นิราศถ้ำจอมพล
พ.ศ. ๒๔๗๑
นิราศรักอักอ่วนกำสรวลศรี | |
ไปชมถ้ำจอมพลหนหรดี | ราชบุรีจังหวัดพนัสไพร |
สลดจิตคิดไปใจจะขาด | ยูรยาตร์เข้าห้องไม่ผ่องใส |
จุดธูปเทียนลาพระแก้วอันแววไว | แล้วเลื่อนไปที่อัฐิอภิวันท์ |
ขอลาไกลไปชมพนมพฤกษ์ | อยู่แต่ตึกแทบชีวาจะอาสัญ |
ด้วยเปลี่ยวเปล่าเศร้าฤดีทุกวี่วัน | สุดจะกลั้นกลืนโศกวิโยคนัย |
ออกประตูเคหาสน์อนาถจิต | ตลึงคิดเพียงบังเอิญเดินไม่ไหว |
เคยไปไหนไปด้วยกันกับขวัญใจ | เคยนั่งไหนนั่งนั่นจำนรรจา |
เคยยลพักตร์ลักพิศเป็นนิจนับ | มาแลลับวายเว้นไม่เห็นหน้า |
จะนับเดือนเลื่อนลับไม่กลับมา | นับพรรษาก็ไม่คืนมาชื่นชม |
ออกหน้าบ้านร้านตลาดเดียรดาษของ | ริมเขื่อนคลองบางลำภูคูปฐม |
ออกถนนปรินายกอกระทม | แสนจะตรมตรอมใจอาลัยลาญ |
ถึงหน้าโบสถ์พระพุทธสุระภี | อัญชลีตั้งจิตอธิษฐาน |
เดชะผลกุศลทำประจำนาน | เพราะวัดบ้านใกล้ชิดสนิทกัน |
จงคุ้มครองป้องกันสรรพร้าย | อย่ากล้ำกลายถิ่นถานบ้านของฉัน |
ให้อยู่เย็นเป็นสิริเนืองนิรันดร์ | สาระพันขอให้เหมือนใจจินต์ ฯ |
ถึงถนนราชดำเนินไม่เดินด่วน | ละห้อยหวลป่วนจิตคิดถวิล |
โอ้พระจุลจอมกษัตริย์ฉัตรธานินทร์ | สร้างแถวถิ่นดุสิตวิจิตรกระไร |
ไว้เป็นที่สำหรับประทับประพาส | สำราญราชอารมณ์สมสมัย |
ขยายเขตพระนครกระฉ่อนไกล | พระเพิ่มไพบูลย์การสถานทาง |
อนุญาตราษฎรสัญจรได้ | ภายนอกไปตามถนัดไม่ขัดขวาง |
พระราชทรัพย์นับล้านพระทานวาง | ทรงก่อสร้างสิ่งประโยชน์โชตนา |
เดิมเป็นสวนราษฎรค่อนรกชัฎ | พระทรงจัดซื้อทุกรายจ่ายมูลค่า |
มิได้ทำด้วยเล่ห์พระเดชา | ตามราคาซื้อขายทุกรายไป |
ทรงแผนที่ชี้แจงแบ่งจังหวะ | ให้พระสุริยะ ฯ เป็นเจ้ากรมฝ่ายเหนือใหญ่ |
นามเดิมทรัพย์อุณหะนันทน์สัญชาติไทย | ฉลองใต้บาทบงก์พระทรงธรรม์ |
ให้ขุดคลองทำถนนปลูกต้นพฤกษ์ | โอฬารึกสนุกแม้นแดนสวรรค์ |
ทำเป็นสระอโนดาษสะอาดครัน | สัตบันโกสุมภ์ประทุมมาลย์ |
บ้างตูมตั้งบังใบวิลัยเลิศ | บ้างบานเชิดสีพร้อมกลิ่นหอมหวาน |
นกกระทงลอยล่องในท้องธาร | กระเรียนผ่านเนินผาเที่ยวคลาไคล |
ทำเป็นป่าเลี้ยงบรรดาจตุบาท | กวางระมาดยางยูงสูงไสว |
ต้นสนสักกรรเกรากระเบาไพร | สนามใหญ่ติณชาติดังวาดคราม |
สวนบุบผาสาระพันเลือกสรรค์พร้อม | ล้วนดอกหอมพันธุ์ไม้ในสยาม |
ปลูกเป็นหมู่ดูระดะระยะงาม | ถวายความทัศนะอันตระการ ฯ |
๑ กุหลาบสีชมภู | เชิดก้านหรูดูโอฬาร |
งามสง่าหาไหนปาน | หวานใจนักรักมาลี ฯ |
๒ ดอกแก้วขาวเป็นนวล | ชูช่อชวนยวนฤดี |
กลิ่นกล้ายามราตรี | ทวีรักหนักใจเรียม ฯ |
๓ ส้อนกลิ่นขาวเป็นใย | แต่ไฉนส้อนกลิ่นเจียม |
รักเจ้าเฝ้าและเลียม | งามเสงี่ยมเรียมติดใจ ฯ |
๔ จำปาสีแสดสด | หอมหวานรสชื่นฤทัย |
งามจริงพริ้งประไพ | ใจจอดเจ้าเฝ้าแลหา ฯ |
๕ สายหยุดหยุดอยู่ใย | เชิญมาใกล้ดวงชีวา |
รักเจ้าเฝ้าคอยหา | เวลาสายอย่าหายหอม ฯ |
๖ กระดังงาอมสีโศก | พี่วิโยคโศกจิตตรอม |
หวังกลิ่นถวิลจอม | ถนอมเจ้าทุกเช้าเย็น ฯ |
๗ กระถินเหลืองเรืองรอง | ดังภู่ทองลำยองเส้น |
ชื่นจิตคิดไม่เว้น | เห็นหน้าเจ้าคลายเศร้าใจ ฯ |
๘ จำปีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่ละเลยให้ห่างไกล |
ถนอมเจ้าเฝ้าลูบไล้ | ไปไหนนิดคิดหวลถึง ฯ |
๙ เสาวรสสดสีม่วง | ระรื่นทรวงให้รุมรึง |
รักเจ้าเฝ้าเอ็ดอึง | หึงไม่ให้ใครต้องพาน ฯ |
๑๐ กรรณิกาแสดสอดขาว | เวลาเช้าเจ้าเบิกบาน |
กลิ่นหวลชวนสมาน | ลาญใจสุดหยุดประคอง ฯ |
๑๑ ลำดวนสีนวลเรื่อ | หอมดังเนื้อนวลลออง |
รักเจ้าเฝ้ากระตอง | ปองใจหมายไม่วายชม ฯ |
๑๒ ยี่โถชมภูแก่ | ตลิ่งแลปลื้มอารมณ์ |
ช่อชูดูงามสม | นิยมหมายไม่วายวัน ฯ |
๑๓ รสสุคนธ์ขาวหม่นมัว | กลิ่นยวนยั่วดังดวงจันทร์ |
ฉุนชื่นระรื่นครัน | พี่มั่นหมายจนวายวาง ฯ |
๑๔ ราตรีสีเขียวอ่อน | อรชรดูสำอางค์ |
พี่เคยเผยหน้าต่าง | รับกลิ่นหอมถนอมเชย ฯ |
๑๕ มลิขาวลออ | พี่ไม่ขอห่างเจ้าเลย |
จะเรียงเคียงเขนย | สวาทน้องครองไมตรี ฯ |
๑๖ มณฑาสีดังทอง | นวลลอองน่าเปรมปรีดิ์ |
หอมหวลชวนยินดี | ทวีรักศักดิ์มาลา ฯ |
๑๗ ลำเจียกกลิ่นขจร | สีเหลืองอ่อนอ่องโสภา |
หนามคมสมสง่า | เวลาปลิดเกรงจิตจริง ฯ |
๑๘ เข็มหอมเขียวแกมขาว | จะรักเจ้าไม่ทอดทิ้ง |
นั่งไหนใคร่แอบอิง | พิงพาดเคล้าเย้ายวนใจ |
๑๙ เกตุเมืองช่อน้อย ๆ | ขาวพรายพรอยส่งกลิ่นไกล |
ใส่ชาพาชื่นใจ | ใครได้กลิ่นถวิลหวัง ฯ |
๒๐ พิกุลหอมกรุ่นจิต | รักเจ้าคิดดังชีวัง |
เหี่ยวแห้งแรงรักยัง | ฝังใจปลื้มไม่ลืมรัก ฯ |
๒๑ กาหลงส่งกลิ่นหอม | ลูกสุกงอมชวนสอยหัก |
ทำน้ำกระทิภักษ์ | โอชานักรักสนิท ฯ |
๒๒ สารภีสีเหลืองสด | รวยรื่นรสจรุงจิต |
รักเจ้าเคล้าคลึงชิด | ติดนาสาอ้าอบอวล ฯ |
๒๓ ชำมะนาดดาดดาขาว | งามดังสาวเฝ้าแย้มสรวล |
ชูช่อล่อเนตร์ชวน | ปั่นป่วนใจอาลัยลาญ ฯ |
๒๔ จันกระพ้อพอหฤทัย | ประคองใกล้ใจเบิกบาน |
กลิ่นตลบอบทรวงสานน์ | ปานรสทิพย์หยิบชมชู ฯ |
๒๕ ประยงค์สีดังทอง | เป็นเม็ดผ่องแผ้วน่าดู |
พี่ใคร่ได้เคียงคู่ | อยู่เป็นนิจคิดเสมอ ฯ |
๒๖ นมแมวคล้ายลำดวน | ดังจะชวนให้ละเมอ |
ปลื้มจิตคิดจนเผลอ | เจอครั้งใดใจระหวย ฯ |
๒๗ การะเกตวิเศษสี | ผิวฉวีเจ้าสำรวย |
กลิ่นฟุ้งจรุงด้วย | ช่วยให้จิตคิดกระสันต์ ฯ |
๒๘ ยี่หุบรูปกลมป้อม | น่าถนอมหอมเหมือนกัน |
รักเจ้าเท่าเทียมทัน | ทุกวันหวังตั้งใจจริง ฯ |
๒๙ พุฒิชาดขาวแน่งน้อย | งามเรียบร้อยมิกรุ่งกริ่ง |
กรายใกล้ใจประวิง | ใคร่อิงแอบแปลบทรวงเสียว ฯ |
๓๐ บุหงาลำเจียกมุ่ง | กลิ่นดังปรุงฟุ้งจริงเจียว |
รสทิพย์เลิศลิบเลี้ยว | เกี่ยวเกาะใจอาลัยเหลือ ฯ |
๓๑ เทียนกิ่งเกาะกิ่งเฉย | กระไรเลยไม่เอื้อเฟื้อ |
รักเจ้าเฝ้าจุนเจือ | เพื่อชมชื่นทุกคืนวัน ฯ |
๓๒ นางแย้มงามดังยิ้ม | ชูช่อกลิ่นนิ่มนวลจันทร์ |
เตรียมพร้อมถนอมขวัญ | เป็นนิรันดร์ขวัญใจเอ๋ย ฯ |
๓๓ พลับพลึงงามผึ่งผาย | กลิ่นกำจายให้ชวนเชย |
กลิ่นกลั้วกลัวระเหย | ไม่ละเลยเฉยชาชม ฯ |
๓๔ การะเวกรูปเทอะทะ | ไม่น่าจะคิดนิยม |
แต่กลิ่นรวยรินฉม | น้อมนำชมสมใจหมาย ฯ |
๓๕ ดอกโมกย้อยระย้า | เสน่หาไม่คลาคลาย |
เช้าค่ำนำกระหาย | สายสวาทเจ้าเฝ้าแลหา ฯ |
๓๖ ชลูดสูดกลิ่นชิด | ดอกน้อยนิดผิดมาลา |
เปลือกรากฝากกลิ่นกล้า | อ้าเอี่ยมกลิ่นมิสิ้นหอม ฯ |
๓๗ ประดู่ชูช่อฉาย | สูงสุดหมายใฝ่ทรวงตรอม |
ลาลดอดจิตออม | ยอมจำนนไม่ขวนขวาย ฯ |
๓๘ ขจรกลิ่นขจร | ให้อาวรณ์ห่อนเคลื่อนคลาย |
จำนงค์ปลงจิตหมาย | จนวายวางไม่ห่างชม ฯ |
๓๘ บัวหลวงช่วงโชตสี | เบิกบานคลี่ยั่วอารมณ์ |
ชวนคิดสนิทสนม | สมสวาทชาติประชุม ฯ |
