชายชานปราสาทชัยในเวลา
สุริยงค์ส่งแสงอันแรงร้อน ต้องเด็กอ่อนเหงื่อหลั่งตามมังสา
องค์ปราสาทไหวหวั่นเอนหันมา ให้ฉายาร่มทรงองค์กุมาร
พระจอมเจ้านครินทร์ปิ่นประเทศ ได้ยลเหตุอัศจรรย์จึงบรรหาร
ให้สอบถามได้ความของประทาน ภูษาสร้านธำมะรงไม่สงกา
ท้าวปราโมทย์โปรดประกาศราชโอรส ให้ทรงยศอำนาจวาสนา
ครั้นต่อไปได้เป็นพระราชา คนเรียกว่าพระร่วงตามท่วงที
คนละองค์หรือองค์เดียวกันแน่ สุดจะแก้ปัญหาว่าคงที่
เพราะต่างคนต่างก็ว่าตำราดี ตามแต่มีความเห็นกันเช่นใด
๔๗/ ดงตะขบไม่ประสบตะขบต้น เขาว่าคนขบไม่แตกแปลกหรือไม่
ผลมะตูมแข็งนอกออกง่ายใจ มะกอกในแข็งกระด้างช่างต่างกัน
เมื่อพิเคราะห์ดูต้นผลไม้ ช่างกระไรธรรมชาติประสาทสรรค์
มีลูกมิได้ผิดชนิดพันธุ์ เป็นที่มั่นหมายแน่มิแปรปรวน
จะปลูกฝังหวังผลต้นอะไร ก็ย่อมได้รับผลไม่พ้นส่วน
ลูกสิงห์สัตว์จัตุบาทอาจคำนวณ มีลูกล้วนเหมือนพันธุ์ไม่ผันแปร
แต่ส่วนลูกมนุษย์สุดมุ่งหมาย มักกลับกลายกล่นเกลื่อนไม่เหมือนแม่
ไม่เหมือนพ่อหนอช่างน่าชังแท้ ควรหรือแชเชือนไปไกลพืชพันธุ์
ที่ลูกดีมีหน้าพาตระกูล เรืองจรูญดังผ่านพิมานสวรรค์
ที่ลูกชั่วตัวมารผลาญฉกรรจ์ ครอบครัวนั้นก็ต้องตรมหนองบวม
๔๘/ ถึงตำบลสะพานหินถิ่นสถาน อันสะพานเหมือนวิชารีบหาสวม
ใส่กายตนขนควบเร่งรวบรวม มัวแต่ต้วมเตี้ยมช้าหาไม่ทัน
รวยวิชาถ้ามีอุปสรรค วิชาชักจูงตนพ้นอาถรรพ์
ข้ามกันดารผ่านขุ่นคุณอนันต์ ช่วยเลื่อนชั้นถานาลาภาพูน
๔๙/ มาถึงบ้านคลองลาวกล่าวสำเนียก ช่างมาเรียกคลองลาวให้เค้าสูญ
ควรเรียกร้องคลองไทยให้ไพบูลย์ สืบประยูรเผ่าพงษ์ของวงศ์ไทย
๕๐/ ถึงหัวดงพงรกปกคลุมเครือ น่าเกรงเสือจะมาอยู่อาศัย
เรามานั่งพร้อมหมดบนรถไฟ สัตว์ร้ายไม่หาญกล้ามาราวี
แต่มนุษย์สุทธิชาติอนาถหลาย ควรหรือกลายชาติเชื้อเป็นเสือหมี
อยู่บ้านเรือนนอนสบายไม่ว่าดี ต้องหลบหนีกระดอนไปนอนดิน
หนุนรากไม้ใบหญ้าต่างผ้าหมอน ต้องซุกซ่อนแอบตัวกลัวหัวบิ่น
ทั้งอดอยากปากแห้งแย่งเขากิน มดยุงริ้นกัดตอมจนผอมโซ
เที่ยวฆ่าปล้นซนทำกรรมอุบาทว์ ไม่พ้นราชอาชญามาอะโข
ประพฤติดีมีสัมมากัมมันโต จะภิญโญดีกว่าเจือเสือเป็นพาล
การเข้าใจตัวเองว่าเก่งกาจ ทำอำนาจวางโตอวดโวหาร
เที่ยวขัดใจขัดคอก่อรำคาญ ที่เขาคร้านหลีกตัวว่ากลัวตน
ยิ่งโอหังบังอาจประมาทหมิ่น ไม่มองดินมองแต่ฟ้าคอยท่าฝน
ไม่ทำมาหากินปลอกปลิ้นชน ไหนจะพ้นเวรกรรมนำบันดาล
๕๑/ บ้านวังกลมสร้างแต่ปางไหน ก็มิได้แจ้งเค้าสำเนาสาร
หรือจะเป็นวังวลชลธาร ไม่ทราบการณ์เลยไม่ใส่ใจจำ
๕๒/ ถึงพิจิตรคิดคนึงถึงขุนแผน ชมว่าแสนเป็นเจ้าชู้ดูไม่ขำ
จากนางพิมไปทัพกลับมาทำ ให้พิมช้ำใจร้าวเพราะลาวทอง
เรือมาถึงบันไดไม่ขึ้นบ้าน ไม่สมานพิมให้คลายเศร้าหมอง
หล่อนละห้อยคอยท่าน้ำตานอง ไม่เข้าห้องหอขุนช้างอย่างเห็นใจ
เพราะความรักขุนแผนแสนสวาท แม่เกรี้ยวกราดเฆี่ยนป่นสู้ทนได้
รู้ผัวกลับวิ่งมารับถึงบันได ขุนแผนไม่เที่ยงธรรมนำเหตุเอง
แล้วกลับมาพาหนีสู่พิจิตร นี่ก็ผิดอีกกรรมทำข่มเหง
พระไวยรับแม่มาหากริ่งเกรง กลับใช้เพลงเจ้าชู้อีกไม่หลีกกลัว
กระทำจนวันทองต้องโทษตาย ขุนแผนร้ายวันทองจึงต้องชั่ว
พระพันวษาก็กระไรไปพันพัว เรื่องส่วนตัวเอาเขาฆ่าน่าราคาญ
จะฆ่ากันให้บรรลัยทำไมหนา คนเกิดมาต้องตายเองเพลงสังขาร
ใครจะอยู่คู่ฟ้าสุธาธาร ไม่ช้านานเท่าใดในระวาง
พิจิตรมีเมืองโบราณนัยการกล่าว ว่าลูกท้าวโคตะบองปกครองสร้าง
ยังมีทรากอิฐกำแพงพอแจ้งทาง เมืองวัดร้างหญ้ารกขึ้นปกคลุม
พิจิตรใหม่ย้ายมาอยู่แม่น้ำน่าน ภูมิสถานใหญ่กว้างอย่างสุขุม
มีบึงมากนักหนาข้าวปลาชุม เพราะน้ำชุ่มชื้นชะกสิการ
เดิมชื่อเมืองสระหลวงทะบวงเก่า พื้นที่เล่าใหญ่โตระโหฐาน
มีบึงใหญ่ดังทะเลคะเนการ กว้างประมาณเจ็ดพันไร่น่าใคร่ชม
ปลูกบัวหลวงช่วงโชติประโยชน์หลาย เก็บเมล็ดขายบรรทุกเกวียนเดียรดาษถม
เป็นสินค้าหากำไรได้อุดม ควรนิยมกันปองแต่ของไทย
เมล็ดบัวกินดีมีกำลัง ทำได้ทั้งคาวหวานสมานไส้
ทำเป็นแป้งแห้งเก็บไปกินไกล ดัดแปลงได้โอชาสารพัน
อุตริตริอย่างใดอยากให้บอก ซื้อของนอกกินกันเล่นไม่เห็นขัน
ให้เงินทองล่องไหลไปทุกวัน ค่าน้ำมันเราก็แย่ยังแส่กิน
การกินอยู่ฟูฟ่องเป็นของง่าย การหาเงินยากหลายแทบตายสิ้น
เห็นแต่กินพล่อย ๆ อร่อยลิ้น มิได้จินตนานัยตรวจไตร่ตรอง
๕๑/ ถึงท่าฬ่อล่อหลอกกันออกฉาว ให้นึกหนาวร้อนตัวกลัวสยอง
กลัวทั้งล่อทั้งชนขนหัวพอง ขอจงผ่องพ้นล่อจนมรณา
๕๒/ บ้านกระท่อมคิดดูอยู่กระท่อม มีกินพร้อมนุ่งห่มพอสมหน้า
ไม่มีหนี้ไม่มีผู้บีฑา ก็ดีกว่าอยู่สถานบ้านโต ๆ
แต่ขัดสนจนทวีเจ้าหนี้แหนบ เหมือนคับแคบทั้งศัตรูก็ขู่โห่
งานสะบักสะบอมเผือดผอมโซ ต้องโอดโอ้ประดาษอนาถตา
ไร้วิชาอาหารกันดารกิจ สิ้นลาภยศหมดมิตรเสน่หา
ถึงอยู่ตึกเจ็ดชั้นสุวรรณทา ก็ไม่ผาสุกจิตเหมือนติดกรง
๕๓/ ถึงแม้เทียบเห็นแต่ป่าไร่นาน้อย ตะวันคล้อยลับไม้ไพรระหง
ให้หวิว ๆ รันทดสลดทรง นั่งบรรจงตัวไปหัวใจลอย
๕๔/ ถึงบ้านใหม่เขาปองแต่ของใหม่ ของเก่าไม่รักษาน่าละห้อย
เห็นเป็นเก่าแก่แล้วยังนั่งตะบอย ยังไม่ค่อยจะตายช่างร้ายจริง
อันของใหม่อาศัยเก่าเอากำเนิด ใช่จะเกิดอุปาติกะระดะสิ่ง
ย่อมได้นามชลัมพุชยุดพึ่งพิง ควรหรือชิงชังทำใจลำเอียง
๕๕/ มาถึงพิษณุโลกประโยคสุด รถไฟหยุดค้างจังหวัดแออัดเสียง
ต่างรีบลงส่งของกองรวมเรียง พ่อเถียวเลี่ยงไปว่าภัตตาคาร
เช่าสี่ห้องของใช้ไม่ต้องขน พวกคนยลภัตตามาขนาน
ขนขึ้นให้ถึงห้องที่ต้องการ ค่อยสำราญขึ้นสำนักพักราตรี
มีเวลาพากันขึ้นรถยนตร์ ถึงตำบลวัดใหญ่ประไพศรี
นมัสการพระพุทธวิสุทธี พระนามมีชินราชโอภาสทรง
ประทับในเรือนเฉลาเนาวรัตน์ เสวตร์ฉัตรกั้นเชิดระเหิดระหง
งามประเสริฐประดุจพุทธองค์ ประทับทรงโปรดสัตว์จรัสกาล
ฉันน้อมกายถวายเบ็ญจางค์ประดิษฐ์ พลางอุททิศน้ำใจอันใสสานต์
บูชาคุณตรัยรัตน์ชัชวาลย์ ขอนิพพานจงอย่าแคล้วข้าไป
ตำนานกล่าวราวเรื่องของเมืองนี้ พระเจ้าศรีธรรมไตรปีฎกใหญ่
เป็นกษัตริย์เชียงแสนแดนไผท มาสร้างไว้สองฝั่งข้างนที
ทั้งสร้างวัดปรางค์เจดีย์โบสถ์วิหาร พระประธานสามองค์ล้วนทรงศรี
เมื่อพุทธศกตกพันห้าร้อยปี ท้าวโกสีย์แปลงมาช่วยอำนวยการ
ปั้นเบ้าหล่อก่อเสริมพระนลาต ตรีศูลพาดไว้ประจักษ์ศักดาหาญ
พระชินราชอาจองค์แทนทรงญาณ ให้ยืนนานชั่วกัลป์พุทธันดร
แล้วกราบลาองค์พระชนะราช ยุระยาตร์หวลให้ฤทัยถอน
ขึ้นที่พักพร้อมหน้าคลายอาวรณ์ สโมสรรับอาหารสำราญรมย์
มีโต๊ะตั้งทั้งบ๋อยคอยปฏิบัติ สารพัตรตามจะซื้อชื่อขนม
ตะเกียงแสงจันทร์จ้าเป็นน่าชม ฝนระดมตกใหญ่ในราตรี
แขกยามแบกปืนยาวเที่ยวก้าวตรวจ วางท่าอวดอำนาจดังราชสีห์
ตามหน้าห้องช่องทางที่ขวางรี สองชั้นมีหลายสิบห้องต้องระวัง
สามชั้นมีสี่ห้องละสองบาท เตียงสะอาดเอี่ยมดีมีที่นั่ง
หน้าห้องมีเฉลียงโถงลูกกรงบัง ห้องน้ำทั้งห้องถ่ายอยู่ฝ่ายบน
ห้องสองชั้นเป็นพื้นคืนละบาท ความสะอาดธรรมดาอย่าฉงน
ให้กุญแจคนละห้องไม่ต้องปน ฝนตกจนตีหนึ่งจึงได้ซา
ดึกสงัดรัตติกาล์นิทราตื่น อยู่ห้องพื้นสูงอย่างกลางเวหา
วิเวกว่างห่างกระทบสบวิญญาณ์ ลมอัสสาสะประสาทสะอาดดี
ดวงจิตดิ่งนิ่งนังดังวิมุตติ์ เป็นสุขสุดจนกระทั่งเกือบรังษี
สิ่งสมมุติฉุดเบิกเลิกพิธี กลับเป็นมีอุปาทานรำคาญเคือง
คิดอีกทีดีได้ขณะหนึ่ง ดีกว่าซึ่งหมกหมุ่นจิตขุ่นเหลือง
ทั้งตาปีมีแต่เหตุกิเลสเนือง ชีวิตเปลืองเปล่าประโยชน์ล้วนโทษภัย
เสียงอธึกกึกก้องทุกห้องตื่น ลงจากพื้นภัตตาที่อาศัย
ต่างกังวลขนของปองครรไล ขึ้นรถไฟไปสวรรคโลกทันที
อากาศหนาวคราววิโยคสุดโศกซ้ำ ฝนพรูพร่ำชืดชาหมดราศี
นั่งระทมไม่เป็นสมประฤดี อันอินทรีย์เหมือนจะแข็งด้วยแรงเย็น
ไหนจะหนาวห่างอุ่นละมุนอก ไหนจะหนาวฝนตกฟกเหลือเข็ญ
ไหนจะหนาววายุดุลำเค็ญ ฝนกระเซ็นปิดแกลกันแจจรร
ต่างนั่งจ๋องมองหน้ากันตาแจ๋ว แต่มองแล้วมองเล่าเฝ้าเหหัน
ดูสิ่งใดก็ไม่เห็นเหมือนเช่นกัน ต่างนิ่งอั้นตาขยิบปริบ ๆ ไป
บ้างโงกหลับหลับตาทีท่าขัน บ้างเอนหันพิงเก้าอี้กรนฟี้ใหญ่
บ้างง่วงหงุบฟุบผงกตื่นตกใจ เห็นใคร ๆ เขายิ้มยิ่งนิ่มอาย
บ้างหาวหวอดกอดอกดังนกเจ็บ นั่งหนาวเหน็บชาพานสะท้านหลาย
เมื่อคืนนอนไม่หลับระงับกาย กระสับกระส่ายเพราะแรกแปลกที่นอน
ในรถไฟขายอาหารทั้งหวานคาว เกาเหลาข้าวแกงดีมีสลอน
กินสิ่งใดทำให้ของร้อน ๆ ไม่อาวรณ์จานหนึ่งสลึงเดียว
๕๖/ ถึงบ้านตูมฝนซาเปิดหน้าต่าง ค่อยสว่างหัวใจหมองไหม้เหี่ยว
คิดประทุมตูมแย้มแฉล้มเรียว เกษรเสียวชื่นทรวงดวงกมล
นิจาเอ๋ยเคยชื่นระรื่นกลิ่น มาสูญสิ้นอ้างว้างอยู่กลางหล
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล ดวงอุบลเบิกบานตระการตา
๕๗/ ถึงแควน้อยข้ามกระแสแลชม้อย อันแควน้อยย่อมอาศัยแควใหญ่กล้า
จึงมีน้ำนำให้ฝ่ายนาวา ได้ไปมาค้าขายสบายตัว
ถ้าป่ารกยกทำคลองถนน จะมีผลกว้างใหญ่มิใช่ชั่ว
ผู้ขัดสนได้ผงกยกครอบครัว ไปปลูกถั่วปลูกงาทำนากิน
มนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์ในปัถวี เครื่องทิพย์มีมิต้องตรองถวิล
ไม่วิตกยกหามตามแผ่นดิน ก็เหลือกินมีเองไม่เกรงกลัว
มนุษย์เราจำเป็นต้องของนุ่งห่ม ที่บังลมแดดฝนให้พ้นหัว
อาหารต้องอิ่มหนำประจำตัว จะมามัวเกี่ยงหาให้ช้าการ
เหมือนเรือใหญ่พายเดียวน้ำเชี่ยวปราด เมื่อใดอาจจะถึงยังห้วงสถาน
แม้ช่วยพายหลายแรงแข่งทยาน มิทันนานก็จะถึงซึ่งสบาย
คอยผิดจับสับฟันกันให้ยุ่ง เหมือนตบยุงไหนจะศูนย์ประยูรหาย
หาการงานให้ทำประจำกาย ที่ลอยชายต้องบังคับให้จับงาน
ป้องกันให้หายอดเหมือนทดน้ำ ได้ชื่นฉ่ำอิ่มเอมเกษมสานต์
ความหิวโหยโปรยประโยชน์โทษสาธารณ์ เห็นคชสารเท่ามดหมดความกลัว
๕๘/ บ้านกรับพวง ๆ กรับตีขับร้อง แลกข้าวของกินบ้างค่อยยังชั่ว
ที่โง่โซโออนาถดังชาติวัว เห็นเพื่อนตัวไปทางไหนก็ไปตาม
จะเป็นตายร้ายดีก็มิรู้ สุดแต่กูกินได้แล้วไม่ขาม
จะตีขับจับขังก็รังความ อยู่ในนามไทยสนิทน่าคิดดู
ชาติของเราคนน้อยด้อยพละ ควรจะสะสมให้มากบากบั่นสู้
การทำลายกันเองใช่เพลงครู ต้องเชิดชูจุนค้ำให้จำเริญ
๕๙/ ถึงหนองตม ๆ ก็เกิดต่อน้ำ ละลายทำดินแห้งที่แข็งเขิน
ให้เหลวไหลไปตามทางน้ำเดิน บังเอิญไหลไม่พ้นข้นเป็นตม
ดุจเหล็กแข็งแรงเหล็กรันต้องพลันนิ่ม ก้อนเกลือจิ้มน้ำกลายหายเค็มขม
ต้นไม้ใหญ่หักเดาะก็เพราะลม ลิ้นคนคมร้ายกาจยิ่งสาตรา
อาวุธอื่นหมื่นแสนแม้นประหาร คนนับล้านในแผ่นดินสิ้นสังขาร์
ให้พร้อมกันอันตรายวายชีวา ย่อมไม่สามารถทำสำเร็จการ
แต่ชิวหาอาวุธนี้สุดร้าย อาจทำลายล้านโกฏิอุโฆษหาร
ชีวิตมนุษย์ไม่มีที่ประมาณ อาจล้างผลาญรอบล้อมลงพร้อมกัน
ลิ้นที่ดีมีประโยชน์ล้างโทษร้าย คนทั้งหลายสิ้นทุกข์เป็นสุขสันต์
ทุกประเทศทุกถิ่นลิ้นสำคัญ ตัวของฉันกลัวจริงยิ่งสาตรา
๖๐/ ถึงบ้านบุ่งมุ่งมองยิ่งหมองอก เห็นป่ารกโอ้อนาถสัญชาติหญ้า
เที่ยวขึ้นบุกรุกรานการไร่นา อ่อนระอากันทั่วกลัวศัตรู
ไม้ที่ดีมีผลต้องขวนขวาย ส่วนไม้ร้ายมิต้องปลูกดอกลูกหรู
เหมือนวิชาที่ดีต้องมีครู ที่ชั่วดูมิต้องนำก็ชำนาญ
๖๑/ ถึงบ้านโดน ๆ กันสนั่นภพ ยิ่งปรารภเรื้อรังชาติสังขาร
อยู่คนเดียวในโลกก็โศกซาน อยู่รวมกันบันดาลรำคาญเคือง
นี่ของฉันนั่นแกมาแส่แย่ง นี่ของข้าอย่ามาแกล้งแสวงเรื่อง
อยู่ดี ๆ รี่มาชนข้าป่นเปลือง เจ้ามันเงื่องไม่หลีกข้าว่ากระไร
ต่างฝ่ายต่างก็ว่าข้าไม่ผิด ไม่มีจิตปรองดองให้ผ่องใส
ถ้ารักแล้วดีทั้งนั้นชมกันไป ชังแล้วไม่มีราคาแกล้งว่าเดา
ไม่เที่ยงแท้แน่นอนพระสอนสั่ง ให้ระวังอายะตะนะเขา
ทั้งระวังอายะตะนะเรา กระทบเข้าจะถะเกิงเป็นเพลิงกอง
เวรใดทำกรรมใดสร้างแต่ปางไหน เป็นปัจจัยแต่งทำให้ช้ำหมอง
ไม่จดจำสำนักคิดตรึกตรอง มานั่งมองดินฟ้าระอาอาย
๖๒/ ถึงพิชัยขอให้ชัยชะนะ สิ้นราคะโทสะโมหะหลาย
จงพ้นทุกข์สุขมานสราญกาย จนวางวายชนม์ชีพถึงนิพพาน
๖๓/ ถึงไร่อ้อย ๆ ตาลยังหว่านผล ให้ฝูงชนกินน้ำชื่นฉ่ำหวาน
มนุษยนี้ดีกว่าอ้อยร้อยประการ มิให้ทานเงินทองของชอบใจ
เพราะตระหนี่ถี่ห่างก็ช่างเถอะ ที่เลอะเทอะปลูกเท็จเก็บเด็ดใส่
ปลูกอิจฉากาล่อนต้นบอนใบ จงถอนให้ทานเตาเผาอัคคี
๖๔/ ข้ามสะพานแม่น้ำน่าสำราญรื่น พลางขึ้นยืนเยี่ยมแกลแลวิถี
ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่สายวารี หาดทรายมีเรียบราบดังปราบทำ
เป็นแหลมคุ้งวุ้งเว้าล้วนเหล่าทราย น่าสบายสนุกทุกฉนำ
น่าตั้งบ้านเรือนดูอยู่ประจำ เสียแรงธรรมชาติสร้างสำอางดี
ที่เปล่าว่างอย่างถูกมิปลูกอยู่ ที่อุดอู้ยัดเยียดเบียดเสียดสี
อากาศอับสับสนพนธุลี ไม่หน่ายหนีอดทนอยู่จนตาย
๖๕/ ถึงตำบลบ้านดาราสถานี อันเป็นที่ทางแยกดูแปลกหลาย
ต้องรีบลงจากรถรันทดกาย จะขึ้นสายรถสวรรคโลกครรไล
ต้องกรำฝนวนวิ่งขนสิ่งของ ลงมากองกางหาวหนาวถึงไส้
เห็นร่มกระดาษขายมีค่อยดีใจ ซื้อมาได้ห้าคันกั้นกายา
รถเก่าไปลำปางต่างแลเหลียว หัวใจเสียวหวลให้อาลัยหา
ผู้รู้จักกันเมื่อนั่งร่วมทางมา ต่างอำลาแยกทางกันต่างจร
พอรถไฟสายพายัพกลับมาหยุด อุตลุดเซ็งแซ่แลสลอน
บ้างขึ้นลงส่งของประคองกร ต้องเปียกปอนกลัวกันไม่ทันรถ
พวกเราขึ้นรถใหม่สายสั้นหน่อย พอเรียบร้อยพวกอื่นขึ้นกันหมด
รถล่องลงแลหลามช่างงามงด สายเราบทจรหลังแยกทางกัน
ไม่เห็นมีบ้านช่องมองเปล่าเปลี่ยว เหมือนมาเดี่ยวเศร้าในหัวใจฉัน
ดูภูมิพื้นกว้างใหญ่เสียดายครัน เมื่อไรนั่นชาวไทยจะไพบูลย์
ไปที่ใดได้พบคนมีล้นหลาม ล้วนตึกงามคับคั่งดั่งไอศูรย์
เทียมหน้าอย่างต่างภาษาไม่อาดูร จรัสจรูญเจริญเพลิดเพลินทรวง
อันดินแดนของเราว่างเปล่ามาก ทิ้งให้ตากแดดเล่นมิเป็นห่วง
เอาแต่เที่ยวเอาแต่เล่นกันเป็นพวง นอนจนดวงตะวันขึ้นไม่ตื่นตา
เสียประโยชน์หาทรัพย์สำหรับร่าง ไม่เอาอย่างผู้อื่นดื่นภาษา
เขาพากันข้ามทะเลเฮกันมา ขนเงินตราเมืองเราเอาสบาย
บ้างตั้งห้างสร้างตู้ชูสิ่งของ ทั้งเพ็ชร์ทองวางเย้ยเฉลยขาย
เพราะพวกเราไม่กังวลจะจนตาย จะทนอายให้เขาหยามไม่งามตา
เมื่อตัวเธอยากจนทนอายได้ ประเทศไซร้ต้องสมัครกันรักษา
อย่าให้ยากจนได้ขายพักตรา แก่นานาประเทศเขาเราเป็นไทย
เป็นขี้ข้าตัวเองอย่าเกรงเหนื่อย เราป่วยเมื่อยนึกจะพักก็พักได้
ถ้ามีนายใช้ทำกระหน่ำไป หยุดไม่ได้เขาหาเอื้ออาทร
๖๖/ ถึงคลองละมุงมองเห็นคลองน้อย ไร่นาจ้อยมีแต่ไพรไม้สลอน
เต็งรังลิ่วงิ้วฉง้ำเงื้อมอัมพร พะยอมดอนกระแบกกระเบาเหล่าเพกา
มะกอกมะเกลือระดะต้นตะโก เทพทาโรมะไฟไม้มะค่า
ต้นยางยูงสูงเยี่ยมเทียมเมฆา กิ่งสาขาเชิดยอดทอดระทวย
พระพายพัดกวัดไกววิไลยล้ำ ดังระบำกรีดกรอ่อนสลวย
ทุกก้านใบไหวจังหวะอันจะรวย เหล่าใบชวยเชิดชอยชะม้อยเมียง
ลมพัดหวลป่วนปั่นเลื่อนลั่นเปราะ ไม้ไผ่เสนาะเอนเบียดออกเอียดเสียง
ดุจดนตรีตีรับศัพท์สำเนียง เป็นคู่เคียงสำหรับจับระบำ
อันพรรณะเหล่าไม้ใส่ใจคิด เห็นงามพิศดารกว่าเลขาขำ
งามสิ่งอื่นฝืนฝืดจืดประจำ พ่ายแพ้ธรรมชาติประหลาดงาม
งามจืดเจียนเปลี่ยนความงามเพริดพริ้ง ผลิกอกิ่งออกใหม่ยอดใบหลาม
พอแก่เก่าเล่าก็เวียนแปลกเปลี่ยนความ แตกใบตามยอดระย้าทั้งตาปี
ฝูงวิหคผกผินลงบินเกาะ ส่งเสียงเพราะวังเวงดังเพลงปี่
กระรอกไต่ไม้ชะแง้กระแตมี หมู่ชะนีเหนี่ยวไม้โหนไปมา
ลิงทะโมนโจนจ้องมองเขม้น บ้างโผนเผ่นเลิกคิ้วทำนิ่วหน้า
เขาว่าคนซนเหมือนลิงจริงวาจา หรือยิ่งกว่าลิงร้ายกี่ก่ายกอง
๖๗/ มาถึงคลองมาปรับใคร่รับรู้ ปรับไหมผู้ใดเล่าได้ข้าวของ
เพียงแต่มาถ้าจะปรับไม่รับรอง ให้อยู่คลองปรับหาไม่ว่าไร
ตำบลนี้มีวัดขนาดย่อม หมู่บ้านหย่อมน้อยโขไม่โตใหญ่
สวนป่าไม้เบ็ญพรรณ์ทั่วกันไป ให้เปลี่ยวใจเปลี่ยวตานั่งชาเย็น
อากาศคลุ้มอุ้มเมฆเป็นหมอกมืด ยิ่งชื้นชืดหนาวใจใครจะเห็น
วายุจัดพัดไม้ไหวกระเด็น ดังสนั่นลั่นเช่นป่าทะลาย
พอฝนซาฟ้าคะนองก้องกัมปนาท สุนีบาตตกที่ไหนอกใจหาย
รถวิ่งแหวกกลางฝนจนฝนคลาย ค่อยสบายหายกลัวนั่งตัวตรง
๖๘/ ถึงคลองยางต้นยางสล้างล้ำ ล้วนหลายกำครื้นในไพรระหง
กล้วยไม้เหมาะเกาะก่อเป็นกอกง ออกดอกส่งกลิ่นฟุ้งจรุงใจ
เอื้องคำช้อยช่อช่วงดังพวงทอง ช้างเผือกผ่องขาวลออช่อไสว
สามปอยตระการบานฟ้อช่อวิไลย อีกดอกอัยเรศสะพรั่งช่อดังงา
ทั้งฟ้ามุ่ยเอื้องแซะแหละตีนเต่า เอื้องแมลงเม่าเอื้องดาวช้างน้าวหา
สายวิสูตร์ช่อม่วงพวงโมรา ย้อยระย้าน่าชมภิรมย์ทรวง
๖๙/ ถึงสวรรคโลกเรื่องเมืองมนุษย์ เป็นสิ้นสุดทางไปรถไฟหลวง
จะขึ้นต่อรถยนต์คนทั้งปวง เขาทักท้วงว่าทางอย่างกันดาร
เมื่อคืนนี้ฝนตกเสียโชกชุ่ม ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อข้อโดยสาร
จะไปสุโขทัยไม่ได้การ เพียงบางตาลถ้าจะไปพอได้ดี
ต้องเปลี่ยนทางจ้างเรือเป็นเหลือคาด หกสิบบาทจนจิตจะคิดหนี
ต้องรีบไปให้ทันกฎกำหนดมี ถ่ายของที่รถส่งลงนาวา
ฝนพรูพร่ำจำใจไปไม่รอด เรือต้องจอดค้างคืนสุดฝืนท่า
ช่วงเคราะห์ร้ายย้ายโยกโชคชะตา สุริยาพลบค่ำเดือนรำไร
นอนอนาถขาดสุขลุกขึ้นนั่ง ท่านชั่งตั้งนามสวรรคโลกชั้นไหน
ภูมิประเทศเขตขอบดูรอบไป ไม่สมให้นามสวรรค์เช่นนั้นเลย
กันดารน้ำตามตลิ่งสูงจริงเจียว ลำน้ำเชี่ยวแดงขุ่นแม่คุณเอ๋ย
จะอาบกินอย่างใดเล่าหรือเขาเคย ก็เสบยไปตามด้วยความชิน
อันนิสัยไทยเราเป็นเหล่ามาก ถึงจนยากอย่างใดไม่ไกลถิ่น
ไม่เหมือนเจ๊กแขกฝรั่งต่างก็บิน มาหากินเมืองเราจนเขารวย
ขนเงินไปบำรุงเขตประเทศเขา ทั้งพวกเราก็ช่วยยุ่งผดุงด้วย
เปลือกหรือแก่นซื้อส่งเฝ้างงงวย จะระหวยละห้อยน้อยใจใคร
อันเมืองนี้มีตำนานโบราณกล่าว สร้างกว้างยาวเรียบร้อยหาน้อยไม่
กว้างห้าสิบยาวร้อยเส้นเช่นของไทย กำแพงใหญ่ล้อมรอบเป็นขอบคัน
กว้างสองวาสูงสี่วาศิลาแลง ฤๅษีแจ้งกลับมาจากฟากสวรรค์
จึงเอานามตามชั้นฟ้ามาประพันธ์ ชื่อสวรรคโลกเลิศประเสริฐนาม
พระยาธรรมราชาเลออาศน์รัตน์ เป็นพระกษัตริย์เฟื่องฟุ้งทุกกรุงขาม
ถวัลย์รัชสืบมาพยายาม นับได้สามกษัตริย์ขัตติยา
ภายหลังพระอรุณราชกุมาร ชนขนานนามพระร่วงโชติช่วงหล้า
ได้ปกป้องครองเมืองเรืองเดชา สร้างมหาถาวรขจรนาม
ได้ธิดากรุงจีนเป็นชิ้นเอก มาภิเษกเป็นมเหษีองค์ที่สาม
ทั้งได้ลำเภตราสง่างาม บริวารตามเข้ามารวมห้าร้อย
ทำถ้วยชากาน้ำชามกระเบื้อง ขายทั่วเมืองซื้อไว้ได้ใช้สอย
เหตุใดไทยไม่จำทำตามรอย ซื้อเขาน้อยไปเมื่อไรชาติไทยเรา
ทำไม่เป็นไม่อุตส่าห์น่าบัดสี เกิดมามีเท้ามือนั้นหรือเปล่า
เครื่องนุ่งห่มงมงายฟูมฟายเมา ซื้อเขาเอาเสียทุกอย่างไม่สร้างเอง
การทิ้งสิทธิ์คิดให้ดีเถอะพี่น้อง เราจะต้องถูกระดมเขาข่มเหง
ถ้าพวกเรามีสามัคคีมีคนเกรง ควรรีบเร่งรักษาสิทธิ์ทุกกิจการ
พอเช้าตรู่หมู่นกโผนผกร้อง เรียกพวกพ้องออกหาภักษาหาร
ก็ออกเรือลอยลำไปตามธาร ต่างสำราญด้วยอากาศสะอาดดี
หอมสาวหยุดกระดังงาเวลารุ่ง ส่งกลิ่นฟุ้งยิ่งเปรมเกษมศรี
ชื่นอารมณ์ชมจังหวัดฝั่งนัทที ดังคีรีเงื้อมชง้ำตามลำธาร
เห็นเด็ก ๆ บนตลิ่งวิ่งกระโจน ลงน้ำโผนเผ่นผงาดว่ายฉาดฉาน
ตลิ่งสูงหลายวากล้าเอาการ ไม่สะท้านสะทกกลัวตกเลย
เขาย่อมว่าไม้ป่าไม้กระถาง ก็จริงอย่างเขาว่าเจ้าข้าเอ๋ย
ลูกคนมีออกจากท้องประคองเคย คนจนเฉยไม่ต้องประคองกัน
ก็โตใหญ่ได้เหมือนไม่เคลื่อนคลาศ ธรรมชาติเป็นกลางจัดสร้างสรรพ์
กลับแข็งแรงจ้ำม้ำดำเป็นมัน พ่อแม่นั้นอาศัยได้เต็มมือ
ตัวเล็ก ๆ ทำการงานทั้งหลาย เลี้ยงวัวควายขับนกเสียงโหวกหวือ
หาผักปลากังวลมาปรนปรือ ไม่คร้านดื้อดีจริงทั้งหญิงชาย
เจ๊กแจวเรือตามน้ำไม่ลำบาก ช่างพูดมากหัวร่อกันคอหงาย
เล่าถึงลูกถึงเมียว่าเสียดาย เขาหนีตายไปหมดไม่อดทน
ตัวของเขาอยู่ถิ่นนี้แปดปีกว่า แจวนาวาเสียเพลินเหมือนเดินถนน
ได้เท่าใดหมดก็ช่างไม่กังวล ถึงแสนจนแสนยากไม่หยากตาย
โลกสนุกมากมายทั้งใหญ่กว้าง มีเสือช้างนกปลาพฤกษาหลาย
กลางคืนมีเดือนดาวออกพราวพราย กลางวันสายแสงตะวันประจันตา
สารพัตร์ดี ๆ ก็มีชม เนินพนมด้วยธารขนานหน้า
จึงไม่หยากจะตายวายชีวา มั่งมีว่าลำบากไม่หยากมี
ถ้าทรัพย์มากยากใจดังไฟติด ต้องพูดคิดปกป้องให้ผ่องศรี
เป็นทุกข์ร้อนนอนไม่สบายดี ตัวเขานี้ไม่ต้องการสำราญกาย
ชอบแต่ให้ใจเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นที่มั่นหมาย
ไม่โลภล้นจนใจไม่สบาย มั่งมีตายเอาไปได้เมื่อไรมี
ความเป็นจริงยิ่งกว่าจริงทั้งหญิงชาย เกิดแล้วตายทั่วจังหวัดปัถวี
ย่อมรู้ตัวไม่พ้นทุกคนดี แต่ยากที่จะห้ามความทะยาน
หาได้กำน้อยไปหยากได้กอบ ได้กระสอบมุ่งตะล่อมเท่าพ้อมสาน
ได้เต็มลำเรือรบไม่สบมาน ร้อยโกฏิล้านก็ไม่พอโลภต่อไป
จักรพรรดิ์มีรัตนะเจ็ด ก็มิเสร็จสมมาตรราชมไหย์
ฝั่งมหาสมุทรอันสุดไกล น้ำเท่าใดก็มิพักรู้จักพอ
ถ้าจะพูดกันอีกทีโลกีย์สมบัติ ที่จรัสรุ่งเรืองฟุ้งเฟื่องหนอ
ประดับโลกประโยคยิ่งสิ่งพนอ ผู้โลภก่อสร้างไว้จึงได้งาม
ทิ้งความรู้วิทยาสารพัตร์ เป็นบรรทัดวิริยาฝ่าพงหนาม
ผู้กำเนิดทีหลังยังได้ความ รู้เห็นตามท่านผู้สร้างนำทางมา
มฤดกตกทอดตลอดโลก เป็นชัยโชคอำนาจวาสนา
ได้เป็นทุนหนุนเลิศเกิดปัญญา คิดค้นหาประกอบทำล้วนสำคัญ
ภูเขาใหญ่สูงปราบให้ราบต่ำ พื้นภูมิทำเป็นทะเลเล่นเหหัน
ถมสมุทรขุดบาดาลวิตถารครัน เรือดำดั้นในมหาชลาลัย
เครื่องบินเผ่นผันเร่กลางเวหาส วิทยุอาจต่อสำเนียงเสียงแจ่มใส
ไฟฟ้าวงส่งแสงแข่งอุทัย ใช้แรงไฟทำประโยชน์โชตนา
มนุษย์เรามีฤทธิ์คล้ายวิษณุกรรม ประดิษฐ์ทำของใช้ได้หนักหนา
เครื่องจักรกลพ้นจะพรรณนา ดังเทวานิรมิตไม่ผิดไกล
๗๐/ ถึงน้ำหักหักอะไรได้เสียหนัก แต่หักรักนี้อนาถไม่หวาดไหว
มันแน่นเหนียวเหนี่ยวรัดดวงหทัย หักเท่าไรก็ไม่หักหนักอุรา
หนักอะไรก็ไม่หนักเท่ารักหลง เดินบุกพงหลงทางในกลางป่า
ยังประสพพบที่มีมรรคา หลงรักหาพบทางที่สร่างใจ
เพราะงวยงงหลงระเริงในเชิงรัก ใครจะชัดฉุดคลาศไม่หวาดไหว
จนกระทั่งเปื่อยเน่าเป็นเถ้าไป น่ากลัวภัยโมหะจิตระอิดระอา
๗๑/ ถึงท่ายาวยาวให้บั่นสั้นให้ต่อ นี้เป็นข้อคำบูราญขนานว่า
ทำสิ่งใดให้ตริพิจารณา แม้ปัญหาข้องขัดอึดอัดใจ
ปรึกษาผู้รู้หลักอรรคฐาน จะอาจหาญชี้ทางสว่างไสว
นี้คือสั้นต่อให้ยาวสาวกำไร ยาวให้บั่นนั้นได้แก่ใจเรา
ข้อใดส่อก่อเวรเห็นถนัด จงเร่งรัดตัดเหตุนั้นให้สั้นเข้า
ไม่มีเวรเสียได้สบายเบา ใครว่าเต่าว่างั่งชั่งเป็นไร
๗๒/ ถึงท่าช้างกว้างเตียนดูเลี่ยนโล่ง บ้านเรือนโรงเคหาที่อาศัย
ปลูกกันร่นพ้นฝั่งกลัวพังไป พักเรือใกล้ไปธุระงานประจำ
ตลิ่งสูงจูงกันเกาะหัวเราะร่วน บ้างเซซวนเหนี่ยวไต่ไถลถลำ
กลัวตกกลิ้งนิ่งกรานค่อยคลานคลำ พอล่วงล้ำขึ้นไปได้สบายครัน
หอมระรื่นชื่นใจดอกไม้ป่า โยทกาสุกรมนมสวรรค์
ลำดวนดงส่งกลิ่นลูกอินจันทน์ มลิวัลย์กาหลงและชงโค
พวงพยอมหอมกรุ่นพิกุลแก้ว ทั้งนมแมวจันกระพ้อช่อยี่โถ
ต่างช่วยกันเก็บพอได้ห่อโต เห็นวัดโอ้อนิจจาชื่อป่าแดง
ดูกุฎีโบสถศาลาล้วนฝาไม้ เก่าแก่ใช้ปิดกั้นกันด้วยแผง
ชาวบ้านจนวัดก็งอก่อแรง เป็นการแสดงพื้นถิ่นได้ยินยล
ถ้าวัดวาอารามงามสง่า ชาวประชาตำบลดีมั่งมีผล
บำรุงวัดบำรุงสงฆ์ให้คงทน ได้สวดมนต์ภาวนารักษาใจ
ต่างลงเรือพร้อมหน้านาวาเคลื่อน ออกลอยเลื่อนตามลำแม่น้ำไหล
๗๓/ มาถึงบางกระจงเลยตรงไป ดูสิ่งใดเหมือนแต่แรกไม่แปลกตา
๗๔/ ถึงท่าถามถามถึงใครได้ทั้งนั้น ส่วนตัวฉันมีแต่ทุกข์ไม่สุขา
นั่งจำเจ่าเหงาใจในนาวา ไม่เมตตาถามบ้างเลยชั่งเฉยเชือน
ขาดอาลัยไมตรีเห็นดีหรือ เสียชื่อว่าถามความไม่เหมือน
ฉันอุตส่าห์มาทางไกลใคร่เยี่ยมเยือน ช่างบิดเบือนเสียได้เจียวใจคอ
ท่านี้เดิมเรียกว่าท่าเกษม เป็นที่เปรมปลื้มใจผู้ใดหนอ
ดูภูมิฐานการณ์สง่าก็น่าพอ สมนามข้อเป็นสุขสนุกสบาย
ที่แหลมยื่นพื้นน้ำไม่เชี่ยวปราด มีชายหาดยาวยืดเป็นพืดสาย
ริมตลิ่งสูงเขินล้วนเนินทราย สีเหลืองคล้ายแกแลแผ่ไปไกล
เห็นเด็ก ๆ เล็กโตสองโหลกว่า วิ่งไขว่คว้าปล้ำกันสนั่นไหว
เอาฟ่อนหญ้ามัดเป็นพวงเล่นช่วงไชย บ้างเอาเถิดเตลิดไล่จับได้กัน
บ้างพูนทรายขวางทำเป็นกำแพง กระโดดแข่งข้ามพ้นเป็นคนกลั่น
ข้ามไม่พ้นชนทรายทลายครัน ถูกฮาลั่นปรับให้ทำใหม่ดี
บ้างวิ่งแซงแข่งกันคั่นระยะ ใครชะนะโห่ร้องก้องกันมี่
ผู้แพ้ขอประวิงวิ่งอีกที สามัคคีเล่นหยอกออกกำลัง
เล่นแต่ของธรรมชาติประสาทให้ ไม่ต้องไปซื้อประคองของฝรั่ง
ลูกอะไรไม้อะไรให้รุงรัง เสียเงินทั้งเรื่องไม่เสียดายเลย
๗๕/ ถึงนาตองใบตองเป็นของดี ทำบายศรีเจ็ดชั้นเชิญขวัญเอย
ขวัญจงมาอยู่กับร่างเหมือนอย่างเคย อย่าเชือนเฉยมิ่งขวัญจงพลันมา
อยู่ที่ใดไปที่อื่นหมื่นพิภพ ขวัญอย่าหลบอื่นฉันนะขวัญจ๋า
ขวัญจงรวมร่วมศรีร่วมชีวา อย่าได้คลาคลาดฉันนะขวัญใจ
๗๖/ ถึงหนองโว้งโล่งว่างอ้างว้างเหลือ ตัวมาเรือจิตเปลี่ยวเที่ยวไถล
ไปนรกวกสวรรค์ดั้นด้นไป กลับมาในเรือเล่านั่งเฝ้าตรอง
ความเร็วของเจตสิกดังพลิกหัตถ์ รวดเร็วจัดยวดยิ่งสิ่งทั้งผอง
ลัดนิ้วเดียวเที่ยวไปได้เป็นก่ายกอง เป็นสิ่งของประหลาดอัศจรรย์
๗๗/ ถึงวัดเกาะเหมาะดูอยากอยู่บวช จะได้สวดมนต์ห้ามความโศกศัลย์
ปฏิบัติตัดเหตุกิเลสพรรค์ กว่าชีวันจะดับลับโลกา
๗๘/ ถึงหนองแหน ๆ ปิดเสียมิดเม้น แลไม่เห็นน้ำถนัดทั้งมัจฉา
จะแหวกให้ห่างเหชั่วเวลา ก็กลับมารวมปิดชนิดเดิม
รู้ว่าเกิดมาแน่แก่เจ็บตาย แต่ไม่วายทะเยอคิดเห่อเหิม
เพราะตัณหาอุปาทานเจือจานเติม จึงเคลิบเคลิ้มเห็นทุกข์เป็นสุขไป
๗๙/ ถึงคลองตาลเห็นร้านตลาดตั้ง ปลูกหันหลังลงท่าชลาไหล
แวะนาวาพากันขึ้นทันใด เห็นกว้างใหญ่ราบรื่นครึกครื้นครัน
มีถนนหลายสายซื้อขายของ เรียงทั้งสองข้างถนนคนมหันต์
มีรถรับส่งที่ทุกวี่วัน สี่ห้าคันรถยนต์วิ่งวนเวียน
ไปสวรรคโลกก็ไปได้ สุโขทัยธานีที่เสถียร
ถนนรถบดปราบเสียราบเตียน เดินกันเจียนเมื่อยตรงกลับลงเรือ
แล้วเคลื่อนคล้อยลอยลำตามน้ำลิ่ว พระพายฉิวชื่นในฤทัยเหลือ
แสงแดดไม่ร้อนรุมดูคลุมเคลือ เหมือนเกื้อกูลทำให้สำราญ
๘๐/ มาถึงนามอญเหนือให้เบื่อคิด แต่จนจิตต้องกล่าวตามเค้าสาร
ตำบลนามอญใต้ให้รำคาญ ทำนาหว่านบ้างอุตส่าห์ทำนาดำ
การทำนาของเราเท่าเป็นอยู่ พิเคราะห์ดูช่างลำบากถลากถลำ
ขอเชิญเทพารักษ์ช่วยชักนำ การกระทำให้ง่ายสบายเบา
๘๑/ ถึงวังทองมองหาทั้งขวาซ้าย แต่เห็นทรายไม่เห็นทองยิ่งหมองเศร้า
ถ้าได้ทองสักสองลำสำเภา ตัวของเราก็จะสร้างแต่ทางบุญ
จะสร้างมหาวิทยาลัยให้ใหญ่ยิ่ง เด็กชายหญิงอนาถาไม่ว้าวุ่น
ให้เข้าเรียนได้คล่องไม่ต้องทุน จะอุดหนุนดีทำแต่สัมมา
จะซื้อที่ดินแดนสามแสนไร่ ทำป่าให้เตียนสะอาดปราศรกหญ้า
ขุดคลองให้ใช้น้ำลำนาวา ให้เคหาปลูกปักพอพักกาย
ให้เครื่องมือทำกินตามถิ่นที่ พืชพันธ์ที่ใช้ปลูกเพาะตามเหมาะหมาย
ผู้ยากจนจริง ๆ ทั้งหญิงชาย ถ้าฝักใฝ่ทำกินก็ยินดี
แบ่งแจกให้เปล่า ๆ ไม่เอาค่า แต่ขออย่าเอาไปขายยักย้ายหนี
ตั้งโรงเลี้ยงคนพิการทานตาปี สร้างกุฏีมีหลังคาสักห้าร้อย
ให้อาหารการชีวะอุปโภค ไม่ร้อนโรคหากินสิ้นละห้อย
คนแก่ที่อดอยากปากจะงอย ให้คนคอยปฏิบัติไม่ขาดแคลน
สร้างถนนที่กันดารสะพานใหญ่ ให้มาไปทุกพวกสะดวกแสน
ผู้สามารถขาดทุนจะหนุนแทน ตั้งปึกแผ่นขายค้าสมาคม
บำรุงชาติศาสนามหากษัตริย์ ให้จรัสเจริญเดชวิเศษถม
ไม่มีทองหมองไหม้ฤทัยตรม คิดมิสมปรารถนายิ่งอาวรณ์
๘๒/ ถึงคลองเขนงพราหมณ์ทำรำเขนง แต่ก่อนเพรงตรงนี้หรือชื่อนุสรณ์
๘๓/ ถึงทับผึ้ง ๆ ช่างทำรังนอน กินเกษรมาลีชูชีวัน
สัตว์น้อย ๆ อย่างอุตส่าห์หาอาหาร รู้สร้างบ้านอยู่ปรีเปรมเกษมสันต์
มนุษยเราเจ้าปัญญาสารพัน ควรหรือนั่นไม่อุตส่าห์พยายาม
สร้างบ้านช่องผองทรัพย์สำหรับกาย ให้พ้นอายแมลงตั้งทำรังหยาม
การขี้เกียจเหยียดตนเป็นคนทราม จะไร้ความสุขสวัสดิ์วัฒนา
การขี้เกียจคอยเบียดเบียนเขากิน เป็นคนสิ้นความอายน่าขายหน้า
ดูอย่างหอยปูเต่าเหล่ากุ้งปลา ยังรู้หาเลี้ยงกายได้ใหญ่โต
เกิดมาเป็นมนุษย์วิสุทธิ์ชาติ ไม่สามารถเลี้ยงกายอายสุดโหล่
ทำกะป้อกะแป้แน่ต้องโซ มิได้โงหัวพ้นความจนเลย
บ้างคอยรับมฤดกตกตะครุบ คอยแต่ชุบมือเปิบเฉิบ ๆ เฉย
ไม่รู้จักทำกินจนชินเคย เขาจะเอ่ยหยามหมิ่นกล่าวนินทา
ว่าดีแต่ผู้อื่นเขายื่นให้ ถ้าหาไม่ก็ต้องอดหมดปัญหา
เอกลาภมิใช่ใช้ปัญญา ไม่บรรเจิดเชิดหน้าเหมือนหาได้เอง
เกิดเป็นคนถ้าอุตส่าห์เต็มสามารถ มิอืดอาดออดอ้อนลงนอนเขลง
ย่อมหาทรัพย์ประดับกายได้ครื้นเครง ควรรีบเร่งเสียแต่ยังกำลังกาย
ยังหนุ่มสาวคราวครั้งกำลังมาก เพียรบั่นบากต้องได้สมอารมณ์หมาย
หาไว้เพื่อเมื่อชราพาสบาย มิต้องอายต้องอดหมดราคา
๘๔/ ถึงหนองนางเต่า ๆ ใหญ่ไข่แล้วกลบ เอาอกลบรอยมิให้ใครกังขา
ความรักลูกปลูกฝังกำบังตา ครั้นแก่กล้าฟักไข่ให้เป็นตัว
หัดให้ดำน้ำหาภักษาหาร ว่ายน้าคลานบนบกไวมิใช่ชั่ว
เมื่อเห็นสัตว์ใหญ่มาใกล้ตัว รีบหดหัวไว้ในหลังระวังตน
การควรกลัว ๆ ไว้ไม่บังอาจ ย่อมแคล้วคลาดผองภัยไม่ไร้ผล
การควรกล้า ๆ ให้ควรล้วนมงคล กลัวกล้าคนรู้จักใช้ได้ผลดี
ที่ควรกลัว ๆ ไว้ไม่หยาบหยาม หมอบให้ราบกราบให้งามตามวิถี
ทำกระด้างกระเดื่องเครื่องราคี ไม่เป็นที่เสน่หาประชาชน
๘๕/ มาถึงเกาะบางเกวียนเวียนแลเลาะ ไม่เห็นเกาะเห็นแต่ทรายให้ฉงน
หรือน้ำเซาะเกาะทะลายตามสายชล เวียนละวนป่วนปั่นพันเป็นเกลียว
นาวาเหเซหมุนเจ๊กวุ่นวาย หัวโทษท้ายคัดฉากแต้ไม่แลเหลียว
ท้ายโทษหัวไม่ทวนเรือจวนเลี้ยว ต่างเสียงเขียวเถียงกันสนั่นดัง
พอเรือตั้งลำได้ไปสะดวก ค่อยหายหนวกหูระคายเจ๊กหายคลั่ง
ไม้ซุงปล่อยลอยน้ำตามลำพัง ออกเก้กังเกะกะระดะไป
ดังกุมภาอาละวาดน่าหวาดเสียว บ้างก็เลี้ยวบ้างก็ขวางทางน้ำไหล
บางต้นแล่นเร็วรี่ดังมีใจ ชนกันไหวหวั่นสะท้อนดังรอนราญ
น้ำกระฉอกเป็นละลอกกระจายฟุ้ง บ้างแล่นพุ่งชนฟาดดังฉาดฉาน
บ้างลอยเรียงเคียงคู่ดังรู้การณ์ บ้างทะยานชนฝั่งดินพังโครม
ทั้งน่ากลัวน่าดูนั่งอยู่เรือ คัดหางเสือหลีกหลบกระทบโถม
ถือถ่อง่ามค้ำผลักเพียงหักโครม ถ้ากระโจมกระแทกเรือแหลกลาญ
ล้วนแต่มีเครื่องหมายหลายเจ้าของ ปล่อยให้ล่องน้ำไปไกลสถาน
พวกรับจ้างถือหวายดังนายพราน โจนทะยานว่ายน้ำร้อยปล้ำซุง
ของใครก็เลือกผูกถูกเจ้าของ ทำแคล่วคล่องว่องไวมิให้ยุ่ง
รวมเป็นแพเรียบร้อยคอยบำรุง ค่าจ้างมุ่งต้นราคาห้าสิบสตางค์
บ้างตีเชือกด้วยหวายใช้สายน้ำ เอาไม้ทำกงจักรสะพักขวาง
เอาต้นหวายผูกลงที่ตรงกลาง จักรก็คว้างหมุนวงตามคงคา
บนแพตั้งหลักจำปาให้ผ่าซีก จักรนั้นฉีกตีเป็นเกลียวเหนียวนักหนา
ครั้นเห็นพอประสงค์ก็ตรงมา ขดไว้ท่าผูกซุงผดุงการ
เมืองไทยเราอุดมเลิศประเสริฐนัก มีไม้สักไม้แก่นแสนวิตถาร
มีข้าวเหลือเกลือหลามตามดินดาน มีอาหารต่าง ๆ อย่างเหลือเฟือ
มีแร่ธาตุต่าง ๆ อย่างวิเศษ ในขอบเขตกรุงไกรทั้งใต้เหนือ
เกิดสำหรับกับบุญมาจุนเจือ จะขายเกื้อกูลนิเวศประเทศไกล
ไทยเรามีน้ำดินเป็นสินทรัพย์ เอนกนับราคาหาสุดไม่
ได้กินอยู่สุขเกษมปลื้มเปรมใจ จงรักษ์ใคร่ถิ่นฐานบ้านเมืองเรา
การรักษาบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ต้องพร้อมนัยสามัคคีดีไม่เขลา
มิเอาเรื่องส่วนตัวมามัวเมา มุ่งแต่เอาให้ชาติจรัสชัชวาลย์
๘๖/ ถึงตำบลบางปลากดรันทดท้อ เมื่อไหร่หนอจะถึงซึ่งสถาน
แต่นั่งบ้างนอนบ้างช่างรำคาญ จึงเขียนสารแก้เหงาบรรเทาใจ
ให้ปรากฏว่ามาชมไม่อมนิ่ง ให้เห็นสิ่งคุณประโยชน์โทษไฉน
หรือดวงจิตคิดเห็นเป็นเช่นใด ขอเทพไททั่วหน้าได้ปรานี
โปรดพิทักษ์รักษาสาราด้วย แม้ข้าม้วยร่างกายตายเป็นผี
แต่ถ้อยคำน้ำจิตคิดอารี ให้อยู่มีพรรษาชั่วฟ้าดิน
๘๗/ ถึงเตว็ด ๆ ที่พิธีตั้ง ไม่ให้หวังเตว็ดวิเศษสิ้น
ให้น้อมจิตคิดบูชาเป็นอาจิณ องค์พระปิ่นปกเกล้าของชาวไทย
๘๘/ ถึงท่าช้าง ๆ เอยเคยลงท่า ช่างงามมารยาทนักน่ารักใคร่
ฝีเท้าเดินเงียบจริงทุกสิ่งใด รูปร่างใหญ่แต่ละม่อมดูพร้อมเพียง
ไม่เหมือนม้าน่าชังเดินปังโปก กิริยาโฮกฮากขรมไม่กลมเกลี้ยง
คนไม่มีจรรยาไม่น่าเคียง ถ้าหลีกเลี่ยงได้เท่าใดได้ยิ่งดี
๘๙/ ถึงเชงเหม็งนามนี้ขึ้นปีใหม่ พวกจีนไปไหว้ศพเคารพผี
ทำทวดปู่บุรพชนทุกคนมี กตเวทีบูชาไว้อาลัย
สถานที่ระลึกก่อตึกฝัง ทั้งกายยังน้ำจิตให้คิดได้
จารึกนามความดีมีอย่างใด บุตรหลานให้เอาอย่างทางตระกูล
ธรรมเนียมเราเผ่าเนื้อเหลือแต่ธาตุ เก็บนานอาจตกเรี่ยหายเสียสูญ
พ่อกับลูกก็ยังหวังเกื้อกูล หลานเหลนพูนเพิ่มมากไม่อยากแล
อัฐิของทวดปู่อยู่ไหนช่าง เห็นมีอย่างนี้มากอยากจะแก้
ยิ่งคิดไปใจคอให้ท้อแท้ นั่งชะแง้ชะเง้อไปใจกระพือ
๙๐/ ถึงบางคลอง ๆ มีที่แหลมคุ้ง เรือเดินมุ่งตรงไปจะได้หรือ
จำต้องเอี้ยวเลี้ยวล่องตามคลองคือ ใครขืนดื้อไปไม่รอดต้องจอดเลย
๙๑/ ถึงบางสงฆ์เลยมาถึงท่าพระ สาธุสะพระธรรมร่ำเฉลย
ให้ละโลภโกรธหลงงวยงงเคย จะเสบยวิญญาณ์สาระพัน
อันสุขใดในโลกประโยคสุด ซึ่งมนุษย์เสาะแสวงทุกแห่งนั่น
ก็ประสงค์สุขจิตไม่ผิดกัน แต่เรานั้นโง่เขลาเบาปัญญา
เที่ยวหาสุขบุกไปไกลประเทศ ที่อยู่เขตชิดใกล้สิไม่หา
ความสุขอยู่ที่ใจไม่นำพา เพราะอุปาทานไม่มองเห็นของจริง
สวรรค์มีสิ่งสิ่งล้ำ โลกมนุษย์
อยู่ที่ใจบริสุทธิ์ เท่านั้น
ในจิตหน่ายสมมุติ เหินห่าง
อกที่ทุกข์บีบคั้น ผองพ้นดลเกษม
๙๒/ ถึงบางควาย ๆ ดีมีคุณมาก ช่วยเข็นลากเบาแรงแจ้งทุกสิ่ง
ใช้ไถนากรากกรำทั้งน้ำปลิง ช่างเปรียบหญิงเป็นควายไม่อายคำ
แสนลำบากกรากกรำทำงานบ้าน ไม่สงสารสตรีแล้วมิหนำ
ยังเอาเปรียบกับกระบือแทนชื่อนำ ช่างใจอำมะหิตหนอไม่ขอฟัง
ถ้าหญิงเปรียบชายยิ่งกว่าลิงป่า ของมีค่าก็ไม่รู้ฟังดูมั่ง
มิโกรธใหญ่ไล่ตีเอาชีวัง จะยับยั้งใจนิ่งเหมือนหญิงฤๅ
๙๓/ มาถึงทางด่างแต่ปางไหน ปล่อยไว้ให้ดำด่างทางนั้นหรือ
จนทำให้เรื่องฉาวกล่าวระบือ ถึงตั้งชื่อด่างประจำของตำบล
๙๔/ ถึงปากแควแลละลิ่วล้วนทิวไม้ บ้านเรือนไกลจากฝั่งกลัวพังหล่น
เด็ก ๆ มากนั่งมองสองฝั่งชล สุริยนเบนบ่ายค่อยคลายใจ
ทั้งแม่เพิ่มแม่กี่บ่นขี้เกียจ นั่งเมื่อยเหยียดกายระงับเลยหลับไหล
พ่อเถียวกับน้องก็หลับเป็นตับไป ฉันมิได้ยับยั้งนั่งรำพึง
เจ๊กแจวท้ายบอกว่าเรามาใกล้ ไม่เท่าใดดอกหนานาวาถึง
ลดแจวนั่งถือหางเสือหัวเรืออึง ไฉนจึงหลบเลี่ยงทำเสียงดัง
ยืนแจวแต่มืดมาน่าสงสาร ก็ควรการอยู่นักจะพักนิ่ง
ฉันบอกว่าอย่าอึงทำตึงตัง จะพักมั่งก็ไม่ช้าน้ำพาจร
๙๕/ ถึงวังหิน ๆ ตั้งทำรังไว้ เพื่อจะให้เนาในหล้าอุทาหรณ์
ไม่เห็นวังยังแต่นามก็งามงอน อนุสรณ์ถึงภาพปลาบวิญญาณ์
คนเราตายกายเน่าเปล่าประโยชน์ แต่คุณโทษคงอยู่เป็นคู่หล้า
ไม่เปื่อยเน่าเค้ากรรมประจำตรา ใครเข่นฆ่าลบล้างไม่วางวาย
ปิดสิ่งใดใช้ปิดย่อมมิดเม้น ปิดปากเห็นไม่สมอารมณ์หมาย
จะฆ่าให้สูญแน่ก็แต่กาย จะทำลายเสียงปากนั้นยากจริง
กวีฝากพจมาลย์สาส์นโศลก ไว้แก่โลกสืบสายทั้งชายหญิง
ถึงตัวตายลายลักษณ์ยังพักพิง สนองสิ่งได้อาศัยในโลกา
๙๖/ ถึงบางแก้ว ๆ กองทองทั้งหลาย มีมากมายเก็บไว้ก็ไร้ค่า
เอาไว้พอเป็นสะเบียงเลี้ยงอาตมา เหลือนั้นน่าเกื้อกูลเป็นทุนรอน
แก่คนที่เจตนาสัมมาชีพ ช่วยคีบหนีบมิให้กลายเป็นไม้ขอน
เป็นประโยชน์โชตนาสถาวร การดับร้อนเพื่อนมนุษย์เป็นสุดดี
เวลาบ่ายชายแสงสุริเยศ บรรลุเขตโบราณสถานที่
สุโขทัยจังหวัดราชธานี บ้านเรือนมีคับคั่งสองฝั่งชล
มีแพเรือจอดหลามตามตลิ่ง รถยนต์วิ่งส่งรับอยู่สับสน
สะพานใหญ่ทำข้ามแม่น้ำวน เชื่อมถนนไปได้เป็นหลายทาง
โรงสีไฟไทยเราเป็นเจ้าของ สีข้าวปล่องควันพลุ่งมียุ้งฉาง
แต่อารามคร่ำคร่าน่าระคาง ดูเหินห่างซ่อมแซมจึงแรมโรย
แทบทุกวัดทัศนาน่าสงสาร จนเรือผ่านคลาดคล้อยละห้อยโหย
พอสายัณห์ตะวันร่มมีลมโชย ค่อยรื่นโรยหอมประทินกลิ่นมาลี
รอเรือถามบ้านที่มีประสงค์ เขาบอกตรงแถวเจ้าเมืองอันเรืองศรี
เห็นบ้านเรียงตามถนนใกล้ชลธี จอดเรือที่ร่มท่าชลาลัย
ขนของขึ้นบ้านพักเป็นหลักฐาน อัยการคนเก่าก็เล่าไข
ว่าเตรียมของพร้อมสรรพคอยกลับไป ท่านมาใหม่เรือนมอบจงครอบครอง
อันเรือนหลวงหลังนี้ทำดีโข ไม่เล็กโตพอดีมีสี่ห้อง
มีนอกชานครัวไฟได้ทำนอง ติดต่อห้องน้ำบันไดลงไปดิน
จัดที่ทางเรียบสรรพรับอาหาร เสร็จสำราญอารมณ์สมถวิล
ตียี่สิบต่างนอนพักผ่อนอิน ทรีย์ทั้งสิ้นสมประดีจนตีระฆัง
ฉันแม่เพิ่มแม่กี่กระวีกระวาด จัดแจงอาตม์เที่ยวตามที่ความหวัง
เดินถนนริมแม่น้ำตามลำพัง จนกระทั่งถึงตลาดดาษดา
เขาขายของต่าง ๆ อย่างกรุงเทพฯ ทั้งเครื่องเสพสารพัตรช่างจัดหา
ถูกทุกอย่างหมูไก่ผักไข่ปลา กล้วยน้ำว้าอย่างดีหวีหนึ่งสตางค์
แล้วข้ามเชิงสะพานมาถึงหน้าวัด นามถนัดราชธานีมีลานกว้าง
เข้าโบสถ์น้อยน้อมกายถวายเบ็ญจางค์ พระพุทธางค์ประทานตระการตา
มีเณรใหญ่ไขประตูอยู่พิทักษ์ เห็นมีอักษรห้ามตามเลขา
มิให้ใครนำปองของบุราณ์ จากทะวาร์ออกไปตามใจพาล
พระพุทธที่มีแต่เกษสังเวชหลาย ตั้งเรียงรายหลายขนาดบนอาศน์ฐาน
ภาชนะเนืองนองของเบาราณ ถ้วยโถพานกระปุกกระถางต่างนานา
ที่ไม่ทราบใช้อย่างใดสมัยนั้น รูปพรรณสุดจะแจ้งแถลงว่า
ล้วนดินเผาเค้าปั้นด้วยปัญญา ตามประสาตามสมัยใช้ได้การ
ท่านแต่ก่อนมิใช่โง่โวแต่ปาก ยังทิ้งทรากไว้ประจักษ์เป็นหลักฐาน
แบบหนังสือคำภาษาวิชาการ ให้บุตรหลานเรียนคืบสืบกันมา
ออกจากโบสถ์พิพิธภัณฑ์สถานเก่า รูปพระพุทธเจ้านั่งตั้งอยู่ข้างหน้า
มีนามเรียกหลวงพ่อเป๋าชาวประชา นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร
มีทุกข์ร้อนบนกันให้ท่านช่วย แก้บนด้วยบุหรี่จุดจี้ใส่
พระโอษฐ์พระสูบนั้นเป็นควันไป ว่าลามไหม้หมดมวนเห็นถ้วนกัน
ทั้งทำนายทายชะตาอนาคต ก็ถูกหมดทุกกิจไม่ผิดผัน
ตามเสี่ยงทายในเลขาว่ารำพัน เราชวนกันวันทาลาครรไล
เลียบตามฝั่งชลธีถึงที่บ้าน พระยาวิเชียรสถานบ้านโตใหญ่
เป็นเจ้าของถิ่นที่โรงสีไฟ จึงเข้าไปไต่ถามความสำราญ
ท่านยิ้มย่องผ่องใสเชิญให้นั่ง อยู่พร้อมพรั่งเป็นสุขทั้งลูกหลาน
ฉันหยิบซองพร้องคำเงินบำนาญ บุตรที่บ้านท่านนั้นฝากฉันมา
ต่างปราศรัยไต่ถามตามฉันท์ญาติ แล้วลาคลาศคล้อยออกนอกเคหา
ท่านตามส่งให้ลงยังนาวา ฝีพายพาสู่สำนักที่พักพลัน
รุ่งเวลาพากันขึ้นรถยนตร์ ไปตำบลราชวัง ณ รังสรรค์
ของกษัตริย์โบราณนมนานครัน อันนานนั้นสุโขทัยเคยไพบูลย์
ระยะทางไปไม่น้อยสามร้อยเส้น พอถึงเห็นกว้างใหญ่สมไอศูรย์
กำแพงสามชั้นรอบเป็นขอบมูล ชั้นในจรูญแน่นหนาศิลาแลง
ภายในกว้างทางสังเกตร้อยเศษไร่ ประตูใหญ่สี่ทิศชนิดแฝง
กำแพงกลางบังไว้ให้เคลือบแคลง สร้างระแวงเชิงชั้นกันไพรินทร์
มีป้อมตั้งบังประตูอยู่สี่ทิศ ขอบคูชิดกำแพงออกรอบนอกสิ้น
ปรางค์ปราสาทอาสน์อุดมลงจมดิน แต่ฐานหินยังอยู่พอรู้เค้า
ที่ตระพังสุวรรณนั้นมีวัด กลางสระจัดเกาะดูดังภูเขา
มีเจดีย์องค์ใหญ่ฝ่ายกลางเนาว์ แล้วมีเหล่าองค์ย่อมล้อมแปดองค์
วัดตระพังเงินดูมีคูรอบ วัดตระพังสอก็มีขอบชอบประสงค์
เอาน้ำเป็นสีมาเห็นท่าตรง วัดสระสี่มีสระวงสี่ด้านวัด
วัดมหาธาตุตั้งอยู่กลางเมือง องค์สูงเขื่องมีฐานด้านสะกัด
ถัดขึ้นไปชั้นทักษิณมีหินชัด ลวดลายจัดจำหลักวิจิตรพิสดาร
รูประหงทรงแปลกครั้งแรกเห็น ซ่องซุ้มเด่นมีกระจังอย่างวิตถาร
พุทธรูปไสยาศน์อาศน์โอฬาร มีวิหารสี่ทิศอุกฤษฎ์ลาย
มีฐานทรงองค์พระมหาธาตุ เป็นเชิงชั้นปั้นวาดประหลาดหลาย
ล้วนจำหลักยักเยื้องประเทืองพราย ที่ยอดปลายเป็นทรงองค์เจดีย์
คงบรรจุอุดมบรมธาตุ อันโอภาสจรัสรัศมี
ยอดจึงคงทรงไว้ไม่ราคี ด้วยบารมีบรมธาตุพระศาสดา
มีวิหารใหญ่ยาวเก้าห้องแจ้ง เสาเป็นแลงกรมพร้อมสักอ้อมกว่า
ยังตั้งเคียงเรียงไสวนัยนา แต่หลังคายับย่อยน่าน้อยใจ
พระประธานหน้าตักกว้างหนักหนา ถึงสามวาหนึ่งคืบวัดสืบได้
หล่อด้วยโลหะถ้วนล้วนอำไพ ทั่วทั้งในประเทศสยามตามหล่อมา
มิได้มีองค์ใดใหญ่เท่าทัน ต้องแดดฝนพ้นอันจะรักษา
รัชกาลที่หนึ่งจึงเชิญมา สร้างพระอารามสุทัศน์ ฯ ให้ในพระนคร
นามเรืองรุ่งกรุงเทพรัตนโกสินทร์ คุ้งฟ้าดินขอให้อยู่คู่นุสรณ์
วัดศรีชุมทัศนายิ่งอาวรณ์ หลังคากร่อนฝาผนังซ้ายยังดี
ก่อเป็นโพรงข้างในเดินได้ตลอด ถึงขื่อทอดหลังคาน่าเป็นที่
สำหรับขึ้นตรวจดูหมู่ไพรี ข้างขวามีบันไดลงใต้ดิน
ว่าเดินได้ไปถึงอุตรดิตถ์ แต่เขาปิดทางกั้นกันเสียสิ้น
เกรงลงไปพร่ำเพรื่อเสือจะกิน น่าชมศิลปะวิทยา
พระประธานก่อด้วยแลงยังแข็งกร่าง หน้าตักกว้างคะเนห้าวากว่า
เสารับขื่อหรือก็ก่อศิลา หวังให้ถาวรงามอร่ามเรือง
กระนี้นี่พระเจ้ารามกำแหง จึงแสดงด้วยหนังสือให้ลือเรื่อง
จารึกไว้ในศิลาค่าควรเมือง ให้สืบเนื่องถึงพวกเราทราบเค้าการณ์
อันชาติไทยไพโรจน์อุโฆษศักดิ์ มานานนักหลายพันปีอย่างวิตถาร
สุโขทัยนี้ก็ยังทีหลังกาล ในตำนานชาติเราก่อนเก่ามา
เป็นเอกราชชาติหนึ่งซึ่งประเสริฐ ใช่พึ่งเกิดมีครั้งตั้งหลักฐาน์
สุโขทัยธานีมีสมญา ที่ทิ้งเป็นป่ายังไม่แจ้งหลายแห่งราย
ไม่แต่ธรรมชาติทำให้ชำรุด มนุษย์ขุดล้มคว่ำขะมำหงาย
เที่ยวรื้อค้นคุ้ยเขี่ยเสียกระจาย จึงเสียหายมากนักหนาเป็นน่าเคือง
การจะดูบูราณสถานนี้ ให้ถ้วนถี่กระจ่างแต่บางเรื่อง
เพราะปรักหักพังเสียทั้งเมือง อิฐแลงเขื่อง ๆ หล่นปนกันไป
โบสถ์วิหารปรางค์เจดีย์ล้วนวิจิตร ช่างประดิษฐ์ประดับประดาน่าเลื่อมใส
ไว้ฝีมือให้ชื่อของชาติไทย ศิลาแลงแต่งไว้วิไลกรณ์
ทั้งโบสถ์พราหมณ์ตามทางไสยศาสตร์ ที่เทวราชสถิตมหิศร
ทุกสิ่งสมฐานะพระนคร อนุสรณ์ถึงครั้งเมื่อยังดี
แม้ชำรุดซุดเศร้าเค้ายังอยู่ ให้ล่วงรู้ประวัติเลิศประเสริฐศรี
ย่อมเชิดชูกู้ตำนานโบราณมี ราชธานีของชาติอันอาจองค์
แต่พินิจพิศดูอยู่จนบ่าย แสนเสียดายสิ่งของต้องประสงค์
อนาจจิตคิดไปใจพะวง สุริยงเย็นพายับกลับครรไล
สุโขทัยราชฐานเป็นบ้านเก่า ของพราหมณ์เผ่าพงษ์คือเพศถือไสย
เป็นท่าเรือสำเภามีเสาใบ มาจอดในเขตค้าทั้งตาปี
กษัตริย์เชียงแสนระบิลนามปิ่นเกศ ยกหนีเดชตะเลงห่างมาสร้างที่
ธิดาพราหมณ์งามลักษณ์กัลยณี ภิเษกศรีเฉลิมเป็นเจิมจอม
ทั้งทรงรับนับถือไสยศาสตร์ สำหรับราชพิธีไมตรีถนอม
รูปนเรศว์นารายณ์ให้ประนอม ตั้งเสาซ้อมโล้ชิงช้าแรกนาดี
แจกพืชพันธุ์ธัญญาประชาราษฎร์ เลือกนางนาฏจรูญประยูรศรี
แต่ล้วนเหล่าสาวพรหมจารี เข้าพิธีกวนข้าวทิพย์หยิบแจกไป
ประเพณีเหนือเนืองสืบเนื่องมา จนเคลื่อนคลามาสร้างกรุงทางใต้
กรุงเทพมหานครกระฉ่อนไกล รุ่งเรืองใหญ่โตกว่าเก่าร้อยเท่าทวี
ขอเดชามหาชัยพระไตรรัตน์ บำรุงฉัตร์ชาติไทยชาญชัยศรี
ให้ตั้งอยู่คู่ฟ้าธาตุธาตรี ล้วนแต่มีเกษมสุขทุกนิรันดร์
ข้าพเจ้าผู้กรองสนองถ้อย ส้มจีนสร้อยเขื่อนเพ็ชรกั้นเขตขัณฑ์
พระราชทานนามสกุลอุณหะนันท์ พุทธ์สองพันสี่ร้อยนับถอยไป
เจ็ดสิบสามปีมะเมียไม่เสียชาติ เกิดมาคลาศพุทธกาลสมัย
แต่ดวงจิตชิดพระธรรมมีกำไร ขอจงได้ประสบสุขทุกคืนวัน
ไปแห่งใดได้เห็นความงามสนุก ย่อมเจือทุกข์ปนอยู่เป็นคู่ขัน
หนาวต้องผ่อนร้อนต้องทนไม่พ้นกัน ต้องฝืนชั้นอิริยาบถอาการ
เที่ยวชมไปในพิภพให้จบทั่ว สู้บ้านตัวเราไม่ได้หลายสถาน
ความสะดวกสบายทำให้สำราญ ดีกว่าบ้านคนอื่นที่ดื่นตา
เงินคนอื่นหมื่นโกฏิประโยชน์เขา เงินของเราเท่าที่มีย่อมดีกว่า
เพราะอาศัยได้เหมือนเพื่อนชีวา จะปรารถนาใช้ตามความพอใจ
ดังนกน้อยสกนธ์มีขนน้อย ก็บินลอยไปมาเวหาได้
ถ้าขนมากเท่านกเขื่องจะเยื้องไกล หรือนกใหญ่แต่ขนน้อยถอยกำลัง
จะโบกบินไม่คล่องทั้งสองอย่าง ย่อมเป็นทางสอนใจไว้ได้มั่ง
เกิดเป็นคนตนต้องดูรู้กำลัง ของตัวทั้งของผู้อื่นยั่งยืนนาน
แมวลำพองร้องคำรณให้คนเชื่อ ข้าคือเสือฤทธิไกรอันไพศาล
จิ้งจกยกหางแกว่งสำแดงการ ข้าคือท่านกุมภาศักดาเกรียง
มดง่ามว่าข้าคือคชสาร ฝ่ายสุวาณโก่งหางพลางขึ้นเสียง
ข้าคือราชสีหะตะบะเพียง ขวานฟ้าเปรี้ยงสะท้านทั่วกลัวเดชา
พักอยู่สุโขทัยได้สามวัน จึงพากันลาลับกลับเคหา
พร้อมสามคนลงเรือไฟในเวลา สุริยาเรืองเรื่อออกเรือพลัน
มาทางเก่าเล่ามีถี่ถ้วนแล้ว ครั้งเรือแจวตามน้ำเป็นล่ำสัน
คราวนี้กลับเรือไฟเบื่อหน่ายครัน ทวนน้ำรัญทดใจไม่เสบย
ถึงบางตาลขึ้นจากท่ามารถยนตร์ ถึงตำบลสวรรคโลกวิโยคเอ๋ย
ขึ้นรถไฟกลับทางอย่างที่เคย มาลงเลยบ้านดาราคอยท่ารถ
ขึ้นรถไฟสายกลับพระนคร หยุดพักนอนพิษณุโลกโชคตามบท
แม่สองคนบนเหนื่อยเมื่อยระทด เช้าขึ้นรถไฟพามาบ้านเอย

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