นิราศสุโขทัย
ประพันธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓
โดย
คุณหญิงส้มจีน เขื่อนเพ็ชรเสนา (ส้มจีน อุณหะนันทน์)
----------------------------
นิราศรักหักใจจำไกลบ้าน | |
ไปสุโขทัยเบื้องเมืองโบราณ | ชมสถานแถวทางให้สร่างใจ |
ทั้งประสงค์ส่งพ่อเถียวเกี่ยวเป็นญาติ | ไปรับราชกิจวินิจฉัย |
เป็นอัยการจังหวัดนัดกันไป | พออุทัยไขศรีฉวีเรือง |
ที่ ๒๗ มิถุนาวันคลาคลาศ | พุทธศักราชสองพันต่อกันเนื่อง |
สี่ร้อยเจ็ดสิบสามยามประเทือง | จึงย่างเยื้องยังหมู่ที่บูชา |
จุดธูปเทียนน้อมเศียรกราบพุทธรูป | และจุดธูปที่อัฐิปริปากว่า |
ขอลาไกลไปดูเมืองบูราณ์ | แล้วไคลคลาลงจากตึกรู้สึกงง |
เห็นเด็ก ๆ เลี้ยงมาล้อมหน้าหลัง | ล้วนแต่ตั้งใจงามจะตามส่ง |
คิดห่วงหลังห่วงหน้าพะว้าพะวง | ค่อยดำรงกายออกนอกประตู |
ระทวยอ่อนถอนใจอาลัยเหลียว | เคยไปเที่ยวครั้งใดก็ไปคู่ |
ไปคนเดียวเสียวเจตต์น้ำเนตร์พรู | มิได้ดูสิ่งใดหักใจจร |
๑/ ถึงสถานีใหญ่รถไฟจวน | จะออกล้วนเซ็งแซ่แลสลอน |
เปนหลายสายย้ายพรากจากนคร | เรารีบจรพร้อมเสร็จรวมเจ็ดคน |
นั่งที่สองของใช้ไปรถตู้ | ดูคนผู้ส่งรับกันสับสน |
บ้างอวยชัยให้ล้วนส่วนมงคล | ส่งกันจนรถออกนอกชาลา |
เป็นขบวน ๆ ไม่ป่วนปั่น | แต่ละคันท่วงทีมีสง่า |
ควรภูมิใจไทยเจริญเพลิดเพลินตา | นับเวลายิ่งทวีบริบูรณ์ |
ลอดสะพานกษัตริย์ศึกจารึกยศ | อันปรากฏเกียรติไว้มิให้สูญ |
พระกำจัดไพรินทร์จนสิ้นมูล | ทรงเพิ่มพูนอำนาจของชาติไทย |
เป็นดิเรกเอกราชชาติในโลก | อุปโภคสาระพันทันสมัย |
พระสร้างทำบำรุงเป็นกรุงไกร | สืบมาให้ไปภายหน้าคุ้มฟ้าดิน |
๒/ มาถึงจิตรลัดดาสถานี | มิใช่ที่ชาวประชาอย่าถวิล |
สำหรับพระราชะจอมนรินทร์ | เสด็จลินลาศตรงทรงรถไฟ |
เห็นดุสิตคิดเหมือนได้ไปดุสิต | ชวลิตแลตลอดยอดไสว |
พระที่นั่งดังสถานพิมานไชย | สวยดังไกรลาศสวรรค์อันรุ่งเรือง |
เห็นโบสถ์วัดเบญจมบพิตร | แลวิจิตรสี่มุขแสงสุกเหลือง |
ดังทองทาบปลาบปลั่งมะลังมะเลือง | สีกระเบื้องแลระยับจับนภางค์ |
ฉันน้อมกายถวายอภิวาท | พระชินราชองค์ที่สองจำลองสร้าง |
โปรดพิทักษ์รักษาทุกท่าทาง | ให้สำอางสำเร็จเจตนา |
ข้าพเจ้าเขาทั้งหลายทุกชายหญิง | จงพ้นสิ่งโรคภัยให้ทั่วหน้า |
มีดวงใจใสกระจ่างทางสัมมา | วัฒนาลาภล้ำอร่ามเรือง |
๓/ ถึงสามเสนไม่ได้ความเรื่องสามเสน | ใครประเคนชื่อไว้ไฉนเรื่อง |
เอาพิมเสนแลกเกลือเห็นเหลือเปลือง | ล้วนแต่เครื่องเสียค่าราคาควร |
๔/ ถึงบางซื่อ ๆ ตรงลงว่าโง่ | โอ้พุทโธ่คิดมาก็น่าสรวล |
ที่ตลบแตลงแต่งสำนวน | กลับชมชวนกันว่าอาจฉลาดดี |
คนชนิดไหนนะเรียกฉลาด | ที่จอมปราชญ์ยกย่องว่าผ่องศรี |
ถ้าจะมีใครโผล่โต้วาที | และทั้งมีกรรมการประหารความ |
คงได้ฟังคารมอุดมแปลก | ต่างจะแหวกเอาชัยในสนาม |
ต่างชี้เลศเหตุผลจนให้งาม | ซึ่งจะคร้ามปากกันนั้นไม่มี |
ฉลาดใดไม่เหมือนการชาญฉลาด | รักษาอาตม์ให้ดำรงตรงวิถี |
แห่งสัมมาอาชีวะนั่นแหละดี | มิได้มีอกุศลปนมลทิน |
จึงควรนับว่าเป็นปราชญ์ฉลาดล้ำ | อันบาปกรรมมิให้เข้ากายสิ้น |
ครองชีวิตสุขาเป็นอาจิณ | อยู่ในศีลซื่อสัตย์สวัสดี |
เห็นตึกเตาเผาดินเป็นหินผง | แล้วขายส่งเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี |
ทำสะพานบ้านเรือนเขื่อนกุฎี | แห้งเป็นศิลาแท่งแข็งแรงทน |
บางซื่อนี้โรงมีทหารบก | ปลูกล้อมวกกว้างใหญ่ดั่งไพรสณฑ์ |
มีทหารชาญชัยหลายกองพล | เป็นน่ายลยินดีบุรีเรา |
๕/ ถึงบางเขนเลนมากต้องลากเข็น | เรือติดเลนหรือเช่นเข็นซุงเสา |
ก็พอจะเข็นได้สบายเบา | แต่ว่าเอาความรักนี้หนักครัน |
ลงติดตรังฝังใจเข็นไม่ออก | ยิ่งกว่าตอกด้วยตะปูคิดดูขัน |
บางทีถึงร่างกายวายชีวัน | เพราะรักนั้นมิได้สมอารมณ์ปอง |
สมรักแล้วแคล้วคลาดนิราศร้าง | นี่อีกอย่างก็ระทมอกตรมหนอง |
เป็นโรคร้ายหายยากมากทำนอง | ยิ่งตรอง ๆ เรื่องรักชักรำคาญ |
๖/ ถึงหลักสี่มีนาธัญญาไสว | ขอขอบใจชาวนามหาศาล |
สู้เหนื่อยยากตรากตรำกระทำการ | ไถคราดหว่านเก็บเกี่ยวด้วยเรี่ยวแรง |
การกินอยู่ดูทุเรศสมเพชเหลือ | กะปิเกลือปลาร้าน่าแสยง |
นอนโรงจากฟากปูสู้ตะแคง | โคลนตมแห้งเกรอะกรังเขายังทน |
เราลำบากยากใจอะไรหน่อย | บ่นตะบอยกันวันตั้งพันหน |
มีที่อยู่ดังวิมานสำราญตน | กินดังปนเพ็ชร์ทองยังร้องคราง |
เอาแต่สุขส่วนตัวทั่วทุกผอง | ขอเชิญมองดูคั่นคนชั้นล่าง |
ตรองสักนิดคิดสักหน่อยอย่าปล่อยวาง | จะเห็นทางเพื่อนมนุษย์สดุดใจ |
อันหลักสี่นี้นามยังงามอยู่ | หลักหนึ่งสองสามไม่รู้ไปอยู่ไหน |
รัชกาลที่สี่มีพระทัย | บำรุงไพร่พลเมืองให้เฟื่องฟู |
ให้ขุดคลองแยกจากคลองผดุง | ผ่านท้องทุ่งป่าละเมาะถึงเกาะคู่ |
ตำบลบางปะอินถิ่นควรรู้ | ปักหลักไว้ให้ดูตลอดคลอง |
หลักละ ๕๐ เส้นเป็นหลัก ๆ | ตั้งแต่หนึ่งถึงสำนักหลักที่สอง |
ที่สามที่สี่ห้าหกเจ็ดเขตรอง ๆ | นับเกือบสองพันเส้นสร้างกว้าง ๕ วา |
ราวร้อยเส้นเป็นมีศาลาพัก | ตัวไม้สักมุงกระเบื้องเขื่องอยู่หนา |
เมื่อยังเยาว์เราได้เห็นเด่นนัยตา | แต่เวลานี้ไม่เห็นดังเช่นเคย |
ทรงพระราชทานนามตามนุสรณ์ | ชื่อคลองเปรมประชากรสุนทรเฉลย |
ชื่อตามหลักยักเป็นอื่นไม่คืนเลย | เหลือพิเปรยสี่กับหกก็ตกลง |
อันบูราณสถานที่มีประวัติ | ถ้าเปลี่ยนผลัดชื่อใหม่ย่อมไหลหลง |
ต้อนเรียนใหม่ไถ่ถามเพราะความงง | เอาไว้คงชื่อไม่ได้ไฉนหนา |
๗/ ถึงดอนเมืองเนืองนองกองเครื่องบิน | วิชาศิลปสิ่งนี้ดีหนักหนา |
ชวนกันหัดให้จบทางนพภา | จะไปมาเร็วพลันเท่าทันการณ์ |
มิควรกลัวตกดินสิ้นชีวิต | ความตายคิดไม่ปลาดชาติสังขาร |
ถ้าถึงที่ชีวันอันตรธาน | อยู่กับบ้านมันก็มรณา |
เป็นทหารนักบินควรยินดี | เกิดมามีโชคแก่ชาติศาสนา |
ถ้ามาตรแม้นไพรีมาบีฑา | อาจรักษาปกป้องได้ว่องไว |
แม้จะเสียชีวาตม์อย่างขลาดหลบ | ต้องรุกรบจนศัตรูสู้ไม่ได้ |
ช่วยกันรักษาเอกราชของชาติไทย | ถาวรไว้ในหล้าคุ้งฟ้าดิน |
ให้สมศักดิ์อัครฐานทหารกล้า | ยามเวลาสงบสมอารมณ์ถวิล |
รีบฝึกหัดให้ชำนาญในการบิน | รอบรู้ถิ่นทั่วประเทศเขตของเรา |
รู้ทางหนีทีไล่ย่อมได้เปรียบ | ไหวพริบเฉียบแหลมดีไม่มีเศร้า |
สามัคคีมีไว้ไม่ใจเบา | แม้ภูเขาก็อาจสามารถทำลาย |
ทหารบกทหารเรือและเสือป่า | ย่อมมีหน้าที่เหมือนกันดังมั่นหมาย |
ควรไว้เกียรติศักดิ์หลักผู้ชาย | มิให้อายแก่เขาชาวโลกา |
ดูเขาหรือคือบุคคลที่ต้นคิด | เพียรประดิษฐ์ยานยนตร์ด้นเวหา |
มิได้เกรงตกตายวายชีวา | ทำจนสามารถเสร็จสำเร็จการ |
โลกมนุษย์สุดประเสริฐเกิดชีวิต | นักประดิษฐ์ต่าง ๆ อย่างวิตถาร |
ถ้าช่างคิดประดิษฐ์ทำเครื่องสำราญ | เครื่องประหารชีวิตไม่คิดทำ |
มีเมตตาอารีเหมือนพี่น้อง | ใครขัดข้องช่วยชุบอุปถัมภ์ |
โลกจะแสนสุขประเสริฐเลิศล้ำ | เหมือนหนึ่งสำนักสวรรค์ชั้นอินทรา |
ทางซ้ายมือมีตลาดขนาดใหญ่ | ของกินใช้สารพันน่าหรรษา |
ใกล้ทางรถทางน้ำส่ำนาวา | คลองเปรมประชากรขนานยานรถไฟ |
๘/ ถึงหลักหกจีนยกร่องทำสวน | แต่ผักล้วนแลลิ่วเป็นทิวไสว |
ในท้องร่องปลูกข้าวไม่เปล่าไป | เขาทำได้ประโยชน์คล่องทั้งสองทาง |
การขยันขันข้อแล้วหนอเจ๊ก | งานใหญ่เล็กไม่เลือกคลำทำทุกอย่าง |
ที่สุดขนอุจจาระไม่ระคาง | ได้เงินอย่างเดียวนั้นเป็นชั้นดี |
การหากินถูกอย่างทางสัมมา | ไม่เลวทรามต่ำช้าน่าบัดสี |
การทุจริตมิจฉาชีพราคี | และเป็นที่อับอายขายหน้าตา |
เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม | บ้างตูมแย้มงามเล่ห์ดังเลขา |
สัตตบุศย์ผุดพ้นชลธาร์ | สัตตบันวรรณาน่ายินดี |
สัตตบงกชสดใสวิลัยลักษณ์ | บัวเผื่อนสพักบัวผันกระชั้นสี |
สะพรั่งพร้อมเยียยงจงกลมณี | ให้เปรมปรีดิ์เจริญเพลินกมล |
ดอกไม้น้ำดอกไม้ดินสิ้นทั้งหลาย | ดอกกล้วยไม้กินน้ำค้างกลางเวหน |
ล้วนเป็นเครื่องชูจิตยามพิศยล | กลิ่นระคนยั่วยวนชวนสำราญ |
ความอยากชมดมกลิ่นถวิลหวัง | จึงปลูกฝังกันชุกแทบทุกบ้าน |
ที่ใดมีผกาสุมามาลย์ | ดูสง่าพาบ้านโอฬารงาม |
๙/ คลองรังสิตพิศตรงไม่โค้งคด | มีการทดน้ำมาทำนาหลาม |
มีคลองน้อยซอยสลับนับหนึ่งนาม | ไปจนสามสิบกว่าล้วนนาดี |
มีประตูระวังปิดขังน้ำ | ถ้าเหลือล้ำระบายออกนอกวิถี |
แต่น้ำรักไหลรวมท่วมฤดี | มิรู้ที่จะระบายให้คลายใจ |
๑๐/ มาถึงเชียงรากใหญ่ไฉนหรือ | จึงระบือชื่อเสียงเวียงที่ไหน |
หรือเป็นเพียงตั้งรากแล้วจากไกล | ก็มิได้เห็นทรากของรากเลย |
สถานที่ย่อมมีประวัติการณ์ | จึงเรียกขานตำบลนุสนธิ์เฉลย |
ทั้งบกเรือเหนือใต้ใช้กันเคย | ไปมาเอ่ยชื่อเค้าได้เข้าใจ |
เหมือนความดีความชั่วตัวบุคคล | แม้ร่างกายตายหล่นไปไหน ๆ |
ชื่อยังรู้อยู่แจ้งทุกแห่งไป | ลมน้ำไฟก็มิอาจสามารถทำลาย |
รถข้ามสะพานเหล็กรองก้องกระทบ | ดังตลบวับหวือหูอื้อหาย |
ความเร็วของรถมองตาลาย | มิได้วายอาวรณ์อ่อนอารมณ์ |
๑๑/ มาถึงเชียงรากน้อยยิ่งสร้อยเศร้า | ไฉนเล่าจะทราบเรื่องเบื้องประถม |
เชียงรากคู่อยู่ใกล้ไม่ระทม | เราโศรกซมเพราะคู่ไปอยู่ไกล |
ข้ามสะพานเรียกร้องคลองเชียงราก | เสียงดังมากอีกเหมือนกันสนั่นไหว |
รถหยุดหน้าสถานีค่อยมีใจ | ลืมอาลัยลืมตัวมัวแต่ดู |
เขาขึ้นลงส่งรับกันสับสน | เดินมาชนถูกตัวและหัวหู |
ไม่ถือโทษโกรธทำจำคำครู | เบียดเสียดสู้อดทนปนกันไป |
เชียงรากหรือเชิงลากยากจะคิด | ถูกหรือผิดตามแต่จะแก้ไข |
เขาเล่ายักษ์สถลมารพาลสุดใจ | หวังจะให้พระรถหมดชีวา |
ทำประชวรกวนผัวดังตัวเปรต | สยายเกศกระสับกระส่ายทั้งซ้ายขวา |
เอาข้าวเกรียบเรียบไว้ใต้ไสยา | แล้วครางว่ากระดูกลั่นจะบัลลัย |
ทำฉอ้อนวอนทูลอาดูรดิ้น | ว่าเคยกินผลพฤกษาในป่าใหญ่ |
มะม่วงผู้รู้หาวขาวอำไพ | มะนาวไซร้รู้โห่รสโอชา |
จงโปรดให้พระรถทรงยศเดช | ไปแจ้งเหตุแก่เมรีที่ภูผา |
ได้มากินก็จะสิ้นซึ่งโรคา | ซองสารานี้นำไปให้แก่นาง |
พระราชางวยงงด้วยหลงไหล | ดำรัสใช้โอรสาไปป่ากว้าง |
ฝ่ายพระรถขับม้ามาหลงทาง | จึงพักค้างที่กุฏีพระชีไพร |
เห็นอักษรแก้ขยายชายภูสิต | ในลิขิตว่าผู้ถือหนังสือไข |
ถึงกลางวันกินกลางวันอย่าพรั่นใจ | ถึงกลางคืนกลืนให้มันวายปราณ |
พระฤๅษีสงสารกุมารน้อย | จึงแปลงถ้อยความใหม่ลงในสาร |
ถึงกลางคืนรับกลางคืนให้ชื่นบาน | ถึงกลางวันพลันสมานการไมตรี |
พระรถไปได้นางได้ดวงเนตร | ยาวิเศษหนีลับกลับกรุงศรี |
พระบิตุรงค์ทราบความตามคดี | อสุรีมันแกล้งจำแลงมา |
จึงลงโทษนางนั้นชีวันวาย | ราพณ์ร้ายกลายพักตร์เป็นยักษา |
มีร่างกายใหญ่โตต้องโกลา | ลากใหญ่มาหยุดหน่อยลากน้อยไป |
ต้องตัดกรรอนเช่นกันเป็นชิ้น | โลหิตนองกองดินดังธารไหล |
ที่ตำบลขนกายมารร้ายไซร้ | พื้นผะไทแดงดลจนทุกวัน |
ตรงเนื้อหนาผ่าวิ่นเป็นชิ้นจิ๋ว | เป็นแปดริ้วหิ้วหามตามขยัน |
จึงเรียกแปดริ้วนามไปตามกัน | เท็จจริงนั้นอยู่แก่เขาผู้เล่ามา |
๑๒/ ถึงบางปะอินถิ่นเหมาะเป็นเกาะคู่ | พระราชวังตั้งอยู่ดูสง่า |
แต่ตัวเราว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจาเหมือนเกาะแกล้งเยาะเรา |
มีคำกล่าวเล่าว่าเกาะนี้ | เดิมเป็นที่อาศัยอยู่ของผู้เฒ่า |
มีบุตรหลานหลายกระท่อมล้วนย่อมเยาว์ | ปลูกน้ำเต้าฟักแฟงไว้แกงกิน |
ที่ราบต่ำทำนาเป็นอาหาร | สุขสำราญตามทำนองของท้องถิ่น |
มีหลานสาวขาวบางชื่อนางอิน | เขาเรียกถิ่นนี้เฉพาะเกาะเลนตม |
ภายหลังมีสุริยวงศ์พระองค์หนึ่ง | เรือมาถึงหัวเกาะจำเพาะล่ม |
เกิดพายุแรงกล้านาวาจม | ต้องระทมว่ายน้ำแทบจำตาย |
ถึงตลิ่งทิ้งองค์ลงกับพื้น | จะเดินยืนไม่ไหวฤทัยหาย |
เห็นแสงไฟกระท่อมน้อยอยู่พรอยพราย | เรียกโวยวายช่วยด้วยจะม้วยมรณ์ |
พวกชายหญิงวิ่งไปเอาไฟส่อง | ช่วยกันประคองมาประทับลงกับหมอน |
ได้สมสองนางอินครั้นทินกร | รุ่งแล้วจรกลับไปไม่ได้มา |
ฝ่ายนางอินมีครรภ์ถ้วนกำหนด | คลอดโอรสงามพักตร์เป็นหนักหนา |
ได้เจ็ดขวบองอาจประหลาดตา | ก็จัดพาไปถวายให้บิตุรงค์ |
ครั้นเติบใหญ่ได้เป็นมหาอำมาตย์ | ในพระราชทินนามตามประสงค์ |
เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ | แล้วได้ดำรงสยามราชประสาททอง |
ทรงสร้างวัดไชยชุมพลมงคลสถาน | ซึ่งพระองค์ท่านสมภพประสพสนอง |
ชาวบ้านเรียกเกาะอออิน ๆ ครอง | บ้างเรียกร้องบางปะอินถิ่นพบกัน |
อันเกาะนี้มีกษัตริย์หลายรัชช์ประทับ | สร้างสำหรับประพาสเปรมเกษมสันต์ |
แล้วเลิกร้างห่างมาช้านานครั้น | พระทรงธรรม์มหาปียายง |
วงศ์จักรีที่ห้าพระปราโมทย์ | พระองค์โปรดสร้างขนาดราชประสงค์ |
พระที่นั่งใหญ่ ๆ เป็นหลายองค์ | ที่งามทรงเลื่องลือฝีมือไทย |
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาศน์ | เป็นปราสาทปลูกสร้างกลางสระใหญ่ |
ที่เกาะนอกออกมหาชลาไหล | สร้างวัดไว้ท้ายเกาะเพราะศรัทธา |
ทรงพระราชทานนามความพิเศษ | วัดนิเวศน์ธรรมประวัติจัดศึกษา |
ให้พระสงฆ์เรียนร่ำพระธรรมมา | บำรุงพุทธศาสนาถาวรเนาว์ |
๑๓/ ถึงบางโพธิ ๆ มีที่ไหนแน่ | เห็นแต่แพปากคลองขายของข้าว |
รถวิ่งข้ามสะพานปร๋อไม่รอเบา | ดูไม่เท่าไม่ทั่วของตัวคลอง |
เลียบใกล้ทางข้างแม่น้ำเจ้าพระยา | เห็นนาวากลไฟแล่นไวว่อง |
จูงเรือข้าวยาวยืดเป็นพืดมอง | บางขึ้นล่องขนสินค้าทั้งมาไป |
ทางน้ำนั้นก็นั่งสบายไม่พายถ่อ | ทางบกก็ไม่ต้องเดินเพลินหรือไม่ |
ถ้าไม่ต้องกินอาหารประการใด | จะสำราญบานใจไปทุกคน |
การเหนื่อยยากกรากกรำทำทั้งสิ้น | เพราะต้องกินเป็นเหตุประเภทผล |
จะนั่งนอนร้อนเร่าเฝ้ากังวล | จนวายชนม์นั่นแหละสิ้นถวิลปอง |
๑๔/ ถึงศรีอยุธยาเวลาสาย | น่าเสียดายกรุงเก่ามาเศร้าหมอง |
เคยรุ่งเรืองจำรัสกษัตริย์ครอง | โอ้มาต้องกลับกลายเป็นไร่นา |
ตำนานเก่าเล่าเรื่องแต่เบื้องก่อน | พระนครไพบูลย์พูนสุขา |
แต่ครั้งหนึ่งไร้กษัตริย์ขัตติยา | พวกเสนาพร้อมเพรียงกันเสี่ยงเรือ |
สุพรรณหงษ์เอกชัยไปตามน้ำ | ประหลาดล้ำเรือคว้างไปทางเหนือ |
ดุจจะมีวิญญาณมาจานเจือ | ไปหยุดเกื้อกูลเผ่าพวกชาวนา |
มีฝูงเด็กเลี้ยงโคบ้างโห่ร้อง | เล่นทำนองยกทัพรับอาสา |
ตั้งหัวหน้าหนึ่งเป็นเจ้าชาวประชา | มีเสนาหมอบก้มประนมกร |
เอาจอมปลวกต่างบัลลังก์นั่งบัญชา | ลงอาชญาผู้ผิดกิจสังหรณ์ |
เอาต้นกกต่างดาบปราบฟันฟอน | ถูกคนนอนมรณาน่าอัศจรรย์ |
พวกอำมาตย์ถ้วนทั่วเชิญหัวหน้า | ลงนาวาประโคมร้องฆ้องกลองสนั่น |
ให้ครองศรีอโยธยาเป็นราชันย์ | ทรงนามนั้นสายน้ำผึ้งซึ่งก็มี |
ว่าพระนามกษัตริย์สายน้ำผึ้ง | ครองกรุงถึงสุโขทัยหาใช่ที่นี่ |
องค์เดียวกันหรือไฉนไม่ทราบดี | แต่ก็มีเรื่องเกี่ยวข้อเดียวกัน |
ว่าไปได้ธิดามหาประเทศ | กรุงจีนเขตห่างไกลไอศวรรย์ |
ได้เงินทองเภตราสารพรรณ | บริวารนั้นตามมาพาราไทย |
๑๕/ ถึงบางกระจะพระเสด็จนิเวศน์ก่อน | แล้วย้อนเสด็จกลับมารับใหม่ |
พระนางสร้อยดอกหมากมิอยากไป | กลั้นพระทัยแดดิ้นจนสิ้นชนม์ |
พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงให้สร้าง | วัดพระนางเชิงไว้ให้กุศล |
ทั้งสร้างวัดกุฎีดาวคราวมงคล | นิรมลมเหษีมีศรัทธา |
ทรงสร้างวัดมเหยงค์ยังคงอยู่ | สังเกตดูตามทางแนวข้างขวา |
พระเจดีย์เรียงรายสุดสายตา | ล้วนมหาเจดีย์มีมากองค์ |
จะเห็นได้ใช่ชั้นสามัญสร้าง | ชำรุดร้างไม่มีใครใจประสงค์ |
แนวแม่น้ำเก่ายังอยู่เป็นคู่ตรง | แต่ในพงศาวดารข้ามฐานมา |
จับเอาครั้งตั้งกรุงเทพ ฯ ทวาราวดี | ลงบัญชีปึกแผ่นไว้แน่นหนา |
ยกเอานามบุรีศรีอยุธยา | รวมเข้ามากล้ำกลืนเป็นพื้นเดียว |
ก็เริดร้างอย่างอนาถขาดชะตา | กลายเป็นป่าอีกไม่มีที่แลเหลียว |
ความจริงคนละเมืองต่างเรื่องเจียว | คิดแล้วเหี่ยวแห้งใจครรไลลา |
โอ้สิ่งใดก็ไม่เที่ยงทุกเยี่ยงอย่าง | จะก่อสร้างปึกแผ่นไว้แน่นหนา |
ถึงหลอมเหล็กหล่อแล่นแผ่นศิลา | ก็ไม่ถาวรเที่ยงจะเถียงใย |
มนุษย์เรากระดูกหนอเนื้อห่อหุ้ม | มันนิ่มนุ่มกระทบกระเทือนความเคลื่อนไหว |
หรือจะอาจทนทานการณ์โลกัย | ย่อมบรรลัยเปื่อยเน่าไม่เนานาน |
ความประพฤติดีและข้อทรลักษณ์ | นั่นแหละจักดำรงคงสัณฐาน |
ไม่เปื่อยพังตั้งมั่นอันตรธาน | ตลอดกาลฟ้าดินจะสิ้นไป |
๑๖/ ถึงบ้านม้า ๆ ที่มีพยศ | ทั้งโกงคดเหลือกำลังจะรั้งไหว |
ขืนขับขี่มีแต่จะแพ้ภัย | ไม่ขอใกล้กายาของม้าโกง |
กลัวม้าร้ายควายขวิดไม่ชิดใกล้ | มันก็ไม่มีเรื่องเครื่องโขมง |
คนทมิฬหินชาติอุบาทว์โครง | หลีกอยู่โพรงเขายังแผ่กระแสร์ลาม |
เกิดเป็นคนยากจะพ้นวิกลเหตุ | ดังอยู่เขตรบระหว่างกลางสนาม |
ล้วนแต่ศึกกึกก้องทำนองความ | มีสงครามกว่าชีวันจะบรรลัย |
๑๗/ นั่งรำพึงถึงระยะมาบพระจันทร์ | ยิ่งร้าวรัญจวนจิตพิศมัย |
ดวงจันทร์แจ่มแรมกลับมืดลับไป | ข้างขึ้นได้กลับมาแจ่มแอร่มตา |
แต่ดวงพักตร์ลักขณาลี้ลาลับ | มิได้กลับมาเหมือนจันทร์ดั้นเวหา |
จะชมอื่นเอี่ยมโอ่ทั่วโลกา | ไม่เหมือนหน้าคนรักประจักษ์ใจ |
๑๘/ ถึงพระแก้วมิประสบพบพระแก้ว | แต่จิตแน่วถึงพระไม่ไถล |
คำนึงถึงคุณพระรัตนตรัย | เป็นฉัตรชัยกั้นเกล้าทุกเช้าเย็น |
๑๙/ มาถึงบ้านพาชีที่ใหญ่กว้าง | รถหลีกทางรางไขว่น่าใคร่เห็น |
มีโรงใหญ่ปลูกขวางคร่อมทางเป็น | กั้นร่มเช่นฝนแดดระแวดระวัง |
รางรถค้อมอ้อมไปทั้งซ้ายขวา | ตัวสถานีวางอยู่กลางตั้ง |
มีตลาดสองฟากดุจฉากประดัง | ใต้ทางยังมีอุโมงค์เป็นโพรงยาว |
เดินได้ตลอดลอดทางกว้างวากว่า | คนไปมาทางนั้นกันอื้อฉาว |
ได้ปลอดภัยรถไขว่กันระนาว | ถ้าเดินก้าวข้ามข้างบนรถชนตาย |
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจกันแซ่ซ้อง | ขนข้าวของขึ้นลงกลัวหลงหาย |
ที่รู้จักทักถามความต้นปลาย | บ้างเรียกฝ่ายไกลเพียงสุ้มเสียงเครือ |
ดูอะไรไม่เห็นยุ่งเท่าพุงมนุษย์ | ช่างแสนสุดยุ่งยากลำบากเหลือ |
พอรุ่งเช้างันงกทั้งบกเรือ | วุ่นจนเหงื่อเป็นน้ำมันทุกวันไป |
บ้างขายค้าหากำไรได้ง่ายคล่อง | แลกเปลี่ยนของสุจริตติดนิสัย |
บ้างทุจริตบิดงอไม่ขอใคร | เห็นถ้าได้เป็นประชิดไม่คิดอาย |
บ้างขี้เกียจทำงานขอทานเขา | บ้างปล้นเอาซึ่งหน้าฆ่าเสียหาย |
บ้างแย่งชิงวิ่งราวฉาวกระจาย | บ้างตะกายตลบแตลงตะแคงสิ้น |
สุดแต่ได้เอาทั้งนั้นไม่หวั่นหวาด | ได้โอกาสแล้วไม่เลือกกะเดือกปลิ้น |
มิได้มีจรรยาเป็นอาจิณ | พอได้กินได้ผดุงให้พุงเต็ม |
การกินอยู่หมู่มนุษย์นี้สุดยาก | ต้องกินมากหลายประการคาวหวานเข้ม |
ทั้งของอ่อนแข็งเคี้ยวรสเปรี้ยวเค็ม | ต้องและเล็มตามคอหอยน้อยเมื่อไร |
จะบรรจุเรือกำปั่นสักพันหมื่น | ให้เต็มพื้นแล้วมิต้องเติมของใหม่ |
บรรจุท้องมนุษย์นั้นทุกวันไป | ย่อมมิได้เต็มตามความยินดี |
๒๐/ ถึงหนองวิวาทอยู่ดีไม่วิวาท | เห็นต่างอาตม์ต่างอยู่ไม่สูสี |
มนุษย์เราถ้าวิวาทขาดไมตรี | ไม่มีดีมีแต่ร้ายทำลายกัน |
ทำอย่างใดจะให้เราเหล่ามนุษย์ | ละสมมุติโทโสไม่โมหันธ์ |
ไม่อิจฉาพยาบาทขาดสัมพันธ์ | ยุติธรรมถ้วนทั่วทุกตัวคน |
แม้ผิดบ้างพลั้งให้อภัยผิด | กระทำจิตมุ่งหมายฝ่ายกุศล |
ไม่เบียนเบียดเสียดส่อก่อกังวล | จะมีผลสุขสานต์สำราญกัน |
๒๑/ ถึงท่าเรือเมื่อสัปบุรุษไปพุทธบาท | ที่ชายหาดเรือเรียงเคียงมหันต์ |
ข้ามสะพานเหล็กรานสะท้านครัน | แล้วลอดขั้นสะพานไม้ครรไลคลา |
เพราะที่ทางจอแจจำแก้ไข | กลัวรถไฟจะทับดับสังขาร์ |
ช่างรอบคอบกอบโกยโปรยเมตตา | โมทนาสิ่งที่ทำดีกระไร |
หน้าสถานีใหญ่รถไฟหยุด | สัปบุรุษเซ็งแซ่แลไสว |
ทั้งทางบกทางนทีที่ใกล้ไกล | พากันไปล้นหลามตามมรรคา |
มีรถไฟสายน้อยคอยรับส่ง | ฝ่าทุ่งดงเลียบเดินริมเนินผา |
ผู้ที่ไปได้กุศลผลบูชา | ทั้งได้ค่าบรรเทิงสำเริงรมย์ |
ไปเที่ยวเขาเข้าถ้ำดูน้ำบ่อ | ได้เคลียคลอรวยรินชื่นกลิ่นฉม |
ซื้อของลาวชาวต้องสู้เที่ยวดูชม | ของบรมบูราณตระการครัน |
๒๒/ ถึงบ้านหมอ ๆ ยาหรือผ่าตัด | ช่วยกำจัดเชื้อโรคโศกกระศัลย์ |
ให้สูญหายได้สนิทไม่ติดพัน | ไม่เห็นชั้นหมอกล้ามารับรอง |
ไม่มีหมอท้อจิตคิดวิตก | โอ้เอ๋ยอกเราเห็นต้องเป็นหนอง |
เพราะโรครักหมักหมมระทมมอง | หมดทางช่องเยียวยารักษาเลย |
๒๓/ ถึงหนองโดน ๆ อีกตั้งกระมังนี่ | โดนแต่ที่ทุกข์ซ้ำอีกกรรมเอ๋ย |
มาจ่อตาว่าวุ่นดังคุ้นเคย | พลางเมินเฉยชมตลาดสะอาดตา |
มีโรงพักตำรวจตรวจผิดจับ | คอยระงับความทุกข์เป็นสุขา |
ตามแผ่นดินราบรื่นล้วนพื้นนา | มีมรรคาไปถึงซึ่งคีรี |
ใกล้มณฑปบริสุทธิ์พุทธบาท | ประชาราษฎร์ครึกครื้นในพื้นที่ |
ความเจริญเดินถึงพนาลี | ก็เพราะมีน้ำใช้ไม่กันดาร |
ที่แห่งใดไร้น้ำสำคัญมาก | เจริญยากขัดสนผลอาหาร |
ถ้ามีห้วยน้ำหนองคลองลำธาร | อาจตั้งบ้านตั้งหน้าการหากิน |
๒๔/ ถึงบ้านกลับคิดใคร่กลับไปบ้าน | เคยสำราญสถิตนิจสิน |
มานั่งเมื่อยเหนื่อยตาดูป่าดิน | กว่าถึงถิ่นกำหนดรันทดใจ |
๒๕/ ถึงป่าหวาย ๆ เหนียวเป็นเกลียวเชือก | มีแอกเหนียวแน่นแค่นไม่ไหว |
ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด | มีเงินไม่มีโชคแก่โลกเอย |
ที่เหลือล้นขนเข้าไว้ไม่จ่ายแจก | ตายจะแบกเอาไปได้ไฉนเอ๋ย |
คิดบางคนจนยากอ้าปากเงย | กินน้ำเคยนุ่งห่มโสมมมอม |
ควรเมตตาการุณเจือจุนบ้าง | พอปะทังร่างกายที่ผ่ายผอม |
เหมือนช่วยคนเรือล่มระทมงอม | กุศลย่อมจะได้หลายประการ |
๒๖/ มาถึงลพบุรีทวีเศร้า | เห็นทรากเก่าปรางค์ปราสาทราชฐาน |
สร้างลำดับนับกษัตริย์หลายรัชกาล | เป็นบูราณนานครันกว่าพันปี |
เดิมพระยากาวัณดิศราช | ให้พราหมณ์อำมาตย์มาสร้างถางถิ่นที่ |
ตั้งปราสาทราชวังทั้งมณฑีร์ | สิบเก้าปีพร้อมพรั่งทั้งอาราม |
เมื่อพุทธศกตกพันเศษสองส่วน | จุลสิบถ้วนระกาภาษาสยาม |
เรียกว่าเมืองละโว้โสภณนาม | พันสี่สิบสามบรรจุธาตุพระศาสดา |
จุลมีสี่สิบสองในปีเถาะ | อันงามเหมาะชูชาติศาสนา |
ได้สองพรรษกษัตริย์ก็มรณา | ครั้นต่อมาพระยาศรีธรรมไตร |
ปีฎกองค์ทรงภิเศกเจ้าไกรสรณ์ | ครองนครละโว้อันโตใหญ่ |
แล้วก็มาพระยาจันทปโชติไซร้ | ต่อมานัยจะสูญสิ้นบุญญา |
ภายหลังจึงพระนารายณ์มหาราช | โปรดประพาสเมืองละโว้อันโอ่อ่า |
ให้สร้างซ่อมพร้อมหมดรจนา | เปลี่ยนนามว่าลพบุรีที่ยิ่งยง |
พระเดชาอำนาจราชประวัติ | สารพัดสมพระราชประสงค์ |
พอประชวรควรหรือหมดเดชยศลง | เป็นน่าสงสารเหตุสังเวชใจ |
ต้องกำจัดตัดอำนาจราชศักดิ์ | ไม่ปกปักษ์ข้าหลวงทั้งปวงได้ |
ทรงสลดรันทดพระหฤทัย | เอาธงชัยพระอรหันต์กันผดุง |
ทรงอุทิศปรางค์ปราสาทราชมณฑีร์ | ให้เป็นที่สีมาเขตวิสุง |
บวชเสวกสามสิบสองปองบำรุง | ได้สมมุ่งทุกคนพ้นไพรี |
ยังเหลือแต่พระปิยะไม่ละราช | ฉลองบาทบงกชบทศรี |
กตัญญูรู้กตเวที | พวกไพรีผลักตกฟกบัลลัย |
เป็นกษัตริย์ขัตติยามหาเดช | ต่างประเทศทั้งหลายไม่กลายใกล้ |
แต่เกิดมีศัตรูอยู่ภายใน | กระทำให้ราชอำนาจถึงขาดลอย |
พิโรธล้ำดำรงองค์พระแสง | จะตัดแล่งกบฎให้ถดถอย |
ไม่สมหวังด้วยกำลังพระองค์น้อย | วาโยพลอยพาท่านสวรรคต |
ปลูกไม้ใหญ่ใกล้เรือนเหมือนเช่นว่า | ทับเคหาพังทะลายกระจายหมด |
ขับขี่ม้าตัวดีมีพยศ | แต่ว่าหมดกำลังจะรั้งได้ |
ลพบุรีมีตำนานหลายท่านสร้าง | แต่ก็ร้างแล้วกลับต่อก่อสร้างใหม่ |
เป็นหลายครั้งหลายคราน่าอาลัย | ขอจงให้มีผู้สร้างอย่าร้างเลย |
ข้างขวามือมีศาลพระกาฬสูง | มีพวกฝูงลิงไพรอาศัยเฉย |
ตามต้นไม้ใหญ่น้อยคอยก้มเงย | คนที่เคยขึ้นไปไหว้พระกาฬ |
ให้ขนมส้มกล้วยรวยกินเสมอ | ถ้าใครเผลอไม่ได้ให้อาหาร |
เข้าแย่งของจากกายหลายประการ | แล้วทะยานเอาไปทิ้งไว้กิ่งไม้ |
ต้องนำกล้วยอ้อยไปวางพลางเรียกหา | เอาคืนมาเถิดเจ้าเราเปลี่ยนให้ |
รู้เหมือนคนเอามาวางอย่างเห็นใจ | รวบของไปกินพลางยื่นคางชู |
บางทีขึ้นรถไฟไปเที่ยวป่า | นั่งหลังคาเต็มหมดไม่หดหู |
คนไล่ขับกลับคนองจ้องตาดู | ตะคอกขู่เลิกคิ้วพริ้วร่างกาย |
พอรถหยุดสถานีที่ประสงค์ | ก็เผ่นลงจากหลังคาเข้าป่าหาย |
เที่ยวเสียสองสามคืนชื่นสบาย | แล้วก็ผายมาคอยท่าสถานี |
พอรถไฟใช้จักรมาพักหยุด | ต่างรีบรุดขึ้นหลังคาไม่ล่าหนี |
กลับยังที่เคยอยู่ลพบุรี | สัตว์ยังมีใจสมัครรักถิ่นครอง |
เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ | รักชาติเถิดบำรุงไว้อย่าให้หมอง |
จงร่วมใจร่วมจิตคิดปรองดอง | อย่าคอยมองผิดกันฉะนั้นเลย |
๒๗/ ถึงตำบลโคกกระเทียมเรียมวิโยค | มาพบโคกกระเทียมซ้ำอีกกรรมเอ๋ย |
หวลสะท้อนร้อนใจไม่สะเบย | จำแลเชยชมอื่นให้คืนคลาย |
เห็นสีดินดาคล้ำดังหมึก | มีไพรพฤกษ์ทัศนาภูผาหลาย |
เป็นแนวทิววิเวกเทียมเมฆพราย | จนสุดสายเนตรไม่หมดบรรพตเวียน |
๒๘/ ถึงหนองเต่าเท้าสั้นกระนั้นเต่า | แข่งเอาเจ้ากระต่ายแพ้พ่ายเลี่ยน |
ถือขายาวก้าวไวไปจวนเจียน | แต่เต่าเพียรเดินไม่หย่อนถึงก่อนพลัน |
ความเพียรดีมีตำราว่าไว้มาก | แต่มิอยากทำตามเป็นความขัน |
ไม่เพียรหาเพียรแต่จ่ายทุกรายวัน | จะป้องกันความจนได้กลใด |
๒๙/ ถึงทรายขาว ๆ หรือดำในน้ำจิต | สุดที่จะพิศให้แจ้งแถลงไข |
ที่ใจดำอำมหิตยิ่งพิษไฟ | ภายนอกใสขาวช่วงหลอกปวงชน |
ที่ภายนอกมัวคล้ำแต่น้ำจิต | ขาวสนิทใจฉ่ำดังน้ำฝน |
เห็นใครมีทุกข์ร้อนช่วยผ่อนปรน | ถ้าดูคนดูแต่ผิวมักพริ้วแพลง |
๓๐/ ถึงบ้านหมี่มี่ก้องมองระเหิด | เขาระเบิดภูผามาเป็นแผง |
เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนแรง | เอาเหล็กแทงพะเนินตอกออกกระจาย |
ที่เป็นก้อนคอนขนขึ้นบนรถ | ทำมีหมดทุกขนาดตามมาตรหมาย |
พ่วงรถไฟยาวยืดไม่ฝืดคลาย | ส่งไปขายตามระยะพระนคร |
เขามีเพียรไม่น้อยขุดต่อยหิน | เราขุดดินง่าย ๆ ไม่สังหรณ์ |
ร้องลำบากยากเหนื่อยเมื่อยบาทกร | จะนั่งนอนคอยถ้าเวลาตาย |
ศิลาแข็งแกร่งกล้าหนาแน่นสุด | เขายังอุตส่าห์ทะยอยงัดต่อยขาย |
หวังได้เงินมาบำรุงผดุงกาย | ให้สบายพูลสวัสดิ์วัฒนา |
๓๑/ ถึงห้วยแก้วเงินหรือคือเหมือนแก้ว | ถ้ามีแล้วก็อาจปรารถนา |
นึกสิ่งใดได้สิ่งนั้นทันวิญญาณ์ | เขาบูชาเงินกันทุกวันมี |
จะเลวทรามต่ำช้าถ้ามีทรัพย์ | เขามักนับว่าเลิศประเสริฐศรี |
ที่ยากจนค่นแค้นถึงแสนดี | เขาไม่ชี้เชิดชมนิยมยิน |
๓๒/ ถึงจันเสนชื่อแฝงจันแดงแน่ | เป็นยาแก้โรคภัยได้ทั้งสิ้น |
กล่าวกันว่าถ้าใครได้ไปกิน | จะมีอินทรียอ้วนเป็นนวลแดง |
ไม่รู้แก่รู้ป่วยสวยเสมอ | หาไม่เจอกันสักคราเป็นน่าแหนง |
ถ้าฉันพบจะผจญขนเต็มแรง | เอามาแบ่งให้ทุกคนได้ฝนกิน |
ไม่เจ็บป่วยสวยแท้ไม่แก่เฒ่า | มนุษยเราก็จะสมอารมณ์ถวิล |
จะมีสุขสำราญปานเมืองอินทร์ | จะแสนยินดีตัวทั่วทุกมวล |
๓๓/ ถึงช่องแคแลบุกค้นทุกช่อง | ไม่เห็นร่องรอยใดฤทัยหวล |
รถสะท้อนร้อนอบนั่งซบซวน | ยิ่งเรรวนใจหวามมาตามทาง |
๓๔/ ถึงตำบลบ้านตาคลีนี้ประหลาด | แผ่นดินดาษแดงทั่วไม่มัวหมาง |
พฤกษาเขียวเกียวกลมสมสำอางค์ | ๓๕/ ถึงห้วยหวายดินก็อย่างแดงต่างกัน |
สีชมภูดูงามอร่ามฉาย | ๓๖/ บ้านหนองโพธิดินก็คล้ายกับที่นั่น |
แต่แดงสีมีคล้ำเป็นสำคัญ | ๓๗/ บ้านหัวงิ้วก็เช่นนั้นช่างขันจริง |
สี่ตำบลนี้กระมังครั้งพระรถ | ฆ่ารากษสตัดแล่งเป็นแง่งขิง |
ว่าเลือดนองพสุธาน่าประวิง | มาเห็นสิ่งสีดินให้กินใจ |
๓๘/ มาถึงบ้านมะกอกยิ่งชอกช้ำ | ดังใครนำกรดมากรอกทุกซอกใส่ |
ปวดระทมโทมนัสดวงหฤทัย | โอ้เวรใดแน่หนอมาทรมาน |
๓๙/ มาถึงบ้านเขาทองมองดูถิ่น | เป็นเนินดินเหลืองแดงแข่งขนาน |
รถไฟไปกลางเนินเหินทะยาน | ๔๐/ ถึงสถานอ่างหินดินธรรมดา |
เถาวัลย์วกกกพันวรรณพฤกษ์ | เป็นเซิงซึกซึ้งไปไกลหนักหนา |
ทั้งสองข้างป่าชัฏริมรัถยา | สกุณาเคียงคลอกันจอแจ |
เหมือนจะทักถามเราเจียวเจ้านก | พลอยวิตกเห็นเรานั่งเศร้าแน่ |
โอปักษียังมีแก่ใจแท้ | มนุษย์แชเชือนชาไม่การุณ |
๔๑/ ถึงหนองปลิง ๆ ทากต้องบากบิด | กลัวเกาะติดทำให้หัวใจขุ่น |
สูบโลหิตสด ๆ ให้หมดทุน | หลงวายวุ่นลงหนองจะต้องคราง |
๔๒/ มาถึงปากน้ำโพโกลาหล | เสียงผู้คนเซ็งแซ่แลสล้าง |
รถหยุดยั้งบ้างลงบ้างตรงทาง | บ้างขนพลางหาบขนปนกันไป |
บ้างขายของร้องถามตามหน้าต่าง | ชูของพลางเชิญดูหมูเป็ดไก่ |
หมี่ก๊วยเตี๋ยวข้าวผัดถนัดใจ | ข้าวต้มใส่ชามช้อนร้อน ๆ ดี |
ทั้งข้าวโภชน์ข้าวหมากอ้อยและน้อยหน่า | เสียงจ๊ะจ๋าซื้อกันสนั่นมี่ |
ได้ลงเดินชมจังหวัดฝั่งนที | เรือแพมีคับคั่งสองฝั่งชล |
เป็นทางร่วมรวมสามแม่น้ำมา | เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาโอฬาร์ผล |
ได้ชื่นชุ่มภูมิพื้นรื่นกมล | ประชาชนขายซื้อกันอื้ออึง |
ตลาดนี้สำคัญมากทางภาคเหนือ | ทั้งบกเรือเป็นแอ่งที่แข็งขึง |
ขนสินค้าคับคั่งเสียงตังตึง | บ้างฉุดดึงไม้ซุงมุ่งทำแพ |
นับพันหมื่นดื่นดาษดูกลาดกลุ้ม | เป็นที่ประชุมซื้อขายกระจายแพร่ |
บ้างค้าซุงเป็นเศรษฐีก็มีแท้ | บ้างค้าแพฝรั่งแขกจนแหลกลาญ |
การค้าขายถ้าไม่มีไหวพริบ | ย่อมจะฉิบหายป่นธนสาร |
ไหวพริบไม่มีตำราและอาจารย์ | จะสอนอ่านเขียนให้ได้วิชา |
ไหวพริบอาจเกิดจากเหตุสังเกตทั่ว | สิ่งดีชั่วเลวงามตามยะถา |
บรรดาได้เห็นรู้ทางหูตา | พิจารณาโดยสุขุมมิสุ่มไป |
จะบังเกิดวิทยาอันสามารถ | ประจำอาตม์เป็นนิจติดนิสัย |
เมื่อได้ยินได้เห็นการเช่นใด | ย่อมมีไหวพริบผับโดยฉับพลัน |
จะขอกล่าวเปรียบเทียบไว้ | ถึงศรีธนนชัยคนขยัน |
เป็นตลกหลวงสำคัญ | ปัจจุบันคิดคล่องไม่ต้องนาน |
ทรงธรรม์พันวษาลงสรง | สนานองค์ในท้องธารละหาน |
จึงมีพระราชโองการ | ธนนชัยเจ้าชาญปรีชา |
ถ้าเองหลอกข้าขึ้นฝั่งได้ | จะตั้งให้ยงยศปรากฏหล้า |
หลอกไม่ได้ไม่ไว้ชีวา | เร่งว่าเร็วพลันจะบรรลัย |
ธนนชัยไม่พรั่นหวั่นไหว | บังคมทูลยอหัตถ์บัดใจ |
ชีวิตอยู่ใต้บาทบงก์ | แม้พระเสด็จขึ้นฝั่งก่อน |
พอจะวอนทูลให้กลับไปสรง | นี่จนเกล้าอยู่เพราะรู้องค์ |
แล้วแต่ทรงกรุณาข้าธุลี | |
กรุงกษัตริย์ตรัสว่าถ้าเช่นนั้น | ข้าจะผันผายขึ้นพื้นที่ |
จึงเสด็จจากฟากวารี | อ้ายอวดดีจะหลอกบอกมา |
ธนนชัยกราบปลกยกมือตั้ง | รับสั่งให้หลอกออกจากท่า |
ก็ลวงองค์ขึ้นฝั่งดังจินดา | พระกลับมารับสั่งดังนี้ |
จะให้ลวงล่อต่อไป | เล่นกับไฟไม่พ้นเป็นผี |
ผู้อื่นจะชอบตอบคดี | พระองค์มีคุณตอบไม่ชอบทาง |
พระรู้สึกเสียกลธนนชัย | โปรดอภัยไม่ทรงอางขนาง |
เสด็จกลับขึ้นคืนปรางค์ | ประทานรางวัลล้นธนนชัย |
ดำรัสชมสมกายชายชาติ | สามารถเอากูแพ้รู้ได้ |
มีไหวพริบดีนี่กระไร | คนใดมีวิชาสารพัน |
แต่ไหวพริบปัจจุบันไม่ทันเพื่อน | มัวคิดฝันเฝือนเหมือนฝัน |
เสียประโยชน์โทษขำสำคัญ | ไม่ทันทีที่เขาผู้เชาว์ไว |
ดูแต่พระมหากษัตริย์ยังตรัสชม | ผู้อุดมปฏิภาณวิตถารใหญ่ |
ชมนิยมชมชอบระบอบนัย | ซึ่งมิใช่เอาคารมเที่ยวข่มกัน |
รถหยุดสิบนาฑีที่กำหนด | แล้วเคลื่อนรถจากตอนนครสวรรค์ |
ตามทางนี้ดีเหมาะเพาะปลูกกัน | กล้วยแลพันธุ์ข้าวโภชน์ประโยชน์รวย |
ที่ขายสดเหลือมากก็ตากแห้ง | ขั้วขายแพงราคาดีกว่ากล้วย |
เขาปลูกกันแลตลอดยอดระทวย | พระพายชวยริ้ว ๆ เหมือนทิวธง |
๔๓/ บ้านทับกฤช ๆ แขกแปลกภาษา | ดูไม่น่าจะคมสมประสงค์ |
ดาบของไทยใสขาวแบนยาวตรง | ใครเห็นทรงยำเยงกลัวเกรงคม |
อันคมกฤชคมดาบย่อมทราบฤทธิ์ | แต่ดวงจิตคมเข้มทั้งเค็มขม |
เห็นสุดรู้อยู่ลับดังจับลม | ไม่นั่งงมก็เหมือนนั่งรู้อย่างใด |
๔๔/ มาถึงคลองปลากดกำสรดเศร้า | ให้ง่วงเหงาแทบกับจะหลับไหล |
ตาไม่หลับแต่กลับเป็นหลับใน | จนรถไฟถึงชุมแสงจึงแจ้งการ |
สถานีผู้คนดูล้นหลาม | บ้างหิ้วหามขึ้นลงส่งเสียงฉาน |
ตลาดยาวยืดตั้งใกล้ฝั่งธาร | แม่น้ำน่านเรือแพเซ็งแซ่จริง |
ทั้งตลาดหันหน้ามาทางรถ | ขายของสดของแห้งสุดแจ้งสิ่ง |
ยุ้งข้าวเจ๊กมากหนักหนามองตาวิง | คอยแย่งชิงซื้อข้าวของชาวไทย |
บรรทุกข้าวมาทางเกวียนเดียรดาษ | เป็นตลาดข้าวแท้แลไสว |
เจ๊กห้ามขนเป็นพัลวันไป | ใส่ยุ้งไว้เต็มรักกักราคา |
คอยฟังว่าราคาดีแล้วพี่เจ๊ก | ก็ขายเขกเต็มแรงไม่แกล้งว่า |
ทั้งพ่อพวกโรงสีก็ปรีดา | แต่ชาวนาเหนื่อยมากกลับยากจน |
เขาจนทรัพย์ขัดสนเพียรขวนขวาย | ก็เหือดหายจนได้กำไรผล |
ฉันจนจิตคิดตั้งหวังกมล | มิได้พ้นจนใจแทบวายปราณ |
๔๕/ ครั้นถึงบ้านวังกร่างค่อยสร่างหลับ | แต่กระสับกระส่ายหลายสถาน |
ให้ปวดเศียรเวียนวิงนิ่งรำคาญ | ไม่อุทานนั่งมองตามช่องแกล |
๔๖/ แต่นิ่งยลถึงตำบลบางมูลนาค | บ้านเรือนมากสะพรั่งฝั่งกระแสร์ |
ตลาดบกทางน้ำส่ำเรือแพ | ฉางข้าวแลวัดวาสถานี |
คนขึ้นลงขายค้ากันหนาแน่น | ตามพื้นแผ่นดินแดงทุกแห่งที่ |
มีเกล็ดกล่าวว่านาคจากวารี | แปลงอินทรีย์เป็นนางสำอางค์ตา |
มาภิรมย์สมพาสชาติมนุษย์ | จนเกิดบุตรผิดอย่างต่างภาษา |
เป็นไข่ฟองใหญ่ประหลาดชาตินาคา | แล้วหายหน้าไม่มีใครที่ได้พบ |
ฝ่ายฟองไข่อยู่ชายกระแสสินธุ์ | กะเทาะบิ่นขยายคลายประกบ |
เป็นเด็กชายงามสะอ้านอาการครบ | ออกนั่งตบน้ำเล่นน่าเอ็นดู |
พากันนำไปถวายเด็กชายประหลาด | ก็องอาจเดินได้ในผลู |
พระราชาปราโมทย์โปรดเชิดชู | เลี้ยงไว้อยู่เป็นโอรสยศไกร |
ภายหลังบุตรภุชชงค์ผู้ทรงเดช | ได้ประเวศพนาพฤกษาไสว |
ลงบังคนบ้างบ่นเหม็นกระไร | ขัดพระทัยสาปต้องเป็นของกลืน |
ซึ่งติว่าเฝื่อนเหม็นจงเห็นหอม | อย่าให้ยอมกินสวัสดิ์จงขัดขืน |
ให้หนามเหนียวเกี่ยวยับดังสับฟืน | จึงได้กลิ่นเนื้ออยากทำปากบอน |
พระวาจาประสิทธิ์สฤษดิ์ผล | เกิดเป็นต้นชูดอกออกสลอน |
คือทุเรียนเดียรดาษกลาดดินดอน | ยังอีกตอนว่านั่งฝั่งคงคา |
ทรงเสวยโภชนามีปลาทอด | พระหัตถ์สอดแกะกระทั้งหมดมังสา |
ยังแต่ก้างพระวางในธารา | ดำรัสปลาว่ายไปในสายชล |
ก้างปลากลายว่ายน้ำบ้างดำผุด | คนสมมุติเรียกนามตามนุสนธิ์ |
ว่าพระร่วง ๆ มาแต่ฟ้าบน | จึงฝูงคนเรียกมูลนาคติดปากมา |
แต่พระราชพงศาวดารเหนือ | ว่ากษัตริย์ชาติเชื้อพราหมณ์นาถา |
นามอภัยคามมุนีศิลาจาริ์ | ไปรักษาองค์ศีลอภิญญาณ |
ที่เขาใหญ่ไกลปราสาทราชนิเวศน์ | นาคแปลงเพศเป็นกัลยามาสมาน |
พระชื่นชมนางนั้นเจ็ดวันวาร | นางกราบกราบทูลลาท้าวอาลัย |
พระราชทานประวิชภูษิตทรง | ไว้ต่างองค์จงคิดพิศมัย |
นางนาคาลาย่างลับร่างไป | ภูวนัยเศร้าสอื้นกลับคืนวัง |
ฝ่ายนาคีมีครรภ์แต่วันจาก | มาคลอดฝากผู้ใดไม่สมหวัง |
พระฤๅษีหนีไปไม่จิรัง | นางทรุดนั่งแหวนผูกกรลูกยา |
ทั้งผ้าทรงวงพันกระสันห่อ | ของ ๆ พ่อให้อยู่ดูต่างหน้า |
แล้ววางไว้ในบรรณศาลา | พรานป่ามาพบกุมารสงสารครัน |
พาไปเลี้ยงเพียงบุตรสุดถนอม | อยู่กระท่อมตามยากสู้บากบั่น |
สองคนกับภรรยาไม่อาธรรม์ | แต่ช่วยกันเลี้ยงมาได้กว่าปี |
มาวันหนึ่งจึงท้าวอภัยราช | สร้างปราสาทเพิ่มเติมเฉลิมศรี |
อำมาตย์จึงเกณฑ์เหล่าชาวบุรี | ทำหน้าที่ถากไม้ไสกระดาน |
ฝ่ายนายช่างตั้งเสาเอาขื่อทอด | แล้วยกยอดปรางค์รวมสวมประสาน |
ติดทวยเทพประณมพรหมประธาน | ครุฑทะยานเหนี่ยวพระยาวาสุกรี |
อันเครื่องบนต่าง ๆ วางสำเร็จ | ทั้งมุขเด็จบุษบกยกขึ้นที่ |
ยังอยู่แต่พื้นล่างทางปัตพี | รีบทวีแรงแต่งทุกแห่งการ |
ฝ่ายพรานป่ามาทำประจำกิจ | เป็นห่วงคิดถึงบุตรสุดสงสาร |
ให้ภรรยาพาเอาเจ้ากุมาร | พักชายชานปราสาทชัยในเวลา |
สุริยงค์ส่งแสงอันแรงร้อน | ต้องเด็กอ่อนเหงื่อหลั่งตามมังสา |
องค์ปราสาทไหวหวั่นเอนหันมา | ให้ฉายาร่มทรงองค์กุมาร |
พระจอมเจ้านครินทร์ปิ่นประเทศ | ได้ยลเหตุอัศจรรย์จึงบรรหาร |
ให้สอบถามได้ความของประทาน | ภูษาสร้านธำมะรงไม่สงกา |
ท้าวปราโมทย์โปรดประกาศราชโอรส | ให้ทรงยศอำนาจวาสนา |
ครั้นต่อไปได้เป็นพระราชา | คนเรียกว่าพระร่วงตามท่วงที |
คนละองค์หรือองค์เดียวกันแน่ | สุดจะแก้ปัญหาว่าคงที่ |
เพราะต่างคนต่างก็ว่าตำราดี | ตามแต่มีความเห็นกันเช่นใด |
๔๗/ ดงตะขบไม่ประสบตะขบต้น | เขาว่าคนขบไม่แตกแปลกหรือไม่ |
ผลมะตูมแข็งนอกออกง่ายใจ | มะกอกในแข็งกระด้างช่างต่างกัน |
เมื่อพิเคราะห์ดูต้นผลไม้ | ช่างกระไรธรรมชาติประสาทสรรค์ |
มีลูกมิได้ผิดชนิดพันธุ์ | เป็นที่มั่นหมายแน่มิแปรปรวน |
จะปลูกฝังหวังผลต้นอะไร | ก็ย่อมได้รับผลไม่พ้นส่วน |
ลูกสิงห์สัตว์จัตุบาทอาจคำนวณ | มีลูกล้วนเหมือนพันธุ์ไม่ผันแปร |
แต่ส่วนลูกมนุษย์สุดมุ่งหมาย | มักกลับกลายกล่นเกลื่อนไม่เหมือนแม่ |
ไม่เหมือนพ่อหนอช่างน่าชังแท้ | ควรหรือแชเชือนไปไกลพืชพันธุ์ |
ที่ลูกดีมีหน้าพาตระกูล | เรืองจรูญดังผ่านพิมานสวรรค์ |
ที่ลูกชั่วตัวมารผลาญฉกรรจ์ | ครอบครัวนั้นก็ต้องตรมหนองบวม |
๔๘/ ถึงตำบลสะพานหินถิ่นสถาน | อันสะพานเหมือนวิชารีบหาสวม |
ใส่กายตนขนควบเร่งรวบรวม | มัวแต่ต้วมเตี้ยมช้าหาไม่ทัน |
รวยวิชาถ้ามีอุปสรรค | วิชาชักจูงตนพ้นอาถรรพ์ |
ข้ามกันดารผ่านขุ่นคุณอนันต์ | ช่วยเลื่อนชั้นถานาลาภาพูน |
๔๙/ มาถึงบ้านคลองลาวกล่าวสำเนียก | ช่างมาเรียกคลองลาวให้เค้าสูญ |
ควรเรียกร้องคลองไทยให้ไพบูลย์ | สืบประยูรเผ่าพงษ์ของวงศ์ไทย |
๕๐/ ถึงหัวดงพงรกปกคลุมเครือ | น่าเกรงเสือจะมาอยู่อาศัย |
เรามานั่งพร้อมหมดบนรถไฟ | สัตว์ร้ายไม่หาญกล้ามาราวี |
แต่มนุษย์สุทธิชาติอนาถหลาย | ควรหรือกลายชาติเชื้อเป็นเสือหมี |
อยู่บ้านเรือนนอนสบายไม่ว่าดี | ต้องหลบหนีกระดอนไปนอนดิน |
หนุนรากไม้ใบหญ้าต่างผ้าหมอน | ต้องซุกซ่อนแอบตัวกลัวหัวบิ่น |
ทั้งอดอยากปากแห้งแย่งเขากิน | มดยุงริ้นกัดตอมจนผอมโซ |
เที่ยวฆ่าปล้นซนทำกรรมอุบาทว์ | ไม่พ้นราชอาชญามาอะโข |
ประพฤติดีมีสัมมากัมมันโต | จะภิญโญดีกว่าเจือเสือเป็นพาล |
การเข้าใจตัวเองว่าเก่งกาจ | ทำอำนาจวางโตอวดโวหาร |
เที่ยวขัดใจขัดคอก่อรำคาญ | ที่เขาคร้านหลีกตัวว่ากลัวตน |
ยิ่งโอหังบังอาจประมาทหมิ่น | ไม่มองดินมองแต่ฟ้าคอยท่าฝน |
ไม่ทำมาหากินปลอกปลิ้นชน | ไหนจะพ้นเวรกรรมนำบันดาล |
๕๑/ บ้านวังกลมสร้างแต่ปางไหน | ก็มิได้แจ้งเค้าสำเนาสาร |
หรือจะเป็นวังวลชลธาร | ไม่ทราบการณ์เลยไม่ใส่ใจจำ |
๕๒/ ถึงพิจิตรคิดคนึงถึงขุนแผน | ชมว่าแสนเป็นเจ้าชู้ดูไม่ขำ |
จากนางพิมไปทัพกลับมาทำ | ให้พิมช้ำใจร้าวเพราะลาวทอง |
เรือมาถึงบันไดไม่ขึ้นบ้าน | ไม่สมานพิมให้คลายเศร้าหมอง |
หล่อนละห้อยคอยท่าน้ำตานอง | ไม่เข้าห้องหอขุนช้างอย่างเห็นใจ |
เพราะความรักขุนแผนแสนสวาท | แม่เกรี้ยวกราดเฆี่ยนป่นสู้ทนได้ |
รู้ผัวกลับวิ่งมารับถึงบันได | ขุนแผนไม่เที่ยงธรรมนำเหตุเอง |
แล้วกลับมาพาหนีสู่พิจิตร | นี่ก็ผิดอีกกรรมทำข่มเหง |
พระไวยรับแม่มาหากริ่งเกรง | กลับใช้เพลงเจ้าชู้อีกไม่หลีกกลัว |
กระทำจนวันทองต้องโทษตาย | ขุนแผนร้ายวันทองจึงต้องชั่ว |
พระพันวษาก็กระไรไปพันพัว | เรื่องส่วนตัวเอาเขาฆ่าน่าราคาญ |
จะฆ่ากันให้บรรลัยทำไมหนา | คนเกิดมาต้องตายเองเพลงสังขาร |
ใครจะอยู่คู่ฟ้าสุธาธาร | ไม่ช้านานเท่าใดในระวาง |
พิจิตรมีเมืองโบราณนัยการกล่าว | ว่าลูกท้าวโคตะบองปกครองสร้าง |
ยังมีทรากอิฐกำแพงพอแจ้งทาง | เมืองวัดร้างหญ้ารกขึ้นปกคลุม |
พิจิตรใหม่ย้ายมาอยู่แม่น้ำน่าน | ภูมิสถานใหญ่กว้างอย่างสุขุม |
มีบึงมากนักหนาข้าวปลาชุม | เพราะน้ำชุ่มชื้นชะกสิการ |
เดิมชื่อเมืองสระหลวงทะบวงเก่า | พื้นที่เล่าใหญ่โตระโหฐาน |
มีบึงใหญ่ดังทะเลคะเนการ | กว้างประมาณเจ็ดพันไร่น่าใคร่ชม |
ปลูกบัวหลวงช่วงโชติประโยชน์หลาย | เก็บเมล็ดขายบรรทุกเกวียนเดียรดาษถม |
เป็นสินค้าหากำไรได้อุดม | ควรนิยมกันปองแต่ของไทย |
เมล็ดบัวกินดีมีกำลัง | ทำได้ทั้งคาวหวานสมานไส้ |
ทำเป็นแป้งแห้งเก็บไปกินไกล | ดัดแปลงได้โอชาสารพัน |
อุตริตริอย่างใดอยากให้บอก | ซื้อของนอกกินกันเล่นไม่เห็นขัน |
ให้เงินทองล่องไหลไปทุกวัน | ค่าน้ำมันเราก็แย่ยังแส่กิน |
การกินอยู่ฟูฟ่องเป็นของง่าย | การหาเงินยากหลายแทบตายสิ้น |
เห็นแต่กินพล่อย ๆ อร่อยลิ้น | มิได้จินตนานัยตรวจไตร่ตรอง |
๕๑/ ถึงท่าฬ่อล่อหลอกกันออกฉาว | ให้นึกหนาวร้อนตัวกลัวสยอง |
กลัวทั้งล่อทั้งชนขนหัวพอง | ขอจงผ่องพ้นล่อจนมรณา |
๕๒/ บ้านกระท่อมคิดดูอยู่กระท่อม | มีกินพร้อมนุ่งห่มพอสมหน้า |
ไม่มีหนี้ไม่มีผู้บีฑา | ก็ดีกว่าอยู่สถานบ้านโต ๆ |
แต่ขัดสนจนทวีเจ้าหนี้แหนบ | เหมือนคับแคบทั้งศัตรูก็ขู่โห่ |
งานสะบักสะบอมเผือดผอมโซ | ต้องโอดโอ้ประดาษอนาถตา |
ไร้วิชาอาหารกันดารกิจ | สิ้นลาภยศหมดมิตรเสน่หา |
ถึงอยู่ตึกเจ็ดชั้นสุวรรณทา | ก็ไม่ผาสุกจิตเหมือนติดกรง |
๕๓/ ถึงแม้เทียบเห็นแต่ป่าไร่นาน้อย | ตะวันคล้อยลับไม้ไพรระหง |
ให้หวิว ๆ รันทดสลดทรง | นั่งบรรจงตัวไปหัวใจลอย |
๕๔/ ถึงบ้านใหม่เขาปองแต่ของใหม่ | ของเก่าไม่รักษาน่าละห้อย |
เห็นเป็นเก่าแก่แล้วยังนั่งตะบอย | ยังไม่ค่อยจะตายช่างร้ายจริง |
อันของใหม่อาศัยเก่าเอากำเนิด | ใช่จะเกิดอุปาติกะระดะสิ่ง |
ย่อมได้นามชลัมพุชยุดพึ่งพิง | ควรหรือชิงชังทำใจลำเอียง |
๕๕/ มาถึงพิษณุโลกประโยคสุด | รถไฟหยุดค้างจังหวัดแออัดเสียง |
ต่างรีบลงส่งของกองรวมเรียง | พ่อเถียวเลี่ยงไปว่าภัตตาคาร |
เช่าสี่ห้องของใช้ไม่ต้องขน | พวกคนยลภัตตามาขนาน |
ขนขึ้นให้ถึงห้องที่ต้องการ | ค่อยสำราญขึ้นสำนักพักราตรี |
มีเวลาพากันขึ้นรถยนตร์ | ถึงตำบลวัดใหญ่ประไพศรี |
นมัสการพระพุทธวิสุทธี | พระนามมีชินราชโอภาสทรง |
ประทับในเรือนเฉลาเนาวรัตน์ | เสวตร์ฉัตรกั้นเชิดระเหิดระหง |
งามประเสริฐประดุจพุทธองค์ | ประทับทรงโปรดสัตว์จรัสกาล |
ฉันน้อมกายถวายเบ็ญจางค์ประดิษฐ์ | พลางอุททิศน้ำใจอันใสสานต์ |
บูชาคุณตรัยรัตน์ชัชวาลย์ | ขอนิพพานจงอย่าแคล้วข้าไป |
ตำนานกล่าวราวเรื่องของเมืองนี้ | พระเจ้าศรีธรรมไตรปีฎกใหญ่ |
เป็นกษัตริย์เชียงแสนแดนไผท | มาสร้างไว้สองฝั่งข้างนที |
ทั้งสร้างวัดปรางค์เจดีย์โบสถ์วิหาร | พระประธานสามองค์ล้วนทรงศรี |
เมื่อพุทธศกตกพันห้าร้อยปี | ท้าวโกสีย์แปลงมาช่วยอำนวยการ |
ปั้นเบ้าหล่อก่อเสริมพระนลาต | ตรีศูลพาดไว้ประจักษ์ศักดาหาญ |
พระชินราชอาจองค์แทนทรงญาณ | ให้ยืนนานชั่วกัลป์พุทธันดร |
แล้วกราบลาองค์พระชนะราช | ยุระยาตร์หวลให้ฤทัยถอน |
ขึ้นที่พักพร้อมหน้าคลายอาวรณ์ | สโมสรรับอาหารสำราญรมย์ |
มีโต๊ะตั้งทั้งบ๋อยคอยปฏิบัติ | สารพัตรตามจะซื้อชื่อขนม |
ตะเกียงแสงจันทร์จ้าเป็นน่าชม | ฝนระดมตกใหญ่ในราตรี |
แขกยามแบกปืนยาวเที่ยวก้าวตรวจ | วางท่าอวดอำนาจดังราชสีห์ |
ตามหน้าห้องช่องทางที่ขวางรี | สองชั้นมีหลายสิบห้องต้องระวัง |
สามชั้นมีสี่ห้องละสองบาท | เตียงสะอาดเอี่ยมดีมีที่นั่ง |
หน้าห้องมีเฉลียงโถงลูกกรงบัง | ห้องน้ำทั้งห้องถ่ายอยู่ฝ่ายบน |
ห้องสองชั้นเป็นพื้นคืนละบาท | ความสะอาดธรรมดาอย่าฉงน |
ให้กุญแจคนละห้องไม่ต้องปน | ฝนตกจนตีหนึ่งจึงได้ซา |
ดึกสงัดรัตติกาล์นิทราตื่น | อยู่ห้องพื้นสูงอย่างกลางเวหา |
วิเวกว่างห่างกระทบสบวิญญาณ์ | ลมอัสสาสะประสาทสะอาดดี |
ดวงจิตดิ่งนิ่งนังดังวิมุตติ์ | เป็นสุขสุดจนกระทั่งเกือบรังษี |
สิ่งสมมุติฉุดเบิกเลิกพิธี | กลับเป็นมีอุปาทานรำคาญเคือง |
คิดอีกทีดีได้ขณะหนึ่ง | ดีกว่าซึ่งหมกหมุ่นจิตขุ่นเหลือง |
ทั้งตาปีมีแต่เหตุกิเลสเนือง | ชีวิตเปลืองเปล่าประโยชน์ล้วนโทษภัย |
เสียงอธึกกึกก้องทุกห้องตื่น | ลงจากพื้นภัตตาที่อาศัย |
ต่างกังวลขนของปองครรไล | ขึ้นรถไฟไปสวรรคโลกทันที |
อากาศหนาวคราววิโยคสุดโศกซ้ำ | ฝนพรูพร่ำชืดชาหมดราศี |
นั่งระทมไม่เป็นสมประฤดี | อันอินทรีย์เหมือนจะแข็งด้วยแรงเย็น |
ไหนจะหนาวห่างอุ่นละมุนอก | ไหนจะหนาวฝนตกฟกเหลือเข็ญ |
ไหนจะหนาววายุดุลำเค็ญ | ฝนกระเซ็นปิดแกลกันแจจรร |
ต่างนั่งจ๋องมองหน้ากันตาแจ๋ว | แต่มองแล้วมองเล่าเฝ้าเหหัน |
ดูสิ่งใดก็ไม่เห็นเหมือนเช่นกัน | ต่างนิ่งอั้นตาขยิบปริบ ๆ ไป |
บ้างโงกหลับหลับตาทีท่าขัน | บ้างเอนหันพิงเก้าอี้กรนฟี้ใหญ่ |
บ้างง่วงหงุบฟุบผงกตื่นตกใจ | เห็นใคร ๆ เขายิ้มยิ่งนิ่มอาย |
บ้างหาวหวอดกอดอกดังนกเจ็บ | นั่งหนาวเหน็บชาพานสะท้านหลาย |
เมื่อคืนนอนไม่หลับระงับกาย | กระสับกระส่ายเพราะแรกแปลกที่นอน |
ในรถไฟขายอาหารทั้งหวานคาว | เกาเหลาข้าวแกงดีมีสลอน |
กินสิ่งใดทำให้ของร้อน ๆ | ไม่อาวรณ์จานหนึ่งสลึงเดียว |
๕๖/ ถึงบ้านตูมฝนซาเปิดหน้าต่าง | ค่อยสว่างหัวใจหมองไหม้เหี่ยว |
คิดประทุมตูมแย้มแฉล้มเรียว | เกษรเสียวชื่นทรวงดวงกมล |
นิจาเอ๋ยเคยชื่นระรื่นกลิ่น | มาสูญสิ้นอ้างว้างอยู่กลางหล |
โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล | ดวงอุบลเบิกบานตระการตา |
๕๗/ ถึงแควน้อยข้ามกระแสแลชม้อย | อันแควน้อยย่อมอาศัยแควใหญ่กล้า |
จึงมีน้ำนำให้ฝ่ายนาวา | ได้ไปมาค้าขายสบายตัว |
ถ้าป่ารกยกทำคลองถนน | จะมีผลกว้างใหญ่มิใช่ชั่ว |
ผู้ขัดสนได้ผงกยกครอบครัว | ไปปลูกถั่วปลูกงาทำนากิน |
มนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์ในปัถวี | เครื่องทิพย์มีมิต้องตรองถวิล |
ไม่วิตกยกหามตามแผ่นดิน | ก็เหลือกินมีเองไม่เกรงกลัว |
มนุษย์เราจำเป็นต้องของนุ่งห่ม | ที่บังลมแดดฝนให้พ้นหัว |
อาหารต้องอิ่มหนำประจำตัว | จะมามัวเกี่ยงหาให้ช้าการ |
เหมือนเรือใหญ่พายเดียวน้ำเชี่ยวปราด | เมื่อใดอาจจะถึงยังห้วงสถาน |
แม้ช่วยพายหลายแรงแข่งทยาน | มิทันนานก็จะถึงซึ่งสบาย |
คอยผิดจับสับฟันกันให้ยุ่ง | เหมือนตบยุงไหนจะศูนย์ประยูรหาย |
หาการงานให้ทำประจำกาย | ที่ลอยชายต้องบังคับให้จับงาน |
ป้องกันให้หายอดเหมือนทดน้ำ | ได้ชื่นฉ่ำอิ่มเอมเกษมสานต์ |
ความหิวโหยโปรยประโยชน์โทษสาธารณ์ | เห็นคชสารเท่ามดหมดความกลัว |
๕๘/ บ้านกรับพวง ๆ กรับตีขับร้อง | แลกข้าวของกินบ้างค่อยยังชั่ว |
ที่โง่โซโออนาถดังชาติวัว | เห็นเพื่อนตัวไปทางไหนก็ไปตาม |
จะเป็นตายร้ายดีก็มิรู้ | สุดแต่กูกินได้แล้วไม่ขาม |
จะตีขับจับขังก็รังความ | อยู่ในนามไทยสนิทน่าคิดดู |
ชาติของเราคนน้อยด้อยพละ | ควรจะสะสมให้มากบากบั่นสู้ |
การทำลายกันเองใช่เพลงครู | ต้องเชิดชูจุนค้ำให้จำเริญ |
๕๙/ ถึงหนองตม ๆ ก็เกิดต่อน้ำ | ละลายทำดินแห้งที่แข็งเขิน |
ให้เหลวไหลไปตามทางน้ำเดิน | บังเอิญไหลไม่พ้นข้นเป็นตม |
ดุจเหล็กแข็งแรงเหล็กรันต้องพลันนิ่ม | ก้อนเกลือจิ้มน้ำกลายหายเค็มขม |
ต้นไม้ใหญ่หักเดาะก็เพราะลม | ลิ้นคนคมร้ายกาจยิ่งสาตรา |
อาวุธอื่นหมื่นแสนแม้นประหาร | คนนับล้านในแผ่นดินสิ้นสังขาร์ |
ให้พร้อมกันอันตรายวายชีวา | ย่อมไม่สามารถทำสำเร็จการ |
แต่ชิวหาอาวุธนี้สุดร้าย | อาจทำลายล้านโกฏิอุโฆษหาร |
ชีวิตมนุษย์ไม่มีที่ประมาณ | อาจล้างผลาญรอบล้อมลงพร้อมกัน |
ลิ้นที่ดีมีประโยชน์ล้างโทษร้าย | คนทั้งหลายสิ้นทุกข์เป็นสุขสันต์ |
ทุกประเทศทุกถิ่นลิ้นสำคัญ | ตัวของฉันกลัวจริงยิ่งสาตรา |
๖๐/ ถึงบ้านบุ่งมุ่งมองยิ่งหมองอก | เห็นป่ารกโอ้อนาถสัญชาติหญ้า |
เที่ยวขึ้นบุกรุกรานการไร่นา | อ่อนระอากันทั่วกลัวศัตรู |
ไม้ที่ดีมีผลต้องขวนขวาย | ส่วนไม้ร้ายมิต้องปลูกดอกลูกหรู |
เหมือนวิชาที่ดีต้องมีครู | ที่ชั่วดูมิต้องนำก็ชำนาญ |
๖๑/ ถึงบ้านโดน ๆ กันสนั่นภพ | ยิ่งปรารภเรื้อรังชาติสังขาร |
อยู่คนเดียวในโลกก็โศกซาน | อยู่รวมกันบันดาลรำคาญเคือง |
นี่ของฉันนั่นแกมาแส่แย่ง | นี่ของข้าอย่ามาแกล้งแสวงเรื่อง |
อยู่ดี ๆ รี่มาชนข้าป่นเปลือง | เจ้ามันเงื่องไม่หลีกข้าว่ากระไร |
ต่างฝ่ายต่างก็ว่าข้าไม่ผิด | ไม่มีจิตปรองดองให้ผ่องใส |
ถ้ารักแล้วดีทั้งนั้นชมกันไป | ชังแล้วไม่มีราคาแกล้งว่าเดา |
ไม่เที่ยงแท้แน่นอนพระสอนสั่ง | ให้ระวังอายะตะนะเขา |
ทั้งระวังอายะตะนะเรา | กระทบเข้าจะถะเกิงเป็นเพลิงกอง |
เวรใดทำกรรมใดสร้างแต่ปางไหน | เป็นปัจจัยแต่งทำให้ช้ำหมอง |
ไม่จดจำสำนักคิดตรึกตรอง | มานั่งมองดินฟ้าระอาอาย |
๖๒/ ถึงพิชัยขอให้ชัยชะนะ | สิ้นราคะโทสะโมหะหลาย |
จงพ้นทุกข์สุขมานสราญกาย | จนวางวายชนม์ชีพถึงนิพพาน |
๖๓/ ถึงไร่อ้อย ๆ ตาลยังหว่านผล | ให้ฝูงชนกินน้ำชื่นฉ่ำหวาน |
มนุษยนี้ดีกว่าอ้อยร้อยประการ | มิให้ทานเงินทองของชอบใจ |
เพราะตระหนี่ถี่ห่างก็ช่างเถอะ | ที่เลอะเทอะปลูกเท็จเก็บเด็ดใส่ |
ปลูกอิจฉากาล่อนต้นบอนใบ | จงถอนให้ทานเตาเผาอัคคี |
๖๔/ ข้ามสะพานแม่น้ำน่าสำราญรื่น | พลางขึ้นยืนเยี่ยมแกลแลวิถี |
ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่สายวารี | หาดทรายมีเรียบราบดังปราบทำ |
เป็นแหลมคุ้งวุ้งเว้าล้วนเหล่าทราย | น่าสบายสนุกทุกฉนำ |
น่าตั้งบ้านเรือนดูอยู่ประจำ | เสียแรงธรรมชาติสร้างสำอางดี |
ที่เปล่าว่างอย่างถูกมิปลูกอยู่ | ที่อุดอู้ยัดเยียดเบียดเสียดสี |
อากาศอับสับสนพนธุลี | ไม่หน่ายหนีอดทนอยู่จนตาย |
๖๕/ ถึงตำบลบ้านดาราสถานี | อันเป็นที่ทางแยกดูแปลกหลาย |
ต้องรีบลงจากรถรันทดกาย | จะขึ้นสายรถสวรรคโลกครรไล |
ต้องกรำฝนวนวิ่งขนสิ่งของ | ลงมากองกางหาวหนาวถึงไส้ |
เห็นร่มกระดาษขายมีค่อยดีใจ | ซื้อมาได้ห้าคันกั้นกายา |
รถเก่าไปลำปางต่างแลเหลียว | หัวใจเสียวหวลให้อาลัยหา |
ผู้รู้จักกันเมื่อนั่งร่วมทางมา | ต่างอำลาแยกทางกันต่างจร |
พอรถไฟสายพายัพกลับมาหยุด | อุตลุดเซ็งแซ่แลสลอน |
บ้างขึ้นลงส่งของประคองกร | ต้องเปียกปอนกลัวกันไม่ทันรถ |
พวกเราขึ้นรถใหม่สายสั้นหน่อย | พอเรียบร้อยพวกอื่นขึ้นกันหมด |
รถล่องลงแลหลามช่างงามงด | สายเราบทจรหลังแยกทางกัน |
ไม่เห็นมีบ้านช่องมองเปล่าเปลี่ยว | เหมือนมาเดี่ยวเศร้าในหัวใจฉัน |
ดูภูมิพื้นกว้างใหญ่เสียดายครัน | เมื่อไรนั่นชาวไทยจะไพบูลย์ |
ไปที่ใดได้พบคนมีล้นหลาม | ล้วนตึกงามคับคั่งดั่งไอศูรย์ |
เทียมหน้าอย่างต่างภาษาไม่อาดูร | จรัสจรูญเจริญเพลิดเพลินทรวง |
อันดินแดนของเราว่างเปล่ามาก | ทิ้งให้ตากแดดเล่นมิเป็นห่วง |
เอาแต่เที่ยวเอาแต่เล่นกันเป็นพวง | นอนจนดวงตะวันขึ้นไม่ตื่นตา |
เสียประโยชน์หาทรัพย์สำหรับร่าง | ไม่เอาอย่างผู้อื่นดื่นภาษา |
เขาพากันข้ามทะเลเฮกันมา | ขนเงินตราเมืองเราเอาสบาย |
บ้างตั้งห้างสร้างตู้ชูสิ่งของ | ทั้งเพ็ชร์ทองวางเย้ยเฉลยขาย |
เพราะพวกเราไม่กังวลจะจนตาย | จะทนอายให้เขาหยามไม่งามตา |
เมื่อตัวเธอยากจนทนอายได้ | ประเทศไซร้ต้องสมัครกันรักษา |
อย่าให้ยากจนได้ขายพักตรา | แก่นานาประเทศเขาเราเป็นไทย |
เป็นขี้ข้าตัวเองอย่าเกรงเหนื่อย | เราป่วยเมื่อยนึกจะพักก็พักได้ |
ถ้ามีนายใช้ทำกระหน่ำไป | หยุดไม่ได้เขาหาเอื้ออาทร |
๖๖/ ถึงคลองละมุงมองเห็นคลองน้อย | ไร่นาจ้อยมีแต่ไพรไม้สลอน |
เต็งรังลิ่วงิ้วฉง้ำเงื้อมอัมพร | พะยอมดอนกระแบกกระเบาเหล่าเพกา |
มะกอกมะเกลือระดะต้นตะโก | เทพทาโรมะไฟไม้มะค่า |
ต้นยางยูงสูงเยี่ยมเทียมเมฆา | กิ่งสาขาเชิดยอดทอดระทวย |
พระพายพัดกวัดไกววิไลยล้ำ | ดังระบำกรีดกรอ่อนสลวย |
ทุกก้านใบไหวจังหวะอันจะรวย | เหล่าใบชวยเชิดชอยชะม้อยเมียง |
ลมพัดหวลป่วนปั่นเลื่อนลั่นเปราะ | ไม้ไผ่เสนาะเอนเบียดออกเอียดเสียง |
ดุจดนตรีตีรับศัพท์สำเนียง | เป็นคู่เคียงสำหรับจับระบำ |
อันพรรณะเหล่าไม้ใส่ใจคิด | เห็นงามพิศดารกว่าเลขาขำ |
งามสิ่งอื่นฝืนฝืดจืดประจำ | พ่ายแพ้ธรรมชาติประหลาดงาม |
งามจืดเจียนเปลี่ยนความงามเพริดพริ้ง | ผลิกอกิ่งออกใหม่ยอดใบหลาม |
พอแก่เก่าเล่าก็เวียนแปลกเปลี่ยนความ | แตกใบตามยอดระย้าทั้งตาปี |
ฝูงวิหคผกผินลงบินเกาะ | ส่งเสียงเพราะวังเวงดังเพลงปี่ |
กระรอกไต่ไม้ชะแง้กระแตมี | หมู่ชะนีเหนี่ยวไม้โหนไปมา |
ลิงทะโมนโจนจ้องมองเขม้น | บ้างโผนเผ่นเลิกคิ้วทำนิ่วหน้า |
เขาว่าคนซนเหมือนลิงจริงวาจา | หรือยิ่งกว่าลิงร้ายกี่ก่ายกอง |
๖๗/ มาถึงคลองมาปรับใคร่รับรู้ | ปรับไหมผู้ใดเล่าได้ข้าวของ |
เพียงแต่มาถ้าจะปรับไม่รับรอง | ให้อยู่คลองปรับหาไม่ว่าไร |
ตำบลนี้มีวัดขนาดย่อม | หมู่บ้านหย่อมน้อยโขไม่โตใหญ่ |
สวนป่าไม้เบ็ญพรรณ์ทั่วกันไป | ให้เปลี่ยวใจเปลี่ยวตานั่งชาเย็น |
อากาศคลุ้มอุ้มเมฆเป็นหมอกมืด | ยิ่งชื้นชืดหนาวใจใครจะเห็น |
วายุจัดพัดไม้ไหวกระเด็น | ดังสนั่นลั่นเช่นป่าทะลาย |
พอฝนซาฟ้าคะนองก้องกัมปนาท | สุนีบาตตกที่ไหนอกใจหาย |
รถวิ่งแหวกกลางฝนจนฝนคลาย | ค่อยสบายหายกลัวนั่งตัวตรง |
๖๘/ ถึงคลองยางต้นยางสล้างล้ำ | ล้วนหลายกำครื้นในไพรระหง |
กล้วยไม้เหมาะเกาะก่อเป็นกอกง | ออกดอกส่งกลิ่นฟุ้งจรุงใจ |
เอื้องคำช้อยช่อช่วงดังพวงทอง | ช้างเผือกผ่องขาวลออช่อไสว |
สามปอยตระการบานฟ้อช่อวิไลย | อีกดอกอัยเรศสะพรั่งช่อดังงา |
ทั้งฟ้ามุ่ยเอื้องแซะแหละตีนเต่า | เอื้องแมลงเม่าเอื้องดาวช้างน้าวหา |
สายวิสูตร์ช่อม่วงพวงโมรา | ย้อยระย้าน่าชมภิรมย์ทรวง |
๖๙/ ถึงสวรรคโลกเรื่องเมืองมนุษย์ | เป็นสิ้นสุดทางไปรถไฟหลวง |
จะขึ้นต่อรถยนต์คนทั้งปวง | เขาทักท้วงว่าทางอย่างกันดาร |
เมื่อคืนนี้ฝนตกเสียโชกชุ่ม | ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อข้อโดยสาร |
จะไปสุโขทัยไม่ได้การ | เพียงบางตาลถ้าจะไปพอได้ดี |
ต้องเปลี่ยนทางจ้างเรือเป็นเหลือคาด | หกสิบบาทจนจิตจะคิดหนี |
ต้องรีบไปให้ทันกฎกำหนดมี | ถ่ายของที่รถส่งลงนาวา |
ฝนพรูพร่ำจำใจไปไม่รอด | เรือต้องจอดค้างคืนสุดฝืนท่า |
ช่วงเคราะห์ร้ายย้ายโยกโชคชะตา | สุริยาพลบค่ำเดือนรำไร |
นอนอนาถขาดสุขลุกขึ้นนั่ง | ท่านชั่งตั้งนามสวรรคโลกชั้นไหน |
ภูมิประเทศเขตขอบดูรอบไป | ไม่สมให้นามสวรรค์เช่นนั้นเลย |
กันดารน้ำตามตลิ่งสูงจริงเจียว | ลำน้ำเชี่ยวแดงขุ่นแม่คุณเอ๋ย |
จะอาบกินอย่างใดเล่าหรือเขาเคย | ก็เสบยไปตามด้วยความชิน |
อันนิสัยไทยเราเป็นเหล่ามาก | ถึงจนยากอย่างใดไม่ไกลถิ่น |
ไม่เหมือนเจ๊กแขกฝรั่งต่างก็บิน | มาหากินเมืองเราจนเขารวย |
ขนเงินไปบำรุงเขตประเทศเขา | ทั้งพวกเราก็ช่วยยุ่งผดุงด้วย |
เปลือกหรือแก่นซื้อส่งเฝ้างงงวย | จะระหวยละห้อยน้อยใจใคร |
อันเมืองนี้มีตำนานโบราณกล่าว | สร้างกว้างยาวเรียบร้อยหาน้อยไม่ |
กว้างห้าสิบยาวร้อยเส้นเช่นของไทย | กำแพงใหญ่ล้อมรอบเป็นขอบคัน |
กว้างสองวาสูงสี่วาศิลาแลง | ฤๅษีแจ้งกลับมาจากฟากสวรรค์ |
จึงเอานามตามชั้นฟ้ามาประพันธ์ | ชื่อสวรรคโลกเลิศประเสริฐนาม |
พระยาธรรมราชาเลออาศน์รัตน์ | เป็นพระกษัตริย์เฟื่องฟุ้งทุกกรุงขาม |
ถวัลย์รัชสืบมาพยายาม | นับได้สามกษัตริย์ขัตติยา |
ภายหลังพระอรุณราชกุมาร | ชนขนานนามพระร่วงโชติช่วงหล้า |
ได้ปกป้องครองเมืองเรืองเดชา | สร้างมหาถาวรขจรนาม |
ได้ธิดากรุงจีนเป็นชิ้นเอก | มาภิเษกเป็นมเหษีองค์ที่สาม |
ทั้งได้ลำเภตราสง่างาม | บริวารตามเข้ามารวมห้าร้อย |
ทำถ้วยชากาน้ำชามกระเบื้อง | ขายทั่วเมืองซื้อไว้ได้ใช้สอย |
เหตุใดไทยไม่จำทำตามรอย | ซื้อเขาน้อยไปเมื่อไรชาติไทยเรา |
ทำไม่เป็นไม่อุตส่าห์น่าบัดสี | เกิดมามีเท้ามือนั้นหรือเปล่า |
เครื่องนุ่งห่มงมงายฟูมฟายเมา | ซื้อเขาเอาเสียทุกอย่างไม่สร้างเอง |
การทิ้งสิทธิ์คิดให้ดีเถอะพี่น้อง | เราจะต้องถูกระดมเขาข่มเหง |
ถ้าพวกเรามีสามัคคีมีคนเกรง | ควรรีบเร่งรักษาสิทธิ์ทุกกิจการ |
พอเช้าตรู่หมู่นกโผนผกร้อง | เรียกพวกพ้องออกหาภักษาหาร |
ก็ออกเรือลอยลำไปตามธาร | ต่างสำราญด้วยอากาศสะอาดดี |
หอมสาวหยุดกระดังงาเวลารุ่ง | ส่งกลิ่นฟุ้งยิ่งเปรมเกษมศรี |
ชื่นอารมณ์ชมจังหวัดฝั่งนัทที | ดังคีรีเงื้อมชง้ำตามลำธาร |
เห็นเด็ก ๆ บนตลิ่งวิ่งกระโจน | ลงน้ำโผนเผ่นผงาดว่ายฉาดฉาน |
ตลิ่งสูงหลายวากล้าเอาการ | ไม่สะท้านสะทกกลัวตกเลย |
เขาย่อมว่าไม้ป่าไม้กระถาง | ก็จริงอย่างเขาว่าเจ้าข้าเอ๋ย |
ลูกคนมีออกจากท้องประคองเคย | คนจนเฉยไม่ต้องประคองกัน |
ก็โตใหญ่ได้เหมือนไม่เคลื่อนคลาศ | ธรรมชาติเป็นกลางจัดสร้างสรรพ์ |
กลับแข็งแรงจ้ำม้ำดำเป็นมัน | พ่อแม่นั้นอาศัยได้เต็มมือ |
ตัวเล็ก ๆ ทำการงานทั้งหลาย | เลี้ยงวัวควายขับนกเสียงโหวกหวือ |
หาผักปลากังวลมาปรนปรือ | ไม่คร้านดื้อดีจริงทั้งหญิงชาย |
เจ๊กแจวเรือตามน้ำไม่ลำบาก | ช่างพูดมากหัวร่อกันคอหงาย |
เล่าถึงลูกถึงเมียว่าเสียดาย | เขาหนีตายไปหมดไม่อดทน |
ตัวของเขาอยู่ถิ่นนี้แปดปีกว่า | แจวนาวาเสียเพลินเหมือนเดินถนน |
ได้เท่าใดหมดก็ช่างไม่กังวล | ถึงแสนจนแสนยากไม่หยากตาย |
โลกสนุกมากมายทั้งใหญ่กว้าง | มีเสือช้างนกปลาพฤกษาหลาย |
กลางคืนมีเดือนดาวออกพราวพราย | กลางวันสายแสงตะวันประจันตา |
สารพัตร์ดี ๆ ก็มีชม | เนินพนมด้วยธารขนานหน้า |
จึงไม่หยากจะตายวายชีวา | มั่งมีว่าลำบากไม่หยากมี |
ถ้าทรัพย์มากยากใจดังไฟติด | ต้องพูดคิดปกป้องให้ผ่องศรี |
เป็นทุกข์ร้อนนอนไม่สบายดี | ตัวเขานี้ไม่ต้องการสำราญกาย |
ชอบแต่ให้ใจเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน | กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นที่มั่นหมาย |
ไม่โลภล้นจนใจไม่สบาย | มั่งมีตายเอาไปได้เมื่อไรมี |
ความเป็นจริงยิ่งกว่าจริงทั้งหญิงชาย | เกิดแล้วตายทั่วจังหวัดปัถวี |
ย่อมรู้ตัวไม่พ้นทุกคนดี | แต่ยากที่จะห้ามความทะยาน |
หาได้กำน้อยไปหยากได้กอบ | ได้กระสอบมุ่งตะล่อมเท่าพ้อมสาน |
ได้เต็มลำเรือรบไม่สบมาน | ร้อยโกฏิล้านก็ไม่พอโลภต่อไป |
จักรพรรดิ์มีรัตนะเจ็ด | ก็มิเสร็จสมมาตรราชมไหย์ |
ฝั่งมหาสมุทรอันสุดไกล | น้ำเท่าใดก็มิพักรู้จักพอ |
ถ้าจะพูดกันอีกทีโลกีย์สมบัติ | ที่จรัสรุ่งเรืองฟุ้งเฟื่องหนอ |
ประดับโลกประโยคยิ่งสิ่งพนอ | ผู้โลภก่อสร้างไว้จึงได้งาม |
ทิ้งความรู้วิทยาสารพัตร์ | เป็นบรรทัดวิริยาฝ่าพงหนาม |
ผู้กำเนิดทีหลังยังได้ความ | รู้เห็นตามท่านผู้สร้างนำทางมา |
มฤดกตกทอดตลอดโลก | เป็นชัยโชคอำนาจวาสนา |
ได้เป็นทุนหนุนเลิศเกิดปัญญา | คิดค้นหาประกอบทำล้วนสำคัญ |
ภูเขาใหญ่สูงปราบให้ราบต่ำ | พื้นภูมิทำเป็นทะเลเล่นเหหัน |
ถมสมุทรขุดบาดาลวิตถารครัน | เรือดำดั้นในมหาชลาลัย |
เครื่องบินเผ่นผันเร่กลางเวหาส | วิทยุอาจต่อสำเนียงเสียงแจ่มใส |
ไฟฟ้าวงส่งแสงแข่งอุทัย | ใช้แรงไฟทำประโยชน์โชตนา |
มนุษย์เรามีฤทธิ์คล้ายวิษณุกรรม | ประดิษฐ์ทำของใช้ได้หนักหนา |
เครื่องจักรกลพ้นจะพรรณนา | ดังเทวานิรมิตไม่ผิดไกล |
๗๐/ ถึงน้ำหักหักอะไรได้เสียหนัก | แต่หักรักนี้อนาถไม่หวาดไหว |
มันแน่นเหนียวเหนี่ยวรัดดวงหทัย | หักเท่าไรก็ไม่หักหนักอุรา |
หนักอะไรก็ไม่หนักเท่ารักหลง | เดินบุกพงหลงทางในกลางป่า |
ยังประสพพบที่มีมรรคา | หลงรักหาพบทางที่สร่างใจ |
เพราะงวยงงหลงระเริงในเชิงรัก | ใครจะชัดฉุดคลาศไม่หวาดไหว |
จนกระทั่งเปื่อยเน่าเป็นเถ้าไป | น่ากลัวภัยโมหะจิตระอิดระอา |
๗๑/ ถึงท่ายาวยาวให้บั่นสั้นให้ต่อ | นี้เป็นข้อคำบูราญขนานว่า |
ทำสิ่งใดให้ตริพิจารณา | แม้ปัญหาข้องขัดอึดอัดใจ |
ปรึกษาผู้รู้หลักอรรคฐาน | จะอาจหาญชี้ทางสว่างไสว |
นี้คือสั้นต่อให้ยาวสาวกำไร | ยาวให้บั่นนั้นได้แก่ใจเรา |
ข้อใดส่อก่อเวรเห็นถนัด | จงเร่งรัดตัดเหตุนั้นให้สั้นเข้า |
ไม่มีเวรเสียได้สบายเบา | ใครว่าเต่าว่างั่งชั่งเป็นไร |
๗๒/ ถึงท่าช้างกว้างเตียนดูเลี่ยนโล่ง | บ้านเรือนโรงเคหาที่อาศัย |
ปลูกกันร่นพ้นฝั่งกลัวพังไป | พักเรือใกล้ไปธุระงานประจำ |
ตลิ่งสูงจูงกันเกาะหัวเราะร่วน | บ้างเซซวนเหนี่ยวไต่ไถลถลำ |
กลัวตกกลิ้งนิ่งกรานค่อยคลานคลำ | พอล่วงล้ำขึ้นไปได้สบายครัน |
หอมระรื่นชื่นใจดอกไม้ป่า | โยทกาสุกรมนมสวรรค์ |
ลำดวนดงส่งกลิ่นลูกอินจันทน์ | มลิวัลย์กาหลงและชงโค |
พวงพยอมหอมกรุ่นพิกุลแก้ว | ทั้งนมแมวจันกระพ้อช่อยี่โถ |
ต่างช่วยกันเก็บพอได้ห่อโต | เห็นวัดโอ้อนิจจาชื่อป่าแดง |
ดูกุฎีโบสถศาลาล้วนฝาไม้ | เก่าแก่ใช้ปิดกั้นกันด้วยแผง |
ชาวบ้านจนวัดก็งอก่อแรง | เป็นการแสดงพื้นถิ่นได้ยินยล |
ถ้าวัดวาอารามงามสง่า | ชาวประชาตำบลดีมั่งมีผล |
บำรุงวัดบำรุงสงฆ์ให้คงทน | ได้สวดมนต์ภาวนารักษาใจ |
ต่างลงเรือพร้อมหน้านาวาเคลื่อน | ออกลอยเลื่อนตามลำแม่น้ำไหล |
๗๓/ มาถึงบางกระจงเลยตรงไป | ดูสิ่งใดเหมือนแต่แรกไม่แปลกตา |
๗๔/ ถึงท่าถามถามถึงใครได้ทั้งนั้น | ส่วนตัวฉันมีแต่ทุกข์ไม่สุขา |
นั่งจำเจ่าเหงาใจในนาวา | ไม่เมตตาถามบ้างเลยชั่งเฉยเชือน |
ขาดอาลัยไมตรีเห็นดีหรือ | เสียชื่อว่าถามความไม่เหมือน |
ฉันอุตส่าห์มาทางไกลใคร่เยี่ยมเยือน | ช่างบิดเบือนเสียได้เจียวใจคอ |
ท่านี้เดิมเรียกว่าท่าเกษม | เป็นที่เปรมปลื้มใจผู้ใดหนอ |
ดูภูมิฐานการณ์สง่าก็น่าพอ | สมนามข้อเป็นสุขสนุกสบาย |
ที่แหลมยื่นพื้นน้ำไม่เชี่ยวปราด | มีชายหาดยาวยืดเป็นพืดสาย |
ริมตลิ่งสูงเขินล้วนเนินทราย | สีเหลืองคล้ายแกแลแผ่ไปไกล |
เห็นเด็ก ๆ เล็กโตสองโหลกว่า | วิ่งไขว่คว้าปล้ำกันสนั่นไหว |
เอาฟ่อนหญ้ามัดเป็นพวงเล่นช่วงไชย | บ้างเอาเถิดเตลิดไล่จับได้กัน |
บ้างพูนทรายขวางทำเป็นกำแพง | กระโดดแข่งข้ามพ้นเป็นคนกลั่น |
ข้ามไม่พ้นชนทรายทลายครัน | ถูกฮาลั่นปรับให้ทำใหม่ดี |
บ้างวิ่งแซงแข่งกันคั่นระยะ | ใครชะนะโห่ร้องก้องกันมี่ |
ผู้แพ้ขอประวิงวิ่งอีกที | สามัคคีเล่นหยอกออกกำลัง |
เล่นแต่ของธรรมชาติประสาทให้ | ไม่ต้องไปซื้อประคองของฝรั่ง |
ลูกอะไรไม้อะไรให้รุงรัง | เสียเงินทั้งเรื่องไม่เสียดายเลย |
๗๕/ ถึงนาตองใบตองเป็นของดี | ทำบายศรีเจ็ดชั้นเชิญขวัญเอย |
ขวัญจงมาอยู่กับร่างเหมือนอย่างเคย | อย่าเชือนเฉยมิ่งขวัญจงพลันมา |
อยู่ที่ใดไปที่อื่นหมื่นพิภพ | ขวัญอย่าหลบอื่นฉันนะขวัญจ๋า |
ขวัญจงรวมร่วมศรีร่วมชีวา | อย่าได้คลาคลาดฉันนะขวัญใจ |
๗๖/ ถึงหนองโว้งโล่งว่างอ้างว้างเหลือ | ตัวมาเรือจิตเปลี่ยวเที่ยวไถล |
ไปนรกวกสวรรค์ดั้นด้นไป | กลับมาในเรือเล่านั่งเฝ้าตรอง |
ความเร็วของเจตสิกดังพลิกหัตถ์ | รวดเร็วจัดยวดยิ่งสิ่งทั้งผอง |
ลัดนิ้วเดียวเที่ยวไปได้เป็นก่ายกอง | เป็นสิ่งของประหลาดอัศจรรย์ |
๗๗/ ถึงวัดเกาะเหมาะดูอยากอยู่บวช | จะได้สวดมนต์ห้ามความโศกศัลย์ |
ปฏิบัติตัดเหตุกิเลสพรรค์ | กว่าชีวันจะดับลับโลกา |
๗๘/ ถึงหนองแหน ๆ ปิดเสียมิดเม้น | แลไม่เห็นน้ำถนัดทั้งมัจฉา |
จะแหวกให้ห่างเหชั่วเวลา | ก็กลับมารวมปิดชนิดเดิม |
รู้ว่าเกิดมาแน่แก่เจ็บตาย | แต่ไม่วายทะเยอคิดเห่อเหิม |
เพราะตัณหาอุปาทานเจือจานเติม | จึงเคลิบเคลิ้มเห็นทุกข์เป็นสุขไป |
๗๙/ ถึงคลองตาลเห็นร้านตลาดตั้ง | ปลูกหันหลังลงท่าชลาไหล |
แวะนาวาพากันขึ้นทันใด | เห็นกว้างใหญ่ราบรื่นครึกครื้นครัน |
มีถนนหลายสายซื้อขายของ | เรียงทั้งสองข้างถนนคนมหันต์ |
มีรถรับส่งที่ทุกวี่วัน | สี่ห้าคันรถยนต์วิ่งวนเวียน |
ไปสวรรคโลกก็ไปได้ | สุโขทัยธานีที่เสถียร |
ถนนรถบดปราบเสียราบเตียน | เดินกันเจียนเมื่อยตรงกลับลงเรือ |
แล้วเคลื่อนคล้อยลอยลำตามน้ำลิ่ว | พระพายฉิวชื่นในฤทัยเหลือ |
แสงแดดไม่ร้อนรุมดูคลุมเคลือ | เหมือนเกื้อกูลทำให้สำราญ |
๘๐/ มาถึงนามอญเหนือให้เบื่อคิด | แต่จนจิตต้องกล่าวตามเค้าสาร |
ตำบลนามอญใต้ให้รำคาญ | ทำนาหว่านบ้างอุตส่าห์ทำนาดำ |
การทำนาของเราเท่าเป็นอยู่ | พิเคราะห์ดูช่างลำบากถลากถลำ |
ขอเชิญเทพารักษ์ช่วยชักนำ | การกระทำให้ง่ายสบายเบา |
๘๑/ ถึงวังทองมองหาทั้งขวาซ้าย | แต่เห็นทรายไม่เห็นทองยิ่งหมองเศร้า |
ถ้าได้ทองสักสองลำสำเภา | ตัวของเราก็จะสร้างแต่ทางบุญ |
จะสร้างมหาวิทยาลัยให้ใหญ่ยิ่ง | เด็กชายหญิงอนาถาไม่ว้าวุ่น |
ให้เข้าเรียนได้คล่องไม่ต้องทุน | จะอุดหนุนดีทำแต่สัมมา |
จะซื้อที่ดินแดนสามแสนไร่ | ทำป่าให้เตียนสะอาดปราศรกหญ้า |
ขุดคลองให้ใช้น้ำลำนาวา | ให้เคหาปลูกปักพอพักกาย |
ให้เครื่องมือทำกินตามถิ่นที่ | พืชพันธ์ที่ใช้ปลูกเพาะตามเหมาะหมาย |
ผู้ยากจนจริง ๆ ทั้งหญิงชาย | ถ้าฝักใฝ่ทำกินก็ยินดี |
แบ่งแจกให้เปล่า ๆ ไม่เอาค่า | แต่ขออย่าเอาไปขายยักย้ายหนี |
ตั้งโรงเลี้ยงคนพิการทานตาปี | สร้างกุฏีมีหลังคาสักห้าร้อย |
ให้อาหารการชีวะอุปโภค | ไม่ร้อนโรคหากินสิ้นละห้อย |
คนแก่ที่อดอยากปากจะงอย | ให้คนคอยปฏิบัติไม่ขาดแคลน |
สร้างถนนที่กันดารสะพานใหญ่ | ให้มาไปทุกพวกสะดวกแสน |
ผู้สามารถขาดทุนจะหนุนแทน | ตั้งปึกแผ่นขายค้าสมาคม |
บำรุงชาติศาสนามหากษัตริย์ | ให้จรัสเจริญเดชวิเศษถม |
ไม่มีทองหมองไหม้ฤทัยตรม | คิดมิสมปรารถนายิ่งอาวรณ์ |
๘๒/ ถึงคลองเขนงพราหมณ์ทำรำเขนง | แต่ก่อนเพรงตรงนี้หรือชื่อนุสรณ์ |
๘๓/ ถึงทับผึ้ง ๆ ช่างทำรังนอน | กินเกษรมาลีชูชีวัน |
สัตว์น้อย ๆ อย่างอุตส่าห์หาอาหาร | รู้สร้างบ้านอยู่ปรีเปรมเกษมสันต์ |
มนุษยเราเจ้าปัญญาสารพัน | ควรหรือนั่นไม่อุตส่าห์พยายาม |
สร้างบ้านช่องผองทรัพย์สำหรับกาย | ให้พ้นอายแมลงตั้งทำรังหยาม |
การขี้เกียจเหยียดตนเป็นคนทราม | จะไร้ความสุขสวัสดิ์วัฒนา |
การขี้เกียจคอยเบียดเบียนเขากิน | เป็นคนสิ้นความอายน่าขายหน้า |
ดูอย่างหอยปูเต่าเหล่ากุ้งปลา | ยังรู้หาเลี้ยงกายได้ใหญ่โต |
เกิดมาเป็นมนุษย์วิสุทธิ์ชาติ | ไม่สามารถเลี้ยงกายอายสุดโหล่ |
ทำกะป้อกะแป้แน่ต้องโซ | มิได้โงหัวพ้นความจนเลย |
บ้างคอยรับมฤดกตกตะครุบ | คอยแต่ชุบมือเปิบเฉิบ ๆ เฉย |
ไม่รู้จักทำกินจนชินเคย | เขาจะเอ่ยหยามหมิ่นกล่าวนินทา |
ว่าดีแต่ผู้อื่นเขายื่นให้ | ถ้าหาไม่ก็ต้องอดหมดปัญหา |
เอกลาภมิใช่ใช้ปัญญา | ไม่บรรเจิดเชิดหน้าเหมือนหาได้เอง |
เกิดเป็นคนถ้าอุตส่าห์เต็มสามารถ | มิอืดอาดออดอ้อนลงนอนเขลง |
ย่อมหาทรัพย์ประดับกายได้ครื้นเครง | ควรรีบเร่งเสียแต่ยังกำลังกาย |
ยังหนุ่มสาวคราวครั้งกำลังมาก | เพียรบั่นบากต้องได้สมอารมณ์หมาย |
หาไว้เพื่อเมื่อชราพาสบาย | มิต้องอายต้องอดหมดราคา |
๘๔/ ถึงหนองนางเต่า ๆ ใหญ่ไข่แล้วกลบ | เอาอกลบรอยมิให้ใครกังขา |
ความรักลูกปลูกฝังกำบังตา | ครั้นแก่กล้าฟักไข่ให้เป็นตัว |
หัดให้ดำน้ำหาภักษาหาร | ว่ายน้าคลานบนบกไวมิใช่ชั่ว |
เมื่อเห็นสัตว์ใหญ่มาใกล้ตัว | รีบหดหัวไว้ในหลังระวังตน |
การควรกลัว ๆ ไว้ไม่บังอาจ | ย่อมแคล้วคลาดผองภัยไม่ไร้ผล |
การควรกล้า ๆ ให้ควรล้วนมงคล | กลัวกล้าคนรู้จักใช้ได้ผลดี |
ที่ควรกลัว ๆ ไว้ไม่หยาบหยาม | หมอบให้ราบกราบให้งามตามวิถี |
ทำกระด้างกระเดื่องเครื่องราคี | ไม่เป็นที่เสน่หาประชาชน |
๘๕/ มาถึงเกาะบางเกวียนเวียนแลเลาะ | ไม่เห็นเกาะเห็นแต่ทรายให้ฉงน |
หรือน้ำเซาะเกาะทะลายตามสายชล | เวียนละวนป่วนปั่นพันเป็นเกลียว |
นาวาเหเซหมุนเจ๊กวุ่นวาย | หัวโทษท้ายคัดฉากแต้ไม่แลเหลียว |
ท้ายโทษหัวไม่ทวนเรือจวนเลี้ยว | ต่างเสียงเขียวเถียงกันสนั่นดัง |
พอเรือตั้งลำได้ไปสะดวก | ค่อยหายหนวกหูระคายเจ๊กหายคลั่ง |
ไม้ซุงปล่อยลอยน้ำตามลำพัง | ออกเก้กังเกะกะระดะไป |
ดังกุมภาอาละวาดน่าหวาดเสียว | บ้างก็เลี้ยวบ้างก็ขวางทางน้ำไหล |
บางต้นแล่นเร็วรี่ดังมีใจ | ชนกันไหวหวั่นสะท้อนดังรอนราญ |
น้ำกระฉอกเป็นละลอกกระจายฟุ้ง | บ้างแล่นพุ่งชนฟาดดังฉาดฉาน |
บ้างลอยเรียงเคียงคู่ดังรู้การณ์ | บ้างทะยานชนฝั่งดินพังโครม |
ทั้งน่ากลัวน่าดูนั่งอยู่เรือ | คัดหางเสือหลีกหลบกระทบโถม |
ถือถ่อง่ามค้ำผลักเพียงหักโครม | ถ้ากระโจมกระแทกเรือแหลกลาญ |
ล้วนแต่มีเครื่องหมายหลายเจ้าของ | ปล่อยให้ล่องน้ำไปไกลสถาน |
พวกรับจ้างถือหวายดังนายพราน | โจนทะยานว่ายน้ำร้อยปล้ำซุง |
ของใครก็เลือกผูกถูกเจ้าของ | ทำแคล่วคล่องว่องไวมิให้ยุ่ง |
รวมเป็นแพเรียบร้อยคอยบำรุง | ค่าจ้างมุ่งต้นราคาห้าสิบสตางค์ |
บ้างตีเชือกด้วยหวายใช้สายน้ำ | เอาไม้ทำกงจักรสะพักขวาง |
เอาต้นหวายผูกลงที่ตรงกลาง | จักรก็คว้างหมุนวงตามคงคา |
บนแพตั้งหลักจำปาให้ผ่าซีก | จักรนั้นฉีกตีเป็นเกลียวเหนียวนักหนา |
ครั้นเห็นพอประสงค์ก็ตรงมา | ขดไว้ท่าผูกซุงผดุงการ |
เมืองไทยเราอุดมเลิศประเสริฐนัก | มีไม้สักไม้แก่นแสนวิตถาร |
มีข้าวเหลือเกลือหลามตามดินดาน | มีอาหารต่าง ๆ อย่างเหลือเฟือ |
มีแร่ธาตุต่าง ๆ อย่างวิเศษ | ในขอบเขตกรุงไกรทั้งใต้เหนือ |
เกิดสำหรับกับบุญมาจุนเจือ | จะขายเกื้อกูลนิเวศประเทศไกล |
ไทยเรามีน้ำดินเป็นสินทรัพย์ | เอนกนับราคาหาสุดไม่ |
ได้กินอยู่สุขเกษมปลื้มเปรมใจ | จงรักษ์ใคร่ถิ่นฐานบ้านเมืองเรา |
การรักษาบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ | ต้องพร้อมนัยสามัคคีดีไม่เขลา |
มิเอาเรื่องส่วนตัวมามัวเมา | มุ่งแต่เอาให้ชาติจรัสชัชวาลย์ |
๘๖/ ถึงตำบลบางปลากดรันทดท้อ | เมื่อไหร่หนอจะถึงซึ่งสถาน |
แต่นั่งบ้างนอนบ้างช่างรำคาญ | จึงเขียนสารแก้เหงาบรรเทาใจ |
ให้ปรากฏว่ามาชมไม่อมนิ่ง | ให้เห็นสิ่งคุณประโยชน์โทษไฉน |
หรือดวงจิตคิดเห็นเป็นเช่นใด | ขอเทพไททั่วหน้าได้ปรานี |
โปรดพิทักษ์รักษาสาราด้วย | แม้ข้าม้วยร่างกายตายเป็นผี |
แต่ถ้อยคำน้ำจิตคิดอารี | ให้อยู่มีพรรษาชั่วฟ้าดิน |
๘๗/ ถึงเตว็ด ๆ ที่พิธีตั้ง | ไม่ให้หวังเตว็ดวิเศษสิ้น |
ให้น้อมจิตคิดบูชาเป็นอาจิณ | องค์พระปิ่นปกเกล้าของชาวไทย |
๘๘/ ถึงท่าช้าง ๆ เอยเคยลงท่า | ช่างงามมารยาทนักน่ารักใคร่ |
ฝีเท้าเดินเงียบจริงทุกสิ่งใด | รูปร่างใหญ่แต่ละม่อมดูพร้อมเพียง |
ไม่เหมือนม้าน่าชังเดินปังโปก | กิริยาโฮกฮากขรมไม่กลมเกลี้ยง |
คนไม่มีจรรยาไม่น่าเคียง | ถ้าหลีกเลี่ยงได้เท่าใดได้ยิ่งดี |
๘๙/ ถึงเชงเหม็งนามนี้ขึ้นปีใหม่ | พวกจีนไปไหว้ศพเคารพผี |
ทำทวดปู่บุรพชนทุกคนมี | กตเวทีบูชาไว้อาลัย |
สถานที่ระลึกก่อตึกฝัง | ทั้งกายยังน้ำจิตให้คิดได้ |
จารึกนามความดีมีอย่างใด | บุตรหลานให้เอาอย่างทางตระกูล |
ธรรมเนียมเราเผ่าเนื้อเหลือแต่ธาตุ | เก็บนานอาจตกเรี่ยหายเสียสูญ |
พ่อกับลูกก็ยังหวังเกื้อกูล | หลานเหลนพูนเพิ่มมากไม่อยากแล |
อัฐิของทวดปู่อยู่ไหนช่าง | เห็นมีอย่างนี้มากอยากจะแก้ |
ยิ่งคิดไปใจคอให้ท้อแท้ | นั่งชะแง้ชะเง้อไปใจกระพือ |
๙๐/ ถึงบางคลอง ๆ มีที่แหลมคุ้ง | เรือเดินมุ่งตรงไปจะได้หรือ |
จำต้องเอี้ยวเลี้ยวล่องตามคลองคือ | ใครขืนดื้อไปไม่รอดต้องจอดเลย |
๙๑/ ถึงบางสงฆ์เลยมาถึงท่าพระ | สาธุสะพระธรรมร่ำเฉลย |
ให้ละโลภโกรธหลงงวยงงเคย | จะเสบยวิญญาณ์สาระพัน |
อันสุขใดในโลกประโยคสุด | ซึ่งมนุษย์เสาะแสวงทุกแห่งนั่น |
ก็ประสงค์สุขจิตไม่ผิดกัน | แต่เรานั้นโง่เขลาเบาปัญญา |
เที่ยวหาสุขบุกไปไกลประเทศ | ที่อยู่เขตชิดใกล้สิไม่หา |
ความสุขอยู่ที่ใจไม่นำพา | เพราะอุปาทานไม่มองเห็นของจริง |
สวรรค์มีสิ่งสิ่งล้ำ | โลกมนุษย์ |
อยู่ที่ใจบริสุทธิ์ | เท่านั้น |
ในจิตหน่ายสมมุติ | เหินห่าง |
อกที่ทุกข์บีบคั้น | ผองพ้นดลเกษม |
๙๒/ ถึงบางควาย ๆ ดีมีคุณมาก | ช่วยเข็นลากเบาแรงแจ้งทุกสิ่ง |
ใช้ไถนากรากกรำทั้งน้ำปลิง | ช่างเปรียบหญิงเป็นควายไม่อายคำ |
แสนลำบากกรากกรำทำงานบ้าน | ไม่สงสารสตรีแล้วมิหนำ |
ยังเอาเปรียบกับกระบือแทนชื่อนำ | ช่างใจอำมะหิตหนอไม่ขอฟัง |
ถ้าหญิงเปรียบชายยิ่งกว่าลิงป่า | ของมีค่าก็ไม่รู้ฟังดูมั่ง |
มิโกรธใหญ่ไล่ตีเอาชีวัง | จะยับยั้งใจนิ่งเหมือนหญิงฤๅ |
๙๓/ มาถึงทางด่างแต่ปางไหน | ปล่อยไว้ให้ดำด่างทางนั้นหรือ |
จนทำให้เรื่องฉาวกล่าวระบือ | ถึงตั้งชื่อด่างประจำของตำบล |
๙๔/ ถึงปากแควแลละลิ่วล้วนทิวไม้ | บ้านเรือนไกลจากฝั่งกลัวพังหล่น |
เด็ก ๆ มากนั่งมองสองฝั่งชล | สุริยนเบนบ่ายค่อยคลายใจ |
ทั้งแม่เพิ่มแม่กี่บ่นขี้เกียจ | นั่งเมื่อยเหยียดกายระงับเลยหลับไหล |
พ่อเถียวกับน้องก็หลับเป็นตับไป | ฉันมิได้ยับยั้งนั่งรำพึง |
เจ๊กแจวท้ายบอกว่าเรามาใกล้ | ไม่เท่าใดดอกหนานาวาถึง |
ลดแจวนั่งถือหางเสือหัวเรืออึง | ไฉนจึงหลบเลี่ยงทำเสียงดัง |
ยืนแจวแต่มืดมาน่าสงสาร | ก็ควรการอยู่นักจะพักนิ่ง |
ฉันบอกว่าอย่าอึงทำตึงตัง | จะพักมั่งก็ไม่ช้าน้ำพาจร |
๙๕/ ถึงวังหิน ๆ ตั้งทำรังไว้ | เพื่อจะให้เนาในหล้าอุทาหรณ์ |
ไม่เห็นวังยังแต่นามก็งามงอน | อนุสรณ์ถึงภาพปลาบวิญญาณ์ |
คนเราตายกายเน่าเปล่าประโยชน์ | แต่คุณโทษคงอยู่เป็นคู่หล้า |
ไม่เปื่อยเน่าเค้ากรรมประจำตรา | ใครเข่นฆ่าลบล้างไม่วางวาย |
ปิดสิ่งใดใช้ปิดย่อมมิดเม้น | ปิดปากเห็นไม่สมอารมณ์หมาย |
จะฆ่าให้สูญแน่ก็แต่กาย | จะทำลายเสียงปากนั้นยากจริง |
กวีฝากพจมาลย์สาส์นโศลก | ไว้แก่โลกสืบสายทั้งชายหญิง |
ถึงตัวตายลายลักษณ์ยังพักพิง | สนองสิ่งได้อาศัยในโลกา |
๙๖/ ถึงบางแก้ว ๆ กองทองทั้งหลาย | มีมากมายเก็บไว้ก็ไร้ค่า |
เอาไว้พอเป็นสะเบียงเลี้ยงอาตมา | เหลือนั้นน่าเกื้อกูลเป็นทุนรอน |
แก่คนที่เจตนาสัมมาชีพ | ช่วยคีบหนีบมิให้กลายเป็นไม้ขอน |
เป็นประโยชน์โชตนาสถาวร | การดับร้อนเพื่อนมนุษย์เป็นสุดดี |
เวลาบ่ายชายแสงสุริเยศ | บรรลุเขตโบราณสถานที่ |
สุโขทัยจังหวัดราชธานี | บ้านเรือนมีคับคั่งสองฝั่งชล |
มีแพเรือจอดหลามตามตลิ่ง | รถยนต์วิ่งส่งรับอยู่สับสน |
สะพานใหญ่ทำข้ามแม่น้ำวน | เชื่อมถนนไปได้เป็นหลายทาง |
โรงสีไฟไทยเราเป็นเจ้าของ | สีข้าวปล่องควันพลุ่งมียุ้งฉาง |
แต่อารามคร่ำคร่าน่าระคาง | ดูเหินห่างซ่อมแซมจึงแรมโรย |
แทบทุกวัดทัศนาน่าสงสาร | จนเรือผ่านคลาดคล้อยละห้อยโหย |
พอสายัณห์ตะวันร่มมีลมโชย | ค่อยรื่นโรยหอมประทินกลิ่นมาลี |
รอเรือถามบ้านที่มีประสงค์ | เขาบอกตรงแถวเจ้าเมืองอันเรืองศรี |
เห็นบ้านเรียงตามถนนใกล้ชลธี | จอดเรือที่ร่มท่าชลาลัย |
ขนของขึ้นบ้านพักเป็นหลักฐาน | อัยการคนเก่าก็เล่าไข |
ว่าเตรียมของพร้อมสรรพคอยกลับไป | ท่านมาใหม่เรือนมอบจงครอบครอง |
อันเรือนหลวงหลังนี้ทำดีโข | ไม่เล็กโตพอดีมีสี่ห้อง |
มีนอกชานครัวไฟได้ทำนอง | ติดต่อห้องน้ำบันไดลงไปดิน |
จัดที่ทางเรียบสรรพรับอาหาร | เสร็จสำราญอารมณ์สมถวิล |
ตียี่สิบต่างนอนพักผ่อนอิน | ทรีย์ทั้งสิ้นสมประดีจนตีระฆัง |
ฉันแม่เพิ่มแม่กี่กระวีกระวาด | จัดแจงอาตม์เที่ยวตามที่ความหวัง |
เดินถนนริมแม่น้ำตามลำพัง | จนกระทั่งถึงตลาดดาษดา |
เขาขายของต่าง ๆ อย่างกรุงเทพฯ | ทั้งเครื่องเสพสารพัตรช่างจัดหา |
ถูกทุกอย่างหมูไก่ผักไข่ปลา | กล้วยน้ำว้าอย่างดีหวีหนึ่งสตางค์ |
แล้วข้ามเชิงสะพานมาถึงหน้าวัด | นามถนัดราชธานีมีลานกว้าง |
เข้าโบสถ์น้อยน้อมกายถวายเบ็ญจางค์ | พระพุทธางค์ประทานตระการตา |
มีเณรใหญ่ไขประตูอยู่พิทักษ์ | เห็นมีอักษรห้ามตามเลขา |
มิให้ใครนำปองของบุราณ์ | จากทะวาร์ออกไปตามใจพาล |
พระพุทธที่มีแต่เกษสังเวชหลาย | ตั้งเรียงรายหลายขนาดบนอาศน์ฐาน |
ภาชนะเนืองนองของเบาราณ | ถ้วยโถพานกระปุกกระถางต่างนานา |
ที่ไม่ทราบใช้อย่างใดสมัยนั้น | รูปพรรณสุดจะแจ้งแถลงว่า |
ล้วนดินเผาเค้าปั้นด้วยปัญญา | ตามประสาตามสมัยใช้ได้การ |
ท่านแต่ก่อนมิใช่โง่โวแต่ปาก | ยังทิ้งทรากไว้ประจักษ์เป็นหลักฐาน |
แบบหนังสือคำภาษาวิชาการ | ให้บุตรหลานเรียนคืบสืบกันมา |
ออกจากโบสถ์พิพิธภัณฑ์สถานเก่า | รูปพระพุทธเจ้านั่งตั้งอยู่ข้างหน้า |
มีนามเรียกหลวงพ่อเป๋าชาวประชา | นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร |
มีทุกข์ร้อนบนกันให้ท่านช่วย | แก้บนด้วยบุหรี่จุดจี้ใส่ |
พระโอษฐ์พระสูบนั้นเป็นควันไป | ว่าลามไหม้หมดมวนเห็นถ้วนกัน |
ทั้งทำนายทายชะตาอนาคต | ก็ถูกหมดทุกกิจไม่ผิดผัน |
ตามเสี่ยงทายในเลขาว่ารำพัน | เราชวนกันวันทาลาครรไล |
เลียบตามฝั่งชลธีถึงที่บ้าน | พระยาวิเชียรสถานบ้านโตใหญ่ |
เป็นเจ้าของถิ่นที่โรงสีไฟ | จึงเข้าไปไต่ถามความสำราญ |
ท่านยิ้มย่องผ่องใสเชิญให้นั่ง | อยู่พร้อมพรั่งเป็นสุขทั้งลูกหลาน |
ฉันหยิบซองพร้องคำเงินบำนาญ | บุตรที่บ้านท่านนั้นฝากฉันมา |
ต่างปราศรัยไต่ถามตามฉันท์ญาติ | แล้วลาคลาศคล้อยออกนอกเคหา |
ท่านตามส่งให้ลงยังนาวา | ฝีพายพาสู่สำนักที่พักพลัน |
รุ่งเวลาพากันขึ้นรถยนตร์ | ไปตำบลราชวัง ณ รังสรรค์ |
ของกษัตริย์โบราณนมนานครัน | อันนานนั้นสุโขทัยเคยไพบูลย์ |
ระยะทางไปไม่น้อยสามร้อยเส้น | พอถึงเห็นกว้างใหญ่สมไอศูรย์ |
กำแพงสามชั้นรอบเป็นขอบมูล | ชั้นในจรูญแน่นหนาศิลาแลง |
ภายในกว้างทางสังเกตร้อยเศษไร่ | ประตูใหญ่สี่ทิศชนิดแฝง |
กำแพงกลางบังไว้ให้เคลือบแคลง | สร้างระแวงเชิงชั้นกันไพรินทร์ |
มีป้อมตั้งบังประตูอยู่สี่ทิศ | ขอบคูชิดกำแพงออกรอบนอกสิ้น |
ปรางค์ปราสาทอาสน์อุดมลงจมดิน | แต่ฐานหินยังอยู่พอรู้เค้า |
ที่ตระพังสุวรรณนั้นมีวัด | กลางสระจัดเกาะดูดังภูเขา |
มีเจดีย์องค์ใหญ่ฝ่ายกลางเนาว์ | แล้วมีเหล่าองค์ย่อมล้อมแปดองค์ |
วัดตระพังเงินดูมีคูรอบ | วัดตระพังสอก็มีขอบชอบประสงค์ |
เอาน้ำเป็นสีมาเห็นท่าตรง | วัดสระสี่มีสระวงสี่ด้านวัด |
วัดมหาธาตุตั้งอยู่กลางเมือง | องค์สูงเขื่องมีฐานด้านสะกัด |
ถัดขึ้นไปชั้นทักษิณมีหินชัด | ลวดลายจัดจำหลักวิจิตรพิสดาร |
รูประหงทรงแปลกครั้งแรกเห็น | ซ่องซุ้มเด่นมีกระจังอย่างวิตถาร |
พุทธรูปไสยาศน์อาศน์โอฬาร | มีวิหารสี่ทิศอุกฤษฎ์ลาย |
มีฐานทรงองค์พระมหาธาตุ | เป็นเชิงชั้นปั้นวาดประหลาดหลาย |
ล้วนจำหลักยักเยื้องประเทืองพราย | ที่ยอดปลายเป็นทรงองค์เจดีย์ |
คงบรรจุอุดมบรมธาตุ | อันโอภาสจรัสรัศมี |
ยอดจึงคงทรงไว้ไม่ราคี | ด้วยบารมีบรมธาตุพระศาสดา |
มีวิหารใหญ่ยาวเก้าห้องแจ้ง | เสาเป็นแลงกรมพร้อมสักอ้อมกว่า |
ยังตั้งเคียงเรียงไสวนัยนา | แต่หลังคายับย่อยน่าน้อยใจ |
พระประธานหน้าตักกว้างหนักหนา | ถึงสามวาหนึ่งคืบวัดสืบได้ |
หล่อด้วยโลหะถ้วนล้วนอำไพ | ทั่วทั้งในประเทศสยามตามหล่อมา |
มิได้มีองค์ใดใหญ่เท่าทัน | ต้องแดดฝนพ้นอันจะรักษา |
รัชกาลที่หนึ่งจึงเชิญมา | สร้างพระอารามสุทัศน์ ฯ ให้ในพระนคร |
นามเรืองรุ่งกรุงเทพรัตนโกสินทร์ | คุ้งฟ้าดินขอให้อยู่คู่นุสรณ์ |
วัดศรีชุมทัศนายิ่งอาวรณ์ | หลังคากร่อนฝาผนังซ้ายยังดี |
ก่อเป็นโพรงข้างในเดินได้ตลอด | ถึงขื่อทอดหลังคาน่าเป็นที่ |
สำหรับขึ้นตรวจดูหมู่ไพรี | ข้างขวามีบันไดลงใต้ดิน |
ว่าเดินได้ไปถึงอุตรดิตถ์ | แต่เขาปิดทางกั้นกันเสียสิ้น |
เกรงลงไปพร่ำเพรื่อเสือจะกิน | น่าชมศิลปะวิทยา |
พระประธานก่อด้วยแลงยังแข็งกร่าง | หน้าตักกว้างคะเนห้าวากว่า |
เสารับขื่อหรือก็ก่อศิลา | หวังให้ถาวรงามอร่ามเรือง |
กระนี้นี่พระเจ้ารามกำแหง | จึงแสดงด้วยหนังสือให้ลือเรื่อง |
จารึกไว้ในศิลาค่าควรเมือง | ให้สืบเนื่องถึงพวกเราทราบเค้าการณ์ |
อันชาติไทยไพโรจน์อุโฆษศักดิ์ | มานานนักหลายพันปีอย่างวิตถาร |
สุโขทัยนี้ก็ยังทีหลังกาล | ในตำนานชาติเราก่อนเก่ามา |
เป็นเอกราชชาติหนึ่งซึ่งประเสริฐ | ใช่พึ่งเกิดมีครั้งตั้งหลักฐาน์ |
สุโขทัยธานีมีสมญา | ที่ทิ้งเป็นป่ายังไม่แจ้งหลายแห่งราย |
ไม่แต่ธรรมชาติทำให้ชำรุด | มนุษย์ขุดล้มคว่ำขะมำหงาย |
เที่ยวรื้อค้นคุ้ยเขี่ยเสียกระจาย | จึงเสียหายมากนักหนาเป็นน่าเคือง |
การจะดูบูราณสถานนี้ | ให้ถ้วนถี่กระจ่างแต่บางเรื่อง |
เพราะปรักหักพังเสียทั้งเมือง | อิฐแลงเขื่อง ๆ หล่นปนกันไป |
โบสถ์วิหารปรางค์เจดีย์ล้วนวิจิตร | ช่างประดิษฐ์ประดับประดาน่าเลื่อมใส |
ไว้ฝีมือให้ชื่อของชาติไทย | ศิลาแลงแต่งไว้วิไลกรณ์ |
ทั้งโบสถ์พราหมณ์ตามทางไสยศาสตร์ | ที่เทวราชสถิตมหิศร |
ทุกสิ่งสมฐานะพระนคร | อนุสรณ์ถึงครั้งเมื่อยังดี |
แม้ชำรุดซุดเศร้าเค้ายังอยู่ | ให้ล่วงรู้ประวัติเลิศประเสริฐศรี |
ย่อมเชิดชูกู้ตำนานโบราณมี | ราชธานีของชาติอันอาจองค์ |
แต่พินิจพิศดูอยู่จนบ่าย | แสนเสียดายสิ่งของต้องประสงค์ |
อนาจจิตคิดไปใจพะวง | สุริยงเย็นพายับกลับครรไล |
สุโขทัยราชฐานเป็นบ้านเก่า | ของพราหมณ์เผ่าพงษ์คือเพศถือไสย |
เป็นท่าเรือสำเภามีเสาใบ | มาจอดในเขตค้าทั้งตาปี |
กษัตริย์เชียงแสนระบิลนามปิ่นเกศ | ยกหนีเดชตะเลงห่างมาสร้างที่ |
ธิดาพราหมณ์งามลักษณ์กัลยณี | ภิเษกศรีเฉลิมเป็นเจิมจอม |
ทั้งทรงรับนับถือไสยศาสตร์ | สำหรับราชพิธีไมตรีถนอม |
รูปนเรศว์นารายณ์ให้ประนอม | ตั้งเสาซ้อมโล้ชิงช้าแรกนาดี |
แจกพืชพันธุ์ธัญญาประชาราษฎร์ | เลือกนางนาฏจรูญประยูรศรี |
แต่ล้วนเหล่าสาวพรหมจารี | เข้าพิธีกวนข้าวทิพย์หยิบแจกไป |
ประเพณีเหนือเนืองสืบเนื่องมา | จนเคลื่อนคลามาสร้างกรุงทางใต้ |
กรุงเทพมหานครกระฉ่อนไกล | รุ่งเรืองใหญ่โตกว่าเก่าร้อยเท่าทวี |
ขอเดชามหาชัยพระไตรรัตน์ | บำรุงฉัตร์ชาติไทยชาญชัยศรี |
ให้ตั้งอยู่คู่ฟ้าธาตุธาตรี | ล้วนแต่มีเกษมสุขทุกนิรันดร์ |
ข้าพเจ้าผู้กรองสนองถ้อย | ส้มจีนสร้อยเขื่อนเพ็ชรกั้นเขตขัณฑ์ |
พระราชทานนามสกุลอุณหะนันท์ | พุทธ์สองพันสี่ร้อยนับถอยไป |
เจ็ดสิบสามปีมะเมียไม่เสียชาติ | เกิดมาคลาศพุทธกาลสมัย |
แต่ดวงจิตชิดพระธรรมมีกำไร | ขอจงได้ประสบสุขทุกคืนวัน |
ไปแห่งใดได้เห็นความงามสนุก | ย่อมเจือทุกข์ปนอยู่เป็นคู่ขัน |
หนาวต้องผ่อนร้อนต้องทนไม่พ้นกัน | ต้องฝืนชั้นอิริยาบถอาการ |
เที่ยวชมไปในพิภพให้จบทั่ว | สู้บ้านตัวเราไม่ได้หลายสถาน |
ความสะดวกสบายทำให้สำราญ | ดีกว่าบ้านคนอื่นที่ดื่นตา |
เงินคนอื่นหมื่นโกฏิประโยชน์เขา | เงินของเราเท่าที่มีย่อมดีกว่า |
เพราะอาศัยได้เหมือนเพื่อนชีวา | จะปรารถนาใช้ตามความพอใจ |
ดังนกน้อยสกนธ์มีขนน้อย | ก็บินลอยไปมาเวหาได้ |
ถ้าขนมากเท่านกเขื่องจะเยื้องไกล | หรือนกใหญ่แต่ขนน้อยถอยกำลัง |
จะโบกบินไม่คล่องทั้งสองอย่าง | ย่อมเป็นทางสอนใจไว้ได้มั่ง |
เกิดเป็นคนตนต้องดูรู้กำลัง | ของตัวทั้งของผู้อื่นยั่งยืนนาน |
แมวลำพองร้องคำรณให้คนเชื่อ | ข้าคือเสือฤทธิไกรอันไพศาล |
จิ้งจกยกหางแกว่งสำแดงการ | ข้าคือท่านกุมภาศักดาเกรียง |
มดง่ามว่าข้าคือคชสาร | ฝ่ายสุวาณโก่งหางพลางขึ้นเสียง |
ข้าคือราชสีหะตะบะเพียง | ขวานฟ้าเปรี้ยงสะท้านทั่วกลัวเดชา |
พักอยู่สุโขทัยได้สามวัน | จึงพากันลาลับกลับเคหา |
พร้อมสามคนลงเรือไฟในเวลา | สุริยาเรืองเรื่อออกเรือพลัน |
มาทางเก่าเล่ามีถี่ถ้วนแล้ว | ครั้งเรือแจวตามน้ำเป็นล่ำสัน |
คราวนี้กลับเรือไฟเบื่อหน่ายครัน | ทวนน้ำรัญทดใจไม่เสบย |
ถึงบางตาลขึ้นจากท่ามารถยนตร์ | ถึงตำบลสวรรคโลกวิโยคเอ๋ย |
ขึ้นรถไฟกลับทางอย่างที่เคย | มาลงเลยบ้านดาราคอยท่ารถ |
ขึ้นรถไฟสายกลับพระนคร | หยุดพักนอนพิษณุโลกโชคตามบท |
แม่สองคนบนเหนื่อยเมื่อยระทด | เช้าขึ้นรถไฟพามาบ้านเอย |
----------------------------