๔๐ มหาหงส์ทรงสกาว | แต่ทราบข่าวร้าวรึงรุม |
เฉียดใกล้ใคร่โอบอุ้ม | จุมพิตกลิ่นประทินครอง ฯ |
๔๑ ยี่สุ่นคล้ายกุหลาบ | กลิ่นสุภาพปราบทรวงหมอง |
เสงี่ยมหงิมนิ่มนวลน้อง | ต้องตาใจไม่ลืมแล ฯ |
๔๒ กระดังงาจีนสีเขียว | กลิ่นซาบเสียวเหนี่ยวดวงแด |
ตามหอมด้อมชะแง้ | แท้ไกลมือรื้อเสียดาย ฯ |
๔๓ ลั่นทมลมรำเพย | ขอชิดเชยทุกเพรางาย |
มิ่งขวัญอย่าผันผาย | กระจายกลิ่นทั่วถิ่นชม ฯ |
๔๔ ส่าเหล้าเสาวภา | ส่งกลิ่นจ้าน่าภิรมย์ |
เช้า ๆ เต้าตามสม | ชมชื่นสายใยหน่ายหนี ฯ |
๔๕ อะโศกโบกกลิ่นไกล | เหลืองวิลัยให้ยวนยี |
ใคร่แอบแนบทรวงศรี | ฤดีหวังฝังในนาม ฯ |
อีกไม้สีนานาหามาปลูก | ทั้งไม้ลูกมีผลต้นมะขาม |
ปลูกสองข้างพาหิระระยะงาม | ได้เดินตามร่มไม้สบายเย็น |
มีเกาะสาธารลำเนาภูเขากบ | ถนนทบลดเลี้ยวไว้เที่ยวเล่น |
บนยอดเขาศาลาใหญ่ปลูกไว้เป็น | ที่พักเห็นรอบทิศวิจิตรจริง |
พระที่นั่งอัมพรอุดรสถาน | อีกวิมานเมฆเลิศประเสริฐยิ่ง |
ดังพิมานผ่านฟ้ามาประวิง | ล้วนแต่สิ่งมโหฬารตระหง่านงาม |
ถนนซอยน้อยใหญ่สายยาวลิบ | เป็นหลายสิบเฟื่องฟุ้งกรุงสยาม |
พระราชทานชื่อหมดปรากฏนาม | พยายามทำถวายใต้ธุลี |
จึงทรงพระกรุณาสามิภักดิ์ | พระราชทานยศศักดิ์เลื่อนขึ้นที่ |
เป็นพระยามหาเทพบดี | รับหน้าที่สองฝ่ายไม่หน่ายการ |
ฉลองบาทเรณูพระผู้เป็นเจ้า | จนตราบเท่ากาละอวสานต์ |
สวรรคตหมดสติดำริการ | สุดสงสารโสภาไม่ราวัน |
พิลาปรำพร่ำว่านิจจาเอ๋ย | พระคุณเคยเย็นยิ่งทุกสิ่งสรรพ์ |
เคยเฝ้าใกล้ได้ประทานเครื่องหวานมัน | สาระพันเสื้อผ้าเครื่องอาภรณ์ |
ทั้งเงินตรารางวัลชั้นพิเศษ | พระโปรดเกศภิญโญสโมสร |
แต่นี้หายคลายคลาศบาทบวร | เสด็จจรสู่สวรรค์เสียพลันเกิน |
โลกสยามยามสูญพระจุลจอม | ทุกคนกรอมเกรียมอุราน้ำตาเจิ่น |
ทั้งเบื้องบนฝนโชยโปรยประเชิน | เหลือประเมินที่จะร่ำคำสารา ฯ |
ถนนระหงตรงลิ่วล้วนทิวไม้ | มะขามได้ระยะคลุ้มพุ่มพฤกษา |
เห็นสพานมัฆวาฬตระง่านตา | พระบรมรูปทรงม้าหน้าพระลาน |
พระที่นั่งอนันตสมาคม | บนยอดกรมแบบฝรั่งอย่างวิตถาร |
ฉันชอบแต่ปราสาทสร้างปางบูราณ | แสงแก้วกาญจน์โชติช่วงดังดวงดาว |
ยามกลางวันนั้นสีระพีจับ | เห็นแวววับวาบสว่างอยู่กลางหาว |
ยามราตรีต้องสีพระจันทร์พราว | ทุกครั้งคราวฉันเห็นไม่เว้นชม ฯ |
เชิงสะพานผ่านฟ้ามรรคาแยก | เป็นเก้าแฉกไปทางไหนก็ได้สม |
ทั้งทางน้ำทางบกดกอุดม | เห็นบรมบรรพตปรากฏตา |
อีกสะพานผ่านมหาดไทยอยู่ใกล้ชิด | สร้างอุททิศถวายกษัตริย์รัชช์ที่ห้า |
ฉันสาธุอนุโมทนา | ขอรับอานิสงส์ด้วยช่วยพยุง ฯ |
เห็นห้างยอนแซมสันฉันหวั่นเหลือ | ก่อนขายเสื้อแพรผ้าราคาสูง |
เขาซื้อแต่งแข่งขันกันจรุง | ใครจะจูงฉันซื้อหรือให้ปัน |
ไม่คำนับรับประทานเป็นการเหมาะ | ใช้แล้วเหาะไปได้ไม่ใฝ่ฝัน |
ฉันสวมเสื้อร้านเจ๊กเอกเหมือนกัน | ข้อสำคัญอยู่ที่ทรัพย์ไม่ยับเยิน |
การบำรุงสินค้าพาราอื่น | ให้ครึกครื้นรุ่มรวยไม่ขวยเขิน |
ของเมืองเราไม่ยี่หระทำละเมิน | เหมือนหลงเดินทางผิดอนิจจา ฯ |
ข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศเลื่อน | ค่อยคลายเคลื่อนโทมนัสอัสนาสา |
เข้าในเขตพระนครบวรตา | เดินมาหน้าป้อมเถลิงเชิงสะพาน |
เห็นโลหะปราสาทวัดราชนัดดา | อ้นเป็นถาวรวัตถุสถาน |
ดูหน้าชมยอดสล้างอย่างพิมาน | ของโบราณไม่รักษาอนาทร |
ภายนอกยังดูดีมีสง่า | ภายในน่าเสียดายทลายสลอน |
ทิ้งไว้ช้าน่าจะพังดังกองฟอน | ปาฎิสังขรณ์กันสักทีจะดีครัน |
อันวัดนี้ก็เป็นวัดกษัตริย์สร้าง | มิควรห่างการซ่อมถนอมขวัญ |
ไว้เป็นแยบแบบไทยไปนิรันดร์ | ด้วยทุกวันแบบฝรั่งประดังมา ฯ |
ถึงถนนพระสุเมรุก็เบนร่าง | ขึ้นรถต่างนั่งกันขนานหน้า |
เดินในรางเหล็กไปด้วยไฟฟ้า | ดูปัญญาเขาช่างเลิศประเสริฐจริง |
คิดหาเงินหาทองไม่ต้องเหนื่อย | ได้เงินเรื่อยเร็วรุกไปทุกสิ่ง |
ใช้วิชาหาเงินเจริญจริง | ใช้แรงวิ่งแบกหามทำทรามการ |
กว่าจะได้แต่ละบาทเหงื่อหยาดหยด | ต้องออมอดกินเคี้ยวทั้งเปรี้ยวหวาน |
เพราะไม่มีวิชาปัญญาญาณ | น่าสงสารเมื่อยังเยาว์เฝ้าเกเร |
ไม่พากเพียรเรียนหาวิชาไว้ | ครั้นเติบใหญ่ไม่มีหลักชักร่อนเร่ |
ได้ลำบากกรากกรำเพราะหยำเป | อย่าโทษเทวดาว่าอาธรรม์ ฯ |
รถแล่นแรงเลียบกำแพงพระนคร | วัดบวรอยู่ข้างซ้ายเมื่อผายผัน |
พลางยกหัตถ์นมัสการฐานสำคัญ | พระชินสีห์มีมหันตเดชา |
ช่วยปัดป้องกองกิเลสประเภทสาม | อย่าได้ลามตามอาตม์ปรารถนา |
ขอพ้นทุกข์สุขถึงซึ่งโสดา | ชาติชราพยาธิอย่าริตาม |
พ้นสะพานเยื้องอาวาสอากาศหนาว | สะท้านร้าวกายเจ็บดังเหน็บหนาม |
ถึงตลาดประตูใหม่ใช้แทนนาม | ประตูเมืองเรืองอร่ามแต่ปางบรรพ์ |
รื้อลงหายขยายถนนกว้าง | ให้เดินทางปรีเปรมเกษมสันติ์ |
ถึงสี่แยกถนนมาชนกัน | เสียงแจจันยวดยานผ่านไปมา |
กลางถนนคนยามระวังเหตุ | ต้องส่ายเนตร์หมุนกายทั้งซ้ายขวา |
บอกอาณัติจัดทางหว่างไคลคลา | กลัวจะมาชนกันถึงบรรลัย ฯ |
เห็นโรงหนังปีนังนั่งอนาถ | โอ้คฤหาสน์เจ้าพระยามาเป็นได้ |
ก่อนจะถึงอาสัญท่านกระไร | ยกบ้านให้ผู้อื่นโดยชื่นตา |
จนหลานหลานบ้านไม่มีที่อาศัย | เราคอยให้ซึ่งความอารักขา |
ชาติเชื้อพูลสวัสดิ์สองนัดดา | อนิจจาไม่เที่ยงจริงสิ่งทั้งมวล ฯ |
ข้ามสพานเฉลิมสวรรค์ยิ่งรันทด | คิดจะงดการไปฤทัยหวล |
ด้วยโรครักหนักแปลกสุดแบกทวน | เสียแรงชวนสหายมาจำคลาไคล |
เห็นโบสถ์ใหญ่สูงศรีเป็นสี่มุข | โชติช่วงสุกแสนระยับจับไถง |
พลางประณตอดจิตไม่คิดไป | ลงรถไอทอดชีพไม่รีบรุด ฯ |
เห็นศาลฎีกา ๆ ได้ความใหญ่น้อย | ศาลก็คอยตัดสินให้สิ้นสุด |
แต่ความรักหนักในใจมนุษย์ | ทำให้ทรุดโทรมกายแทบวายชนม์ |
จะฟ้องหาอาชญาคำว่าทำร้าย | เบียดเบียนกายหมดสุขทุกขุมขน |
ก็ไม่มีศาลรับดับกังวล | ต้องนิ่งทนให้ราวีเป็นตีกลอง ฯ |
ถึงท่าช้างวังหน้าก็คลาเคลื่อน | ค่อยเดินเลื่อนลงเรือจ้างให้หมางหมอง |
ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาฝ่าคลื่นฟอง | ขึ้นปากคลองบางกอกน้อยละห้อยทรวง |
ยืนชะแง้แลลำแม่น้ำขวาง | เหมือนหมดทางที่จะตามไปห้ามหวง |
ถ้าอยู่เหนือแดนดินสิ้นทั้งปวง | จะตามหน่วงเหนี่ยวรับให้กลับมา |
นี่สุดคิดสุดปัญญาสุดสามารถ | จำนิราสห่างเหเสน่หา |
ฝากอาลัยไว้ด้วยพจน์บทสารา | ถึงสูญฟ้าสิ้นดินอย่าสิ้นคำ |
แล้วออกเดินพลางมองตามคลองแส้ | เห็นพ่วงแพนาวาออกคลาคล่ำ |
ขนสินค้าขึ้นล่องประคองทำ | เป็นท่าจำเริญจริงยิ่งทวี |
โรงกุดังคลังสินค้าหลังคายืด | ยาวเป็นพืดริมทางรางวิถี |
เดินนิยมชมถึงหน้าสถานี | ซื้อตั๋วมีครบทั่วทุกตัวคน |
ต่างหิ้วขนสิ่งของจำต้องใช้ | ขึ้นรถไฟพร้อมหน้าเสียงกาหล |
พอรถจักร์ชักช่วงพ่วงรถกล | จรดลแล่นฉิวละลิ่วลอย ฯ |
วัดบางว้าอาวรณ์ยอกรไหว้ | มาจากไกลนิ่มนวลหวนละห้อย |
ยิ่งว้าวุ่นขุ่นใจมิใช่น้อย | พลางชะม้อยชมทางให้สร่างใจ |
เห็นสองข้างทางล้วนเป็นสวนมาก | กล้วยส้มหมากชมภู่ดูไสว |
ลางสาด เงาะ มังคุด ลมุดไทย | มะเฟือง มะไฟ มะทราง มะปรางพวง |
มะกอก มะกรูด มะพูด และมะขวิด | มะเหมี่ยวชนิดแดงกร่ำจำต้องหวง |
มะดัน มะขาม มะยม มะนาวเปรี้ยวร้าวทรวง | มะพร้าว มะม่วง มะตูม กระท้อน สลอนทาง |
ทุเรียน ขนุน น้อยหน่า สาเกดก | กระรอกนกจิกเจาะเกาะสล้าง |
คนมีสวนกินสบายจนวายวาง | เพราะเพียรถางปลูกขายรวยปลายมือ ฯ |
ถึงบางระมาดใครมาตร์ปรารถนา | เสน่หาสมมาตร์สวาทหรือ |
จึงตั้งนามตำบลให้คนลือ | เหมือนฝากชื่อเสียงไว้มิให้ลืม |
บางบำหรุเหมือนบำรุงผดุงรักษ์ | สงวนศักดิ์กายวาจาพาให้ปลื้ม |
ทำความดีไว้มนุษย์ไม่หยุดลืม | ย่อมดูดดื่มนามาเวลาไกล ฯ |
ถึงตำบลตลิ่งชันกล่าวกันว่า | ฝั่งคงคาเดิมไปออกบางกอกใหญ่ |
แม่น้ำหายกลายเป็นคลองเล็กรองไป | กระนี้ใจคนหรือตั้งได้ยั่งยืน |
กระแสน้ำคมฟัดกัดตลิ่ง | ยังมีสิ่งป้องกันหลายพันหมื่น |
กระแสลมปากคมยิ่งกว่าปืน | เห็นสุดฝืนนิสัยหัวใจพาล |
ภูเขาเบี้ยวปุ่มป่ำแต่งทำได้ | แต่ปากใจมนุษย์สุดประสาน |
เห็นกงจักร์พัดหัวเป็นบัวบาน | โลหิตสร้านโทรมกายาเป็นอาภรณ์ |
ใครแนะนำพร่ำสอนเหมือนก้อนหิน | ไม่เอากลิ่นเอาคำพระธรรมสอน |
โอฆโหยกโจกโจทย์ยกโทษกรณ์ | แก่ผู้อ่อนความรู้ขู่สำทับ |
ไม่คิดเห็นเป็นเพื่อนแก่เจ็บตาย | ใช้อุบายล่อลวงคอยล้วงตับ |
สงสารคนอนาถาผู้อาภัพ | ต้องย่อยยับแทบประหนึ่งถึงชีวี ฯ |
ถึงชุมทางตลิ่งชันต้องผันผาย | จากรถถ่ายเปลี่ยนทางรางวิถี |
ต่างหยุดรออยู่หน้าสถานี | พอรถที่หัวลำโพงแล่นตรงมา |
หยุดประทับรับคนขนสิ่งของ | ขึ้นนั่งจองที่พลันต่างหรรษา |
รถเขยื่อนเลื่อนลั่นจรัลคลา | ดูทุ่งนาเรียบงามตามพื้นดิน ฯ |
ถึงบ้านฉิมพลีมีคำกล่าว | อันเรื่องราวครุฑราชปักษิณ |
อยู่พิมานฉิมพลีศรีคิรินทร์ | จะโบกบินกวักละโยชน์อุโฆษครัน |
มีร่างกายคล้ายมนุษย์แลวิหค | ผิดกับนกธรรมดาน่าพึงพรั่น |
ไม่เคยเห็นตัวจริงสิ่งสำคัญ | ช่างแกล้งกลั่นเขียนเล่นให้เห็นงาม |
รูปกินนรอ้อนแอ้นแสนวิจิตร | เป็นความคิดช่างของเราชาวสยาม |
มีชฎาอาภรณ์บวรงาม | กนกนามกินรีกระบี่ครุฑ |
สำหรับชาติอาจอวดประกวดเขา | ช่างของเราฝีมือมีดีที่สุด |
ทำของกินของใช้ได้ทุกชุด | แต่เราอุตรินักไม่รักตัว |
ชอบกินใช้ของอย่างต่างประเทศ | เป็นน่าเวทนานักหลงรักชั่ว |
อนิจาพวกเราช่างเมามัว | ถ้าหมดตัวใครเล่าหนาจะปราณี |
อันของใช้ยังเห็นจำเป็นบ้าง | จะสร้างบั้งใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ |
แต่ของกินเมืองเราถมอุดมดี | ไปจ้ำจี้ซื้อเขาให้เราเปลือง |
ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ | จะเป็นเหตุน้อยหน้านัยน์ตาเหลือง |
เงินเหมือนแก้วสารพัดไม่ขัดเคือง | ถ้าหมดเปลืองแล้วเราจะเศร้าใจ ฯ |
ถึงศาลาธรรมสพน์เคารพธรรม | พระพุทธแนะนำทางสว่างไสว |
ให้มีศีลมีธรรมในน้ำใจ | ตั้งอยู่ในพรหมวิหารเป็นการดี |
อย่าฉันทาโทษาพยาบาท | โมหะมาดมุ่งคิดให้ผิดที่ |
จะพ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดี | ทั้งชาตินี้ชาติหน้าสถาวร |
จงจดจำทำใจไว้เสมอ | อย่าพลั้งเผลอในคำพระธรรมสอน |
ประพฤติดีมีสง่าดังอาภรณ์ | อธิกรณ์สิ่งใดจะไกลตน |
พ้นสถานบ้านช่องมองตลอด | เห็นแต่ยอดข้าวงามตามถนน |
รถไฟแล่นแม้นละลิ่วปลิวลมบน | ชื่นกมลด้วยอากาศสะอาดดี |
ค่อยเสื่อมสร่างบางเบาบรรเทาโศก | ด้วยวิโยคปวดจิตดังพิศม์ฝี |
ทรมานปานจะลับดับชีวี | มาวันนี้ค่อยประเทืองชำเลืองแล ฯ |
ถึงศาลายายามีที่นี่หรือ | อยากจะซื้อยาขนานสมานแผล |
ให้หายโรคโศกสูญอาดูรแด | ก็เห็นแต่ชื่อศาลายาไม่มี ฯ |
ถึงวัดสุวรรณอันห่างจากทางรถ | ฉันประณตคิดถึงพระชินสีห์ |
ชะนามารชะนะการในโลกีย์ | เสด็จลีลาลิบสู่นิพพาน |
โอ้ตัวเรานี้หนอช่างป้อแป้ | ต้องพ่ายแพ้มารรุกทุกสถาน |
มันติดตามประจญเหลือทนทาน | กิเลสมารแนะนำให้ลำเค็ญ |
ขันธมารก็ยิ่งร้ายทำลายสุข | ต้องทนทุกข์เจ็บแค้นเป็นแสนเข็ญ |
เฝ้าเบียดเบียนร่างกายไม่วายเว้น | สุดจะเผ่นหนีด้นไปหนใด |
นอกจากทางบริสุทธิ์พุทธบัญญัติ | ก็เห็นชัดไม่มีทางที่ไหน |
จะพาตนพ้นยากวิบากใจ | ได้พ้นภัยกิเลสเวทนา ฯ |
สาธุสะข้าขอชลอบท | พุทธพจน์อันเลิศประเสริฐหล้า |
ให้ดุนเด่นเช่นศรีสุริยา | กระจ่างจ้าส่องสว่างทางนิพพาน |
คืออัฏฐังคิกมรรคเป็นหลักโลก | ได้ข้ามโอฆวังวนพ้นสงสาร |
หรืออย่างต่ำทำให้ถึงซึ่งพิมาน | สุขสำราญเพราะจำนงไม่หลงทาง ฯ |
๑. สัมมาทิฏฐิทำนิสัย | ให้เห็นภัยทุจริตดวงจิตหมาง |
เห็นเหตุเกิดทุกขะสารพางค์ | เห็นหนทางดับทุกข์เกิดสุขใจ ฯ |
๒. สัมมาสังกัปโปอย่าโมหา | จินตนาตริตรองให้ผ่องใส |
คิดแต่ชอบสอบสวนอย่าด่วนไป | เหนี่ยวรั้งใจให้สิงแต่สิ่งดี ฯ |
๓. สัมมาวาจาอย่าหยามหยาบ | กล่าวสุภาพสุจริตประสิทธิ์ศรี |
ไม่กล่าวคำทำลายสามัคคี | ถ้อยคำมีแต่ประโยชน์พ้นโทษภัย ฯ |
๔. สัมมากัมมันโตไม่โอหัง | การงานตั้งดำรงตรงสมัย |
ทำแต่ชอบประกอบมั่นทุกวันไป | ไม่เหลวไหลเกียจคร้านประจานตน ฯ |
๕. สัมมาอาชีโวหาโอกาส | เลี้ยงชีวาตม์ตามระบอบที่ชอบผล |
บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่หมองมนธ์ | กลัวเวรกรรมนำตนไปอะบาย ฯ |
๖. สัมมาวายาโมละโกสัช | เพียรกำจัดราคินสิ้นทั้งหลาย |
มิให้เกี่ยวพันตัวเกลียดกลัวอาย | เพียรแต่ฝ่ายเพียรชอบประกอบเพียร ฯ |
๗. สัมมาสติ ๆ รอบ | ระลึกชอบราบงามสิ้นหนามเสี้ยน |
สำรวมจิตคิดเป็นธรรมอยู่จำเนียร | ไม่อาเกียรณ์ฟุ้งสร้านการทั้งมวล ฯ |
๘. สัมมาสมาธิไม่ริเหตุ | สงบเจตสิกนิ่งไม่วิ่งสวน |
ละสมมุติหลุดประเภทกิเลสกวน | เหมือนตาลด้วนยอดเชิดไม่เกิดตาย ฯ |
ใครดำเนินจังหวัดทางอัฏฐัง | แม้จะยังไม่สำเร็จถึงเขตหมาย |
ก็มีหวังอย่างนับไม่กลับกลาย | สุขสบายทั้งชาตินิราศภัย |
ไปชาติหน้าอานิสงส์ก็ส่งเสริม | ไม่เคลิบเคลิ้มหลงผิดทางทิศไหน |
สุจริตจิตสงัดเป็นปัจจัย | จะนำให้ข้ามโอฆสิ้นโรครึง |
อันความเกิดยับแย่ล้วนแลเห็น | จะเกิดเป็นชนิดใดภัยย่อมถึง |
มียศทรัพย์นับล้านสท้านอึง | ไม่พ้นซึ่งกระแสแก่เจ็บตาย |
มีชีวิตทุกคนต้องทนยาก | หาใส่ปากทำรุงท้องใช่ของง่าย |
ต้องทนร้อนทนเปียกตะเกียกตะกาย | กว่าจะวายชีวาระอาใจ ฯ |
นั่งตรอง ๆ ถึงคลองมหาสวัสดิ์ | โทมนัสหม่นหมองไม่ผ่องใส |
ขอจงเหมือนนามตำบลให้พ้นภัย | สวัสดีมีชัยทั้งไปมา |
พลางนั่งอิงพิงข้างหน้าต่างรถ | ยิ่งรันทดหวลให้อาลัยหา |
เคยนั่งมาด้วยกันกับขวัญตา | จำนรรจาชี้ชมภิรมย์ทรวง |
มาครั้งนี้มิได้ยลวิมลพักตร์ | อันความรักความเสียดายไม่หายห่วง |
เหลือจะร่ำรำพรรณตื้นตันทรวง | เพื่อนเธอท้วงชวนให้ใจประเทือง |
ดูทุ่งนากว้างใหญ่สุดสายเนตร | สองข้างเขตรถไฟอำไพเหลือง |
คนกราวเกรียวเกี่ยวข้าวกันนองเนือง | ดังเป็นเครื่องสนุกไม่ทุกข์ร้อน |
บ้างร้องเพลงโอ้ร่ายไฉนสาว | ช่วยเกี่ยวข้าวให้วันตั้งพันฟ่อน |
ช่างไม่คิดไม่รักยังควักค้อน | จะต้องถอนต้นรักปลูกผักชี ฯ |
ฝ่ายหญิงร้องตอบชายไฉนหนุ่ม | ทำใจน้อยคอยกลุ้มจะแหนงหนี |
จงช่วยน้องเกี่ยวข้าวอีกเก้าปี | จะยินดีรับรักไม่ผลักเลย |
ถึงร่างกายตรากตรำขยำทุกข์ | แต่ใจสุขแสนสบายหญิงชายเอ๋ย |
แม้ร่างกายฉายเฉิดจะเลิศเลย | ไม่สะเบยหัวใจไม่สำราญ |
เป็นกุศลหนหลังประทังไว้ | เราจึงไม่เกิดยังป่าทำนาสถาน |
ปลูกอะไรก็ไม่ยากลำบากปาน | เหมือนหนึ่งการปลูกข้าวน่าเศร้าใจ |
พอเริ่มต้นฝนกระจายนำควายออก | เอาเชือกหนังทั้งปลอกผูกแอกไถ |
ตามกระบือถือคันดันดินไป | เท้าจมในน้ำดินลุยปีนโคลน |
บ้างน้ำกัดเท้าเปื่อยเจ็บเมื่อยล้า | ต้องอุส่าห์เขย่งเบนไม่เผ่นโผน |
บางทีพลาดขะมำโอ้หัวโนโปน | ดังทโมนทมิฬแทบสิ้นลม |
ครั้นไถคราดกวาดหญ้าตกกล้าไว้ | ถ้าน้ำไม่มีเลี้ยงเสียงขรม |
ต้องวิดน้ำเข้านาตาระบม | โตแล้วงมถอนขึ้นมัดตัดยอดทิ้ง |
แล้วหอบกล้าหน้าม่อยไปคอยปลูก | เท้าก็ถูกมือก็โดนโคลนแทบกลิ้ง |
ลุยเลนตมก้มหลังทั้งทากปลิง | กัดก็นิ่งทนทำยังค่ำไป |
ถ้าข้าวงามน้ำดีค่อยมีชื่น | น้ำแห้งตื้นทุกข์ร้อนเป็นก้อนใหญ่ |
ถีบระหัดพัดน้ำเช้าค่ำไป | ข้าวบัลลัยยากจนป่นปี้ลง |
ที่ข้าวงามน้ำนองต้องท่องเกี่ยว | มือเท้าเหี่ยวอกแห้งเป็นแป้งผง |
ต้องแบกขนเลื่อนควายไปถ่ายลง | แล้วนวดสงโรยลมแทบล้มตาย |
อันบุญคุณของชาวนาอุตสาหะ | ไม่เลยละปลูกข้าวเราทั้งหลาย |
จึงได้มีความสุขสนุกสบาย | เหลือกินขายออกเขตประเทศไกล |
ได้เงินทองกองทรัพย์นับด้วยโกฏิ์ | เป็นประโยชน์ทั่วชีผู้ดีไพร่ |
มีสิ่งของนองเนืองเครื่องวิลัย | เหมือนข้าวไปแลกมาสารพัน |
คนทำนาเหนื่อยอ่อนเปรียบช้อนหอย | แกงอร่อยก็ไม่รู้รสดูขัน |
ผู้กินกลืนชื่นสำราญหอมหวานมัน | ไม่คิดคันช้อนส่งได้ลงคอ |
เหมือนก่อตึกต้องใช้ไม้นั่งร้าน | พอเสร็จการรื้อทิ้งเสียจริงหนอ |
อุปถัมภ์ล้ำเลิศเชิดหน้าจอ | ปั้นเป็นหม้อก่อบันใดไม่ได้คิด |
อวดตัวดีมีเองตะเบงขู่ | ทำหลบหลู่กลบเกลื่อนเงื่อนสนิท |
คนไม่รู้ผีย่อมรู้อยู่ทุกทิศ | ไม่มีจิตกตเวทีนีระคุณ |
เดชะพระพุทโธอะโหสิ | ไม่ขอริตอบร้ายให้วายวุ่น |
ใครจะคิดฤษยาทำทารุณ | ขอแบ่งบุญให้เสร็จแผ่เมตตา |
รถไฟหยุดอุตลุดคนลงหลาย | ตำบลวัดงิ้วรายอยู่ฝ่ายขวา |
มีท่าเรือไฟคอยถอยนาวา | รับบรรดาคนไปส่งตามวงคลอง |
บ้างก็มาขึ้นรถไฟไปด้วยกัน | เสียงแจจันกังวลหิ้วขนของ |
นั่งละเมียดเบียดกันอยู่ดูทำนอง | เหมือนพี่น้องร่วมทางไม่หมางใจ ฯ |
ถึงสะพานราชินีองค์ที่ห้า | สร้างไว้กว่ายี่สิบปียังดีได้ |
รถพ่วงหลามข้ามมหาชลาลัย | นครชัยศรีสวัสดิ์วัฒนา |
เห็นน้ำใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวคลื่น | ต่างคนยืนชมซ้ายแล้วย้ายขวา |
มีแพเรือจอดสะพรั่งฝั่งคงคา | ดูน่าผาสุขสำราญสถานทาง |
ทั้งอุดมส้มโอนครชัยศรี | เป็นรสดีกว่าที่ไหนหมดไม่หมาง |
ข้าวก็ดีที่หนึ่งไม่ครึ่งกลาง | มีหลายอย่างหอมหวลให้ชวนกิน ฯ |
อันนครชัยศรีบูรีเก่า | มีผู้เล่าหลายต่อก่อถวิล |
ว่าเดิมทีมีกษัตริย์ครองปัถพิน | พระนามศิลป์วิชัยไทยบูราณ |
รุ่งเรืองพระเดชาอาณาจักร์ | ถึงต้นน้ำป่าสักอรรคฐาน |
มีปัญจามหานทีธาร | สมัยกาลพุทธพรรษาว่าไม่ไกล |
ทรงศรัทธาบริสุทธิ์พุทธศาสนา | สร้างมหาสถูปอารามความเลื่อมใส |
ทั้งพระแท่นดงรังตั้งพระทัย | ถาวรไว้นานนับชั่วกัปล์กัลป์ |
มีพระแท่นบรรทมบรมพุทธ | เมื่อวิมุติ์ขาดเช่นเบ็ญจขันธ์ |
สู่นิพพานดาลโลกโศกรำพรรณ | ได้ชวนกันบูชาอนุสาวรีย์ |
พ้นสะพานสถานถิ่นพื้นดินสูง | รถไฟจูงรถเป็นแถวแนววิถี |
รู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวเสียวฤดี | นั่งทวีถวิลหาสุดอาลัย ฯ |
ถึงบ้านเขมร ๆ เคยชะเลยเรา | ส่งมาเจ่าอยู่ต่างห่างกรุงใหญ่ |
มีบุตรหลานกลายตนเป็นคนไทย | เพราะอาศัยพระบรมโพธิสมภาร |
ไม่เลือกชาติศาสนาเมตตาทั่ว | จึงตั้งตัวกันได้ออกไพศาล |
ซื้อก็ง่ายขายก็คล่องตามต้องการ | สุขสำราญทั่วหน้าภาราไทย |
แต่ตัวฉันสุขกายแต่ภายนอก | ภายในชอกช้ำจิตผิดวิสัย |
กินอะไรไม่มีรสหมดทั่วไป | นั่งที่ใดก็กระด้างอย่างศิลา |
ยืนที่ใดก็ไม่ตรงงวยงงคิด | เมื่อยามนิทร์ก็เพ้อละเมอหา |
ยามเดินเหมือนเดินบนหนามช้ำบาทา | ดูอะไรให้ระอาน้ำตาคลอ |
ฟังอะไรก็ไม่เพราะเสนาะหู | เหมือนมาขู่ตวาดให้หัวใจฝ่อ |
มีแต่ความกำสรดระทดท้อ | จะตายก็ไม่ตายช่างร้ายจริง |
ฝืนอารมณ์ข่มจิตชนิดใด | มันก็ไม่มีสุขเสียทุกสิ่ง |
ดังหาเลือดแก่ปูสุดรู้จริง | ต้องทนนิ่งนั่งมองตามช่องแกล |
เห็นสาว ๆ ชาวนาน่าสงสาร | ต้องทำงานกลางแดดซึ่งแผดแจ๋ |
หน้าเกรียมดำลำบากเหนื่อยยากแท้ | ไม่เชือนแชอุตส่าห์นักน่ารักจริง |
ที่หน้าขาวนวลละอองดังกองแป้ง | เอาแต่แต่งตัวไม่รักงานสักสิ่ง |
ดูเป็นน่าเกลียดมากเหมือนทากปลิง | ไม่น่าอิงแอบถนอมของปลอมแปลง |
ทุกวันนี้นิยมยิ่งหญิงขยัน | มีเงินทองของสำคัญอันหลักแหล่ง |
ว่างามเหมาะเพราะมิพักต้องหนักแรง | รูปสวยแฉ่งเพียงแขก็แพ้ทรัพย์ |
ความชั่วแพ้ความดีเจ้าพี่เอ๋ย | ความร้อนเคยแพ้ความเย็นเป็นลำดับ |
คนเกียจคร้านแพ้คนหมั่นขยันยับ | ความเท็จนับเที่ยงแท้แพ้ความจริง |
ทุจริตแพ้ข้อบริสุทธิ์ | ไม่ควรอุตริฝืนให้คืนสิ่ง |
ธรรมชาติประสาทไว้มิให้ทิ้ง | ใครกลอกกลิ้งผันแปรก็แพ้ธรรม |
ยิ่งตรอง ๆ หมองไหม้ฤทัยท้อ | นั่งงอก่อเบื่อหน่ายไม่วายพร่ำ |
คิดเห็นบ้างอย่างไรเขียนไว้จำ | มิให้คำสูญหายเก็บไว้ชม |
ระยะทางปางนั้นเป็นฉันใด | จะมิให้ลืมคิดสนิทสนม |
เมื่อใคร่รู้ดูนิราศคลาศอารมณ์ | ของนามส้มจีนดูคงรู้ดี |
ขอเทวัญชั้นฟ้ารักษาด้วย | แม้นข้าม้วยร่างกายตายเป็นผี |
แต่ถ้อยคำน้ำจิตคิดอารี | ให้อยู่มีพรรษาชั่วฟ้าดิน |
ไม่มีชื่นฝืนดูภูมิภาค | ประหนึ่งฉากเลื่อนให้ชมสมถวิล |
ฝูงวิหคร่อนเร่บนเมฆิน | บ้างลงกินข้าวเขาไล่บินไปมา |
เห็นบัวหลวงตระการบานแฉล้ม | บ้างตูมแย้มแลสล้างดังเลขา |
ทั้งบัวสายหลายสีน่าปรีดา | โสนกลาดดาษดาดังทาทอง |
ภุมรินบินชมภิรมย์รส | พอกลิ่นหมดก็จรัลผันผยอง |
ไม้ใดดกนกก็ตรงลงประคอง | อันทำนองมิตรสหายก็คล้ายกัน |
ยามมั่งมีบุญญามาประจบ | สิ้นบุญหลบหน้าเมินสะเทิ้นหัน |
แต่เห็นมาไม่น้อยนับร้อยพัน | หากินกันทางประจบให้สพใจ |
รวยลาภผลคนรู้ก็ดูหมิ่น | ว่าคนสิ้นสามารถขาดนิสัย |
มาถึงท่าแฉลบให้แปลบใจ | ช่างตั้งไว้ชื่อแฉลบก็แยบคาย |
เดิมว่าว่าวจุฬาคว้าปักเป้า | มิได้เข้าเหนียงแนบแฉลบหาย |
ปักเป้าแอบแฉลบอกเลยตกตาย | จึงไม่วายเรียกชื่อถือกันมา |
อันโบราณสถานที่ย่อมมีเหตุ | จึงเรียกเขตนั้นเป็นชื่อไว้สื่อหา |
สำหรับจำตำบลสนทนา | จะไปมาอยู่แห่งตำแหน่งใด ฯ |
ถึงสำโรงเห็นที่มีตลาด | แต่ขนาดพอพากันอาศัย |
เห็นศาลเจ้าเขาบูชาพวงมาลัย | วอนว่าให้อวยพิพัฒน์สวัสดี ฯ |
มาถึงพระปฐมอุดมสถาน | สูงตระหง่านหว่างฟ้าจักรราศี |
พลางบังคมพระปฐมเจดีย์ | เชื่อว่ามีบรมธาตุพระศาสดา |
บรรจุไว้เคารพอบภิวาท | เกิดประสาทเลื่อมใสใจหรรษา |
แต่ใครสร้างก่อนยังแหนงแคลงวิญญา | หลายตำราเถียงกันไม่มั่นคง |
แต่พระบาทรัชกาลที่สี่เสริม | ก่อเพิ่มเติมตามพระราชประสงค์ |
ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ | จัดบรรจงแต่งทำสัมฤทธิการ |
ทั้งขุดคลองแต่แม่น้ำนครชัยศรี | จนถึงที่ปูชนียสถาน |
บูชาองค์พระปฐมเพิ่มสมภาร | พระราชทานนามมีเจดีย์บูชา |
รัชกาลที่ห้าก็ปราโมทย์ | พระทรงโปรดให้ระบายลายเลขา |
ประดับกระเบื้องเรื่องระยับจับเมฆา | สถาปนาระเบียงเฉลียงงาม |
รัชกาลที่หกก็ยกย่อง | ก่อเขาป้องชั้นล่างวางสนาม |
สร้างถนนราชดำเนินให้เดินตาม | สบายงามฉลุเฉลิมเติมศรัทธา ฯ |
ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองตามของเก่า | หนุ่มสาวเด็กผู้ใหญ่ใจหรรษา |
ตั้งพันหมื่นชื่นชมนิยมมา | น้อมวันทาดาษดื่นดูครื้นครึก |
ขึ้นบันไดใหญ่สูงจูงลูกหลาน | ขึ้นบนลานเจดีย์ไกลใจเต้นตึก |
จุดธูปเทียนบูชาโอฬารึก | มะโหรทึกสังข์แตรแซ่ประโคม |
สมโภชองค์พระปฐมบรมธาตุ | โดยประสาทเลื่อมใสฤทัยโสม |
มนัสนักทักษิณไสวจุดไฟโคม | บ้างโห่ร้องก้องพะโยมโน้มบูชา |
สนามจันทร์นั้นแลเห็นแต่สถาน | คิดถึงกาลก่อนนั้นกระสันหา |
เคยเห็นพร้อมจอมมงกุฎทรงยุทธนา | ซ้อมเสือป่าให้ชำนาญการชิงชัย |
โอ้สิ้นบุญทูลกระหม่อมพระจอมเกศ | มาเห็นเขตวังพาน้ำตาไหล |
ยิ่งคิดยิ่งเห็นเป็นภาพปลาบทรวงใน | เธอเคยได้ตามพระบาทราชดำเนิน |
เสด็จยังพระที่นั่งตั้งประทับ | หลาย ๆ สัปดาห์สนุกไม่ฉุกเฉิน |
พิทักษ์บาทราชการมานานเกิน | อายุเดินหกสิบพอดิบพอดี |
จึงทูลลาฝ่าละอองสนองบาท | ทรงราชานุญาตจากหน้าที่ |
พระราชทานบำนาญเที่ยงเลี้ยงชีวี | กึ่งหนึ่งที่เคยได้รับสำหรับกาย |
เลื่อนบรรดาศักดิใหม่ให้สำเร็จ | เป็นเขื่อนเพ็ชรเสนาสง่าหลาย |
ได้นั่งนอนผ่อนตามความสบาย | จนชนม์วายล่วงลับไม่กลับมา |
โอ้สถานฟุ้งเฟื่องดังเมืองแมน | มาเงียบเหงาเศร้าแสนประหนึ่งป่า |
ตลึงเล็งเพ่งพิศอนิจจา | ชั่วเวลาผ่านข้ามเพียงสามปี |
ยังเสื่อมคลายได้เห็นเป็นสังเวช | คิดพระเดชพระคุณอุ่นเกศี |
ดังชนกปกเกล้าชาวบุรี | สวัสดีพ้นครั้งฝรั่งภัย |
พระปรีชาพาประเทศข้ามเขตร้าย | สุขสบายตามกันไม่หวั่นไหว |
พระโปรดเกล้าเหล่ามหาเสนาใน | น้ำพระทัยยิ่งกว่าท่านเวสสันดร |
ผู้ใดขอเงินบ้านประทานสิ้น | ได้อยู่กินภิญโญสโมสร |
พระทรงสร้างบารมีทวีกรณ์ | เสร็จแล้วจรสู่สถานวิมานฟ้า ฯ |
ถึงตำบลโพรงมะเดื่อ ๆ เอ๋ย | กระไรเลยถนอมรักเป็นหนักหนา |
เห็นแต่ภายนอกดีสีโสภา | ภายในมาเป็นแมลงหวี่มีมลทิน |
ทั้งปีกกล้าขาแข็งมาแว้งต่อย | คิดบ้างหน่อยเป็นไรใจปักษิณ |
ถ้าไม่อบรมประคองให้ผ่องภิญญ์ | มิจมดินไหนจะได้เป็นกายมา ฯ |
ถึงบางตาลต้นตาลตระหง่านล้ำ | ไม่งามขำขาดสิ่งกิ่งสาขา |
แต่น้ำฉ่ำกล้ำกลืนชื่นอุรา | รสโอชาหวานชิดสนิทจริง |
ถ้ารูปชั่วใจดีมีศีลสัตย์ | ก็ควรจัดว่าเลิศประเสริฐยิ่ง |
ไม่ย้อนยอกกลอกกลับเที่ยวจับทิ้ง | จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ดี ฯ |
ถึงหนองปลาดุกชุกชุมคนสุ่มตัก | ปลารู้จักรักชีวิตคิดด้นหนี |
เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตคิดดูที | รักชีวีรักตัวกลัวเจ็บตาย |
การเบียดเบียนเลือดเนื้อเขาเกื้อตัว | เป็นการชั่วหรือไม่นั้นท่านทั้งหลาย |
ตรองดูเถิดเกิดวิชาระอาอาย | จะซื้อขายคิดทำแต่สัมมา ฯ |
ถึงหลักตอกบอกทางหกสิบเอ็ด | กิโลเมตรศัพท์ฝรั่งต่างภาษา |
เห็นถนนผ่านทางระหว่างคลา | มีนามว่าทรงพลเชื่อมหนทาง |
แต่บ้านโป่งถึงนครปฐม | พระบรมกษัตริย์ดำรัสสร้าง |
สำหรับทรงยุทธนาเสือป่าปาง | ทรงเหยียบย่างนำพหลซ้อมรณรงค์ |
เดี๋ยวนี้เหล่าชาวประชาได้อาศัย | สินค้าไปมาตามความประสงค์ |
มีรถยนต์วิ่งดื่นจะขึ้นลง | ก็รับส่งตามประเภทเจตนา ฯ |
ถึงสถานบ้านโป่งคนลงมาก | รถยนต์หลากไม่น้อยจอดคอยท่า |
ถนนทางกว้างใหญ่ใช้ศิลา | เรียบดังหน้าเภรีทำดีงาม |
ตลอดย่านไปกาญจน์บุรีได้ | บ้างมาไปสับสนคนล้นหลาม |
รถหยุดสิบนาฑีพอดีความ | ลงเดินตามทางเล่นเพื่อเย็นใจ |
แล้วกลับขึ้นรถนั่งตั้งสติ | ประเดี๋ยวนิวรณ์กลับบังคับได้ |
เห็นโน่นนี่ชี้นำตระหน่ำไป | มิให้ได้ความสงบเฝ้ารบกวน ฯ |
ถึงตำบลนครชุมยิ่งกลุ้มจิต | ชุมนุมกิจการอะไรอยากไต่สวน |
ชุมนุมช่วยฉันบ้างให้ห่างครวญ | เชิญประมวลกรุณามาชลอ ฯ |
ถึงคลองตาคด ๆ คลองยังมองเห็น | ใจคดเป็นคมเคียวคดเลี้ยวหนอ |
จะมองเห็นอย่างใดในใจคอ | เป็นน่าท้อถอยพิศพินิจใจ |
ร้ายอะไรไม่เท่าเหล่ามนุษย์ | ปากเป็นพุทธใจเป็นพิษบิดไถล |
ดีอะไรไม่เท่ามนุษย์สุทธิใจ | โลกอยู่ได้เพราะคนดีมีปัญญา ฯ |
ถึงสถานีโพธารามคิคความครั้ง | โพธิบัลลังก์เพริดพริ้งกิ่งสาขา |
ถวายร่มสมเด็จพระศาสดา | สำเร็จปรมาภิเษกเป็นเอกองค์ |
ลูกหลานโพธิโตใหญ่ที่ไหนบ้าง | ชนก็ยังปลาบปลื้มไม่ลืมหลง |
นับถือเป็นไม้สำคัญอันมั่นคง | ไม่ฟันลงใช้การสถานใด ฯ |
ตำบลโพธารามสนามตั้ง | บ้านสะพรั่งคนผู้ดูไสว |
มียุ้งข้าวยาวรีโรงสีไฟ | ตลาดใหญ่ข้าวปลามาประชุม |
พ่อค้าใหญ่ใครเล่าหนอล้วนพ่อเจ๊ก | รับซื้อเล็กน้อยไปจากไทยกลุ้ม |
เหมือนต่อด้ายสายปั่นรวมกันรุม | ม้วนเป็นกลุ่มเป็นก้อนต่างนอนกิน ฯ |
โอ้อกเราชาวไทยไฉนหนอ | ใจไม่จ่อจดพ่อค้าน่าถวิล |
อยากจะเป็นแต่ขุนนางสำอางอินทรีย์ | ถึงอยู่กินอัตคัดไม่อัดใจ |
สู้อดทนจนจ่องอก่องอขิง | ไม่ตรองสิ่งที่เขาทำกรรมไฉน |
คิดแต่จ่ายไม่คิดทำหากำไร | ถึงสมัยแล้วนะท่านชวนกันเร็ว |
มัวโอ้เอ้เวลาเขาคว้าหมด | จนต้องอดหมดคำเป็นน้ำเหลว |
การค้าขายไม่ควรตรองเป็นของเลว | รีบตั้งเอวตั้งข้อท้อแท้ไย ฯ |
ถึงเจ็ดเสมียน ๆ ร่ำทำบัญชี | ว่ากุมภีชุมดังมดจดไม่ไหว |
บางถ้อยคำว่าทำสังคายนัย | จริงทางใดไม่มีหลักชักเรรวน |
ตำบลนี้ก่อนหน้าเป็นป่ารก | จีนถางยกทำไร่ใช้เป็นสวน |
ปลูกกล้วยอ้อยน้อยหน่าพุดซาล้วน | ประโยชน์ส่วนตัวก็งามไปตามกัน |
เมืองไทยเราพสุธาป่าหญ้ามาก | ทิ้งไว้ให้ตากแดดเปล่า ๆ เราไม่ฝัน |
ความยากจนร่นรุกเข้าทุกวัน | ไม่ช่วยกันถางปลูกลูกหลานเรา |
จะอยู่กินอะไรที่ไหนนั่น | พวกจีนบรรทุกมาอยู่เป็นภูเขา |
ขยันมากถากทำทุกลำเนา | เป็นของเขาไปหมดเราอดตาย |
จะโกรธาด่าแช่งว่าแย่งทำ | ก็เราคลำอะไรอยู่รู้ง่าย ๆ |
บ้านของเราให้เขามาลอยชาย | เป็นน่าอายอดสูเขาดูแคลน |
เชื่อฝรั่งสั่งสอนเตะบอลล์เถิด | จะบังเกิดกล้ามเนื้อนั้นเหลือแสน |
ลูกขนไก่ใช้ตะแกรงแกว่งตีแทน | หนุ่มสาวแล่นตามคำเขารำพัน |
ลงทุนซื้อเครื่องเล่นเห็นสนุก | ไม่ต้องทุกข์ถูกหรือแพงจะแข่งขัน |
พ่อหรั่งขายได้ยิ่งนั่งยิงฟัน | เหมือนช่วยกันส่งดอกเบี้ยเขาเสียแรง |
ต้องละทิ้งการบ้านทะยานเล่น | เหงื่อตกเป็นน้ำฝนหน้าหม่นแห้ง |
ทั้งหิวหอบบอบช้ำเห็นดำแดง | บางคนแข้งขาหักแทบดักดาน |
ช่างหลงเชื่อเนื้อจะเกิดเพราะเชิดร่าง | ข้าวแกงต่างหากเกื้อเกิดเนื้อหาญ |
อันเมืองเขาหนาวล้นเหลือทนทาน | จึงต้องการความร้อนให้ผ่อนเบา |
อากาศเมืองของเราร้อนอ้าวอบ | ยังจะคบความร้อนมาป้อนเผา |
ทั้งบรั่นดีวิสกี้ว่าดีเอา | ไส้พุงเน่ายังไม่นึกรู้สึกกัน |
อีกบุหรี่กระดาษขาวหนุ่มสาวชอบ | ช่วยกันหอบเงินของเราเผาให้ท่าน |
ถูกทางอ้อมล้อมรอบเป็นขอบคัน | จะเหลือกันแต่เปลือกกระเดือกกลืน ฯ |
โอ้อนาถวาสนาชะตาเรา | หรือเวรเก่านิยมให้ชมชื่น |
เห็นนรกเป็นสวรรค์ทุกวันคืน | หลับไม่ตื่นลืมตาเลยมนุษย์ |
เอาแต่เล่นเผ่นโลดกระโดดแข่ง | ให้เปลืองแรงเปลืองเวลาปัญญาหยุด |
ครั้นเหน็ดเหนื่อยเมื่อยอ่อนลงนอนซุด | คนเราหยุดกินได้เมื่อไรมี |
ถ้าเอาแรงที่เสียไปใช้ฟันดิน | เพาะปลูกกินอิ่มเอมเกษมศรี |
เหลือกินขายได้ทรัพย์นับทวี | ทั้งได้ที่ดินต้องเป็นของเรา |
ความสนุกสบายทั้งหลายเอ๋ย | ไม่อยู่เลยกับคนที่จนเขลา |
ผู้ใดดีมีปัญญาหาทรัพย์เอา | ก็อยู่เต้าตามกายจนวายปราณ ฯ |
ถึงบ้านกล้วยยามจนทนกินกล้วย | ไม่สำรวยกันอย่างมะปรางหวาน |
สงบเสงี่ยมเจียมใจไม่ทะยาน | รู้ประมาณรายได้รายจ่ายจร |
หาน้อยใช้มากจะยากยับ | เหมือนบั่นสับร่างกายตัวหลายท่อน |
ต่อไม่ติดจิตใจดังไฟฟอน | ต้องเดือดร้อนรับโทษโกรธเอาใคร ฯ |
ถึงเขตราชบุรีต่างดีจิต | เพ่งพินิจโขดเขินเนินไศล |
เหมือนเมฆตั้งบังแสงอโนทัย | ดูไกล ๆ เรียงกันบรรพตา |
พื้นแผ่นดินแห้งหายเป็นทรายฝุ่น | มี่ไร่นุ่นมะขามตามประสา |
ปลูกไว้ใช้ขายบ้างอย่างธรรมดา | ไม่ตั้งหน้าปลูกทำหากำไร ฯ |
เห็นโรงทหาร ๆ ตั้งฝั่งเมืองเก่า | กำแพงเล่าใบเสมาสง่าไสว |
ทหารพร้อมซ้อมฝีมือถือปืนไฟ | ให้เกรียงไกรชำนาญการณรงค์ |
ฉวัดเฉวียนเปลี่ยนกองประลองยุทธ | หนึ่งสมมุติเป็นข้าศึกฝึกประสงค์ |
ฝ่ายหนึ่งรุกฝ่ายหนึ่งรับสับปืนตรง | กวัดแกว่งธงสัญญาสง่างาม |
ควรคิดเห็นเป็นทหารชำนาญไว้ | มนุษย์ไทยทั่วสิ้นแผ่นดินสยาม |
เพื่อมีเรื่องเคืองข้องต้องสงคราม | ไม่ครั่นคร้ามอ่อนแอยอมแพ้ใคร |
รักษาชาติศาสนามหากษัตริย์ | ให้จรัสจำรูญพูนสมัย |
จะเกิดมาตายเปล่าเอาอะไร | เสียข้าวไปมากนักหนักแผ่นดิน |
ต้องทำบุญคุณประโยชน์อุโฆษไว้ | จึงจะไม่เสียชาติเกิดประเสริฐสิ้น |
เป็นตัวอย่างวางไว้ในปัตพิน | เป็นที่จินตนานำความวิลัย ฯ |
ถึงสะพานจุฬาลงกรณ์สะท้อนดัง | ข้ามฟากฝั่งตำบลมณฑลใหญ่ |
ไม่หยุดส่งทรงเฉยแล่นเลยไป | เพราะเกรงภัยสะพานไม่ทานแรง |
ครั้นถึงสถานีที่หยุดรถ | นามปรากฏราชบุรีเป็นที่แจ้ง |
ลงรถไฟขึ้นรถม้าราคาแพง | ย้อนมาแห่งสะพานใหญ่ลอดไคลคลา ฯ |
ถึงจวนพระยาอรรถการยบดี | ตำแหน่งมียศเด่นเป็นเทศา |
มณฑลราชบุรีผู้ปรีชา | อรรถจินดานามสกุลจรูญเรือง |
ทั้งคุณหญิงของท่านเหมือนฉันท์ญาติ | ให้โอกาสริมกระแสพักแพเขื่อง |
เที่ยวทางบกทางน้ำเช้าค่ำเนือง | ค่อยประเทืองความเหงาเศร้าอุรา |
ยี่สิบเจ็ดเก้านาฬิกาครึ่ง | รถสิบล้อมาถึงบ้านเทศา |
ก็ขนของสำรองทางพนา | ท่านเทศาภรรยานั่งหน้ารถ |
นายอำเภอนายตำรวจอยู่ซ้ายขวา | ท่านไคลคลาไปตรวจชนบท |
พวกเราอาศัยไปที่ในรถ | รวมทั้งหมดเบ็ดเสร็จสิบเจ็ดคน |
รถเลียบริมแม่น้ำตามตลาด | ตึกแถวยาวขาวสะอาดริมถนน |
ห้องแถวมากหลากหลามงามถกล | ทั้งผู้คนขายซื้อกันอื้ออึง |
ทั้งรถยนต์รถม้าไปมาไขว่ | ถนนซอยน้อยใหญ่ไปมาถึง |
กันตลอดปลอดภัยใจรำพึง | สถานซึ่งทำงานการบ้านเมือง |
สง่างามความสะอาดอากาศโปร่ง | โรงเรียนโรงโหรสพครบทุกเรื่อง |
ทั้งไฟฟ้าอนามัยโรคภัยเปลือง | ช่างรุ่งเรืองเจริญเพลิดเพลินจริง |
ทั้งผู้คนก็ระเบียบดูเรียบร้อย | ล้วนแช่มช้อยเด็กผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง |
ดูกลมเกลียวเหนี่ยวรั้งไม่ชังชิง | พร้อมซึ่งสิ่งสามัคคีอารีรักษ์ |
ความสามารถปกครองของเทศา | จึงสวัสดิ์วัฒนาเห็นประจักษ์ |
ราชการดำเนินเดินพร้อมพรัก | เพราะสมัคสโมสรไม่ร้อนรน |
รถเลี้ยวเวียนเปลี่ยนทางระหว่างบ้าน | ออกสถานหลังเมืองเนืองถนน |
ไปตามทำนบตั้งบังสายชล | จรดลข้ามทุ่งมุ่งทางเกวียน ฯ |
ถึงตำบลเจดีย์หักให้หนักจิต | เจดีย์อิฐปูนก่อทั้งสอเขียน |
ยังหักลู่อยู่ไปไม่จำเนียร | แต่รักเวียนอยู่ในใจหักไม่ลง |
แข็งอะไรก็ไม่แข็งเท่าแรงรัก | สุดจะหักห้ามให้หายอาลัยหลง |
ร้าวระทมตรมจิตดังติดกรง | จะปลดปลงเสียเพราะหักรักไม่คลาย ฯ |
ถึงตำบลเขางูเห็นภูผา | เทียมเมฆายาวยืดเป็นพืดสาย |
ตามเชิงเขาบ้านชาวนาน่าสบาย | วิเวกกายหาเพียงพอเลี้ยงกัน |
ปลูกข้าวกล้วยรวยกินแล้วสิ้นทุกข์ | ครอบครัวสุขเหมือนได้ผ่านวิมานสวรรค์ |
อยู่ที่ใดไร้อาหารการสัมพันธ์ | เหมือนอยู่ชั้นชำเลอะเวจี |
รถวิ่งข้ามคันนาป่าละเมาะ | กระเทือนกระเทาะกายนั่งไม่ตั้งที่ |
สะท้อนสะท้านน่าหัวเราะดังเดาะคลี | ดูกายีกันสนุกเหมือนตุ๊กตา |
นั่งล้มลุกคลุกงอหัวร่อก้อง | รถเลี้ยวล่องทางเกวียนเวียนซ้ายขวา |
พื้นดินเป็นฝุ่นตระหลบฟุ้งนภา | เข้าหูตาจมูกปากบ้างขากคาย |
บ้างปิดปัดกลัดผ้าคลุมหน้าหัว | ตามเนื้อตัวฝุ่นขาวราวกับฝ้าย |
พื้นสูงต่ำทำให้นั่งไม่ตั้งกาย | รถโขยกโยกย้ายกันไปมา |
เราสวมหมวกแว่นตาจึงกล้าฝุ่น | ทั้งหม่อมปุ่นคุณหญิงอรรถมนัสสา |
อีกพ่อเจียกแม่จวนล้วนปรีดา | ทั้งที่มาเบ็ดเสร็จสิบเจ็ดคน |
สำราญใจกายลำบากไม่อยากทุกข์ | เป็นสนุกด้วยไม่เคยเลยสักหน |
ดูลำเนาเขาเขินเพลินกมล | จนรถยนต์หยุดที่มีศาลา |
มีผู้ใหญ่บ้านระวังยืนตั้งแถว | ท่านเทศาลงแล้วจากรถา |
ต่างลงจากรถพลันมิทันช้า | ปัดกายาฝุ่นละอองให้ผ่องพรรณ |
พอเจ้าคุณขึ้นนั่งยังศาลา | พวกเราพากันขึ้นพักไม่ลักลั่น |
ท่านไต่ถามทุกข์สุขอุกฉกรรจ์ | ลูกหลานนั้นปลูกฝีขึ้นดีฤๅ |
หมอเขาบอกออกมาปลูกลูกชาวไร่ | ไม่ใคร่ยอมพร้อมใจกระไรหรือ |
เชื่อเขาถูกปลูกเสียได้วางใจคือ | ฝีไม่รื้อขึ้นกายจนตายไป |
ผู้ใหญ่บ้านพันผูกพาลูกหลาน | มาเคารพพบท่านผู้เป็นใหญ่ |
ดูเด็ก ๆ เนื้อหนังรังขี้ไคล | ไม่แจ่มใสซูบผอมกระมอมกระแมม |
ด้วยน้ำท่าหายากต้องบากบั่น | ไปตักกันไกลท่าฝ่าดงแขม |
ต้องประหยัดขัดสนคอยฝนแกม | ไม่ชื่นแช่มน่าสังเวชเขตกันดาร |
ท่านเทศาคลาไคลไปขึ้นรถ | พร้อมกันหมดปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ |
เข้าปากช่องไพรสณฑ์รถยนต์ทะยาน | ก้องกังวาลเลื่อนลั่นสนั่นดง |
ขึ้นบนเนินเดินบนลาดแทบพลาดพลิก | กระดุกกระดิกกายชักดังผลักส่ง |
บ้างเอนเอียงเสียงเฮซวนเซทรง | นั่งบรรจงตัวไม่ไหวดังไกวเปล |
รถเขย่าดูกันขันนักหนา | เหมือนลอยหน้ากรุ้มกริ่มแย้มยิ้มเผล่ |
พวกเด็กหัวเราะร่ากันฮาเฮ | ต่างสำรวลสรวลเสโอ้เอ้มา |
นักประพันธ์บุราณท่านชมไม้ | ชมนกไว้หลายหลากมากนักหนา |
จะชมบ้างยาวยืดก็จืดตา | ที่จริงป่านี้ไม้ไม่ใคร่งาม |
เป็นไม้ไผ่เต็งรังแทบทั้งสิ้น | สกุณินไม่เห็นจับน่าวับหวาม |
เขาว่าสัตว์จตุบาทกาจคำราม | ชรอยคร้ามเสียงรถหนีหมดไป ฯ |
ถึงจอมบึงเห็นลานสถานโปร่ง | มีเรือนโรงเคหาคนอาศัย |
รถเทียบเรือนกิ่งอำเภอเสมอบันได | ต่างขึ้นไปตามเจ้าคุณของรุนวาง |
ท่านสำรวจตรวจงานรายการแล้ว | ก็ผ่องแผ้วรับประทานอาหารว่าง |
ครั้นเสร็จสรรพกลับรถใหม่ไม่ระคาง | ประมวลทางสามสิบเส้นเห็นตำบล |
ตำรวจผู้ใหญ่น้อยมาคอยท่า | ไต้ไฟหาเตรียมเข้าถ้ำไม่คลำด้น |
พอพร้อมพรั่งต่างพรากจากรถยนต์ | จรดลเลียบเดินตามเนินมา ฯ |
ถึงบรรพตทั้งสิ้นปิ่นคีรี | จนถึงที่ชวากปากคูหา |
ข้างขวามีลอยสลักอักขรา | พระปรมาภิธัยกษัตริย์รัชกาล |
ที่ห้า จ.ป.ร. ส่อพระเดช | ต่างน้อมเกศเคารพนบสถาน |
ข้างซ้ายถ้ำจอมพลลายปนกาญจน์ | นั่งพักด้านปากถ้ำเป็นสำคัญ |
พระพายพัดระรวยหอมกล้วยไม้ | บ้างปีนไปเก็บชวนกันสรวลสันต์ |
เสียงเรไรไพเราะเสนาะครัน | ถ่ายรูปกันไว้สำนึกระลึกกาล |
เย็นสบายหายเหนื่อยที่เมื่อยหล้า | ท่านเทศาเดินตรงลงสถาน |
ตำรวจจุดคบเพลิงถะเกิงงาน | ผู้ใหญ่บ้านหลายนายถือไต้ชู |
พวกเราตามลงถ้ำคลำบันได | มืดกระไรพร่ำเรียกกันเพรียกหู |
ค่อยจดจ้องมองเลียบกลัวเหยียบงู | ฉายไฟดูภาพงามอร่ามตา ฯ |
ศิลาย้อยพรอยแพรวดังแก้วกาบ | ที่เรียบราบงามเล่ห์ดังเลขา |
เพดานสูงรุ้งเวิ้งเชิงมาลา | ย้อยระย้าสีต่าง ๆ อย่างระบาย |
ที่งอกงามตามผนังดังตั้งแต่ง | เป็นรุ้งแวงวิลัยเลิศดูเฉิดฉาย |
เป็นรูปภาพต่าง ๆ อย่างภิปราย | แต่ล้วนสายชลหยาดหยดรจนา |
ขาวละออต่อกันเป็นชั้นช่อง | มีเปลวปล่องมองเร่เห็นเวหา |
รัศมีภานุมาศสาดส่องมา | จับที่ปราษาณพรายประกายแวว |
มีแท่นตั้งอ่างน้ำลายจำหลัก | ปราณีตนักสำอางกระถางแถว |
อรชรซ้อนกันเป็นคั่นแนว | น้ำใสแจ๋วหน้าดื่มให้ปลื้มทรวง |
รูปเตียงตั้งหลังคาเหมือนผ้าดาษ | ดูประหลาดเสาลายดอกไม้ร่วง |
มีระย้าหน้ามุ้งจรุงดวง | ทั้งขาวช่วงผาดมองเหมือนของจริง |
ที่เชิงซุ้มพุ่มผาน่าพินิจ | ดูวิจิตรชมสนุกไปทุกสิ่ง |
ที่นั่งเล่นเด่นอยู่กลางสำอางพิง | มีลดหลั่นชั้นอิงเอนสำราญ |
ที่แม้นรูปโทรนเบื้องบนนั้น | คล้ายฉัตร์ชั้นกั้นไว้ในสถาน |
ที่ซุ้มกลางอย่างวิจิตรพิศดาร | รอบทุกด้านชมเพลินเจริญใจ |
พื้นผนังบางแห่งก็แดงม่วง | บ้างขาวช่วงแฉล้มดูแจ่มใส |
บ้างสีเหลืองละอองทองอุไร | ที่เขียวแดงประไพนัยนา |
ดังโหมดตาดกำมะหยี่คลี่สลับ | บรรจงจีบกลีบระยับประดับผา |
เหมือนม่านกรองสองไขที่ไสยา | แสงไฟจ้าส่องสว่างสำอางครัน |
แลชะง่อนชะง้ำล้ำชะโงก | เป็นทางโกรกขึ้นไปเที่ยวผายผัน |
ตามหลืบฝอยย้อยเป็นเฟืองต่อเนื่องกัน | สารพันสุดจะพรรณนา |
อันความงามถ้ำนี้ไม่มีสอง | แต่ทำนองคล้ายแขกแปลกภาษา |
ปนฝรั่งบางเช่นที่เห็นมา | ไม่มีท่าทำนองเป็นของไทย |
งามสิ่งใดไม่ล้ำธรรมชาติ | งามปลาดพิศวงให้หลงไหล |
แล้วพากันออกจากถ้ำอันอำไพ | เจ้าคุณไปพักสถานบ้านอำเภอ |
พวกเราพากันไปนั่งฝั่งจอมบึง | เอวพรมขึงปูปราบราบเสมอ |
แล้วเอนกายตากลมใต้ร่มเฌอ | เด็ก ๆ เจอดอกไม้เก็บเหน็บผมพลาง |
พอคุณหญิงอรรถการผ่านมานั่ง | ต่างชมฝั่งบึงไพรอันใหญ่กว้าง |
สุดสายเนตรเขตกลมพนมทาง | ดูดังอ่างน้ำมีที่กันดาร |
โลกธาตุประสาทสร้างของกลางให้ | สัตว์อาศัยต่าง ๆ อย่างวิตถาร |
มีห้วยหนองบึงแม่น้ำแลลำธาร | ธัญญาหารมากมายหลายชนิด |
ผลไม้เหลือประมาณทั้งหวานเปรี้ยว | เป็นเครื่องเยียวยากายสบายจิต |
มีดอกไม้หอมหวลยั่วยวนชิด | ชูชีวิตให้บรรเทิงสำเริงรมย์ |
มีอาทิตย์ทำให้ใสสว่าง | มีไม้ใหญ่ใช้ทางทำที่ร่ม |
มีค่ำคืนพักนอนผ่อนระทม | ทั้งมีลมพัดอากาศสะอาดเย็น |
มีเพชรพลอยรุ่งเรืองเครื่องประดับ | ไว้สำหรับนิยมได้ชมเล่น |
เสียงปักษีมีกังวาลซ่านกระเซ็น | ทุกสิ่งเป็นเครื่องชลอล่อวิญญาณ์ ฯ |
โอ้โลกใหญ่ไพศาลตระการยิ่ง | มีทุกสิ่งอาศัยได้สุขา |
แต่ตัวเราไม่มีสุขทุกข์เวทนา | เหมือนโลกาคับแคบแทบบัลลัย |
จะอาศัยกายนิดชีวิตหน่อย | โลกไม่ค่อยนำพาอัชฌาสัย |
ใคร่ลาลับดับขันธ์ทุกวันไป | ให้พ้นภัยที่ระกำช้ำอุรา |
พอเวลาสายัณห์ตะวันลับ | พากันกลับมานั่งหว่างเคหา |
พร้อมนายอำเภอตำรวจซึ่งตรวจตรา | สนามหญ้าราบเรียบระเบียบงาม |
เขาจัดเลี้ยงอาหารท่านเทศา | พร้อมบรรดาที่ไปในสนาม |
ไก่พะแนงแกงไก่เป็นหลายชาม | ไก่ต้มยำทำชามเปลอย่างโต |
ทั้งไก่ร่อนไก่รำช่างทำแท้ | ผัดเนื้อแย้พล่าสมันกันอักโข |
ทั้งน้ำพลิกผักป่าปลาชะโด | ทั้งแตงโมแกงโรงถ่านช่างหวานคอ |
บ้างก็ชมสิ่งนี้นี่อร่อย | นั่นไม่น้อยสิ่งนี้รสดีหนอ |
ฝีมือคนตำบลนี้ปรุงดีพอ | ชมกันปร๋อจริงแท้ไม่แพ้กรุง |
รับประทานอิ่มหนำพอค่ำพลบ | ลมสงบอุดอู้เหมือนอยู่ถุง |
แต่จำเพาะเคราะห์ดีไม่มียุง | แต่หมอนมุ้งกระจิกกระจุกบรรทุกมา |
อากาศมืดชืดชาในป่าเปลี่ยว | เหมือนอยู่เดียวเศร้าใจอาลัยหา |
หวลระลึกนึกสอื้นกลืนน้ำตา | ใครพูดจาว่ากระไรไม่ได้ยิน |
นั่งอยู่พร้อมล้อมซ้อนเป็นก้อนใหญ่ | เทศไถ่ถามไม่เข้าใจสิ้น |
ท่านถามซ้ำตามในน้ำใจจินต์ | จะอยู่ถิ่นนี้ระงับหรือกลับไป |
ได้สติปริปากฉันอยากกลับ | แต่เดือนดับมืดค่ำทำไฉน |
ถามคนขับรถรับไม่เป็นไร | พอจันทร์ไขแสงสว่างกลางอัมพร |
ยี่สิบ น. สามสิบห้านาฑีเศษ | ฉันน้อมเกศเทพเจ้าเขาสิงขร |
อีกทั้งรุกขเทวาสถาวร | ขอลาจรจากพนัศสวัสดี |
ท่านเนาหลังจงสะเบยเสวยสุข | ในปรางค์มุขพิมานเลิศประเสริฐศรี |
ขอถวายกุศลเป็นผลพลี | ให้สมที่ประสงค์องค์เทวา |
รถออกจากจอมบึงไม่พรึงพรั่น | เสียงสนั่นวิ่งวางมากลางป่า |
ไม่มีฝุ่นตลบเสื้อเหมือนเมื่อมา | ต่างปรีดาร้องร่ำรำละคร |
รถโผนเผ่นเย็นพระพายค่อยหายเศร้า | ชมภาพเงามิ่งไม้วิลัยสลอน |
เป็นรูปกลดฉัตร์ธงอลงกรณ์ | รูปอมรกรกระสันเทพกัลยา |
เหมือนระบำรำฟ้อนฉะอ้อนองค์ | รูปพรหมพงศ์บดีมีสี่หน้า |
รูปนารายณ์สี่หัตถ์กุมศัสตรา | ฤๅษีสิทธวิทยาวิชชาธร |
รูปวิมานบุษบกกนกรัตน์ | รูปครุฑอัดวาสุกรีกระบี่ร่อน |
รูปมงกุฎพุทธปฏิมากร | รูปบวรโบสถ์วิหารการเปรียญ |
รูปพระปรางค์เจดีย์ที่เคารพ | ช่างมีครบประหลาดดังวาดเขียน |
ที่แม้นรูปปราสาทราชมณเฑียร | ปราการเวียนวงรอบเป็นขอบคัน |
รูปสิงห์สัตว์อัศดรกุญชรชาติ | จตุบาททวิบทเป็นลดหลั่น |
ใครดูเป็นเห็นจริงทุกสิ่งอัน | เว้นแต่ท่านดูไม่เป็นไม่เห็นจริง |
ฟังไม่เป็นก็เช่นเดียวกันแหละ | จะแยกแยะชี้แจงไม่แจ้งสิ่ง |
น้ำตาลสดหยดไม่รองตรองประวิง | จะได้สิ่งผลอะไรที่ไหนมี |
รถเดินทางกลางป่าเวลาค่ำ | ไฟรถน้ำแสงสว่างทางวิถี |
ยังซ้ำส่องหลายกล่องแบตเตอรี่ | แสงอัคคีแจ่มจำรัสชัชวาลย์ |
บ้างร้องรำทำเพลงวังเวงจิต | อัญชลิตเทพไทในไพรสาณฑ์ |
เป็นบาทบทพจนาสาธุการ | วิเวกหวานวาบทรวงแทบง่วงงง ฯ |
ยอกรอ่อนเกล้าเคารพ | น้อมนบเทวฤทธิ์จิตประสงค์ |
โปรดพิทักษ์ปวงข้ามาดง | ให้คงคืนสถานสราญรมย์ |
มาไพรไร้บรรณาหาตั้ง | นำเสียงสังเวยแทนแม้นสม |
สามิภักดิ์เปรมปรีดิ์นิยม | เชิญชมเสียงหลายถวายเอย |
พวกผู้ชายไชโยและโห่ร้อง | ในทำนองเรียงร่ำทำเฉย |
ต่างเอมอิ่มยิ้มสรวลชี้ชวนเชย | แสนสะเบยมาในป่าพนาดร |
ดังรถลอยคล้อยมาในอากาศ | สดสะอาดสุขโขสโมสร |
ชื่นอารมณ์ชมฟ้าดารากร | ศศิธรแจ่มกระจ่างดังกลางวัน |
น้ำค้างโชยโปรยชุ่มตามพุ่มพฤกษ์ | เมื่อยามดึกเป็นประกายแสงฉายฉัน |
ดังจะยิ้มแย้มรับกับแสงจันทร์ | จักกระจั่นแซ่ร้องก้องโพยม |
ทั้งเรไรไก่ป่าขันจ้าแจ้ว | วิเวกแว่วรำพึงคนึงโฉม |
หอมประทินกลิ่นผกามาประโลม | ฤทัยโสมนัสชื่นระรื่นรวย |
ตุ๊กแกป่าชุกชุมชุมนุมร้อง | ตุ๊กแกก้องเหมือนให้รอขอไปด้วย |
อยู่ในป่าลำบากบุกทุกข์ระทวย | ไม่สำรวยดังเขาชาวบุรี |
ยี่สิบสามนาฬิกาก็มาถึง | มณฑลซึ่งพักเปรมเกษมศรี |
ทางแปดร้อยเส้นเศษสังเกตมี | จึงถึงที่งามล้ำถ้ำจอมพล |
แต่รถลิบสิบล้อไม่ท้อแท้ | ออกวิ่งแต้เลี้ยวลัดไม่ขัดสน |
ชั่วสองนาฬิกากึ่งถึงมณฑล | ดังเทพย่นมรรคาสมอารมณ์ |
พักสบายใกล้น้ำใกล้ชายหาด | ทรายสะอาดเดินเล่นเห็นงามสม |
ลงเรือน้อยข้ามฟากลอยตากลม | ไปเที่ยวชมตามลำน้ำคงคา |
รุ่งสมัยไปเขาวังตั้งพินิจ | เดินทุกทิศเที่ยวดูบนภูผา |
ปลูกสร้างไว้ใหญ่โตมโหฬาร์ | อนิจจาชำรุดทรุดโทรมกรัง |
ไม่มีการสถาปนารักษาไว้ | ปล่อยต้นไม้ขึ้นแทรกแตกผนัง |
น่าเสียดายเล่าลือขึ้นชื่อวัง | ทิ้งให้พังทุเรศเพราะเหตุใด |
เสียเงินอื่นหมื่นล้านยังหาญเสีย | ไม่กี่เบี้ยกี่กำซ่อมทำได้ |
ไว้ชมเล่นลายครามในนามไทย | เป็นเกียรติ์ในนามผู้สร้างแต่ปางบรรพ์ |
ไม่ซ่อมแซมแล้วมิหนำซ้ำรื้อล้าง | ศิลาอย่างดีที่ปูอยู่ที่นั่น |
เอาไปไว้ที่ไหนทำไมกัน | เหมือนแกล้งหั่นทำลายให้หายรอย |
อันโบราณสถานที่เป็นศรีศักดิ์ | ไม่ควรจักรื้อสับให้ยับย่อย |
บำรุงชูเชิดให้เลิศลอย | จะไม่น้อยหน้าชาติขาดสำคัญ |
มีแม่ชีขึ้นไปอาศัยพัก | น่ากลัวหักทับลงมาม้วยอาสัญ |
ขื่อเพดานรานร้าวด้วยเถาวัลย์ | แกช่วยกันถากถางค่อยว่างเตียน |
ในห้องโถงตรงกลางตั้งพระพุทธ | แกช่างอุตส่าห์คราดเก็บกวาดเลี่ยน |
ประพฤติพรตพรหมจรรย์หมั่นพากเพียร | ดูแนบเนียนสละละนิวรณ์ |
เห็นพวกเราเข้าไปนั่งไหว้พระ | ก็มีกระใจดีที่โอนอ่อน |
นำกระโถนน้ำเสื่อเอื้อให้นอน | ทั้งพัดหมอนอารีนี่กระไร |
สนทนาทางธรรมกรรมฐาน | แกกล่าวขานแช่มเชื่อมน่าเลื่อมใส |
คุณหญิงอรรถฉันหม่อมต่างพร้อมใจ | รวมเงินให้สิบสองบาทใส่ถาดวาง |
แกหกคนรวมหมวดสวดคาถา | อวยพรจาตุพิธพัฒน์ไม่ขัดขวาง |
เรารับพรกรประณมก้มอุตมางค์ | แล้วเอนร่างนอนเล่นเย็นสบาย |
ขุนสมัครกับหลวงไล่พลรบ | ตามมาพบยินดีทวีหลาย |
นำน้ำแข็งโซดามามากมาย | ก็แจกจ่ายรับประทานสำราญรมย์ |
ทินกรอ่อนแสงไม่แรงจัด | วายุพัดชวยชื่นระรื่นร่ม |
หอมตระหลบอบอวนล้วนลั่นทม | บ้างเก็บชมบ้างทัดบ้างกลัดทรวง |
เสนาะเสียงสำเนียงคณานก | โพระดกแขกเต้าก้องเขาหลวง |
เวลาเย็นพยัพกลับรังรวง | เราทั้งปวงเลียบเดินเนินชลา |
ชมภูมิพื้นแลลิ่วทิวเขาไม้ | ระยะไกลสุดเนตรสังเกตหา |
เห็นคนเดินนั่งจมปุกเท่าตุ๊กตา | ตามคันนาเท่าเสื่อปูน่าดูครัน |
เห็นที่ตั้งตำบลมณฑลใหญ่ | สถานีรถไฟไกลมหันต์ |
เกวียนโคขับเป็นแถวยาวเข้าไพรวัน | รถยนต์ผันผายขบวนสวนไปมา |
ถนนยาวราวกับเขียนวงเวียนแยก | ช่างงามแปลกยืนดูยอดภูผา |
พอจวนลับอับศรีสุริยา | ก็ลงมาขึ้นรถบทจร ฯ |
ถึงหน้าตึกจารึกอักษรสาสน์ | สโมสรราชบุรีที่พักผ่อน |
สำหรับข้าราชการงานนคร | เสร็จแล้วจรมาสำราญสถานนี้ |
ที่นั่งนอนหย่อนอารมณ์สมถวิล | ระรื่นกลิ่นบุปผชาติประหลาดสี |
ขึ้นชมตึกทุกห้องสองชั้นมี | ห้องวารีห้องบาร์ดาดฟ้างาม |
เฉลียงหลังตั้งลูกกรงโปร่งสะอาด | แล้วลีลาศลงล่างกลางสนาม |
ขึ้นรถยนต์วนชมนิคมคาม | แต่เที่ยวตามถิ่นนั้นทุกวันไป |
แล้วไปชมสมญาวัดหน้าพระธาตุ | อภิวาทน์น้อมจิตคิดเลื่อมใส |
องค์มหาธาตุตระการตั้งฐานใน | สี่เหลี่ยมใหญ่สูงลิบกว่าสิบวา |
มีบันไดเดินตรงในองค์ปรางค์ | ทางชั้นล่างซุ้มประตูเป็นคูหา |
ฐานระเบียงมีทางวางชาลา | ต่อออกมามีเจดีย์ล้อมสี่องค์ |
ตั้งสี่ทิศพิศเพ่งเป็นขัณฑ์ขอบ | วิหารรอบล้อมเชิดเทริดระหง |
ประดิษฐานพระพุทธวิสุทธิพงศ์ | ทุกพระองค์รจนาศิลาแลง |
มีงามยงองค์หนึ่งซึ่งชำรุด | พระเศียรหลุดตามเค้าเล่าแถลง |
ว่ากินคน ๆ จึงโกรธทำโทษแรง | โอ้ช่างแกล้งว่าพระหินนั้นกินคน |
นับประสาจะไม่ป้ายร้ายมนุษย์ | แต่พระพุทธรูปศิลายังพล่าป่น |
ต้นไม้เล่าเหล่าแหลกก็แทรกปน | ขึ้นอยู่บนยอดปรางค์คอยล้างลง |
อันวัดนี้โบราณการก่อสร้าง | ถาวรอย่างวิจิตรพิศวง |
วัดพระธาตุเพชรบุรีมีอีกองค์ | สามัญคงทำไม่ได้ใช้ศิลา |
ซึ่งว่าเดาเจ้าเขมรไม่เห็นด้วย | ไทยเกณฑ์ช่วยให้มาสร้างหรือจ้างหา |
เอาฝีมือเขาต่างหากช่างลากมา | จะขายหน้าเสียอำนาจของชาติไทย |
อันทิศนี้มีมหาอาณาจักร | ยังมีหลักฐานให้คิดวินิจฉัย |
พระปฐมพระประโทนเก่าโพ้นไกล | พระแท่นให้เห็นทรงของวงการ |
ประสาทหินวัดกำแพงล้วนแจ้งชัด | ว่ากษัตริย์ชาติไทยสร้างไพศาล |
ยังมากมายก่ายกองของบูราณ | เป็นพยานอย่างดีมีราคา |
ท่านแต่ก่อนก่อสร้างอย่างประดิษฐ์ | หวังสถิตยืนอยู่เป็นคู่หล้า |
พอสิ้นบุญสูญหายภายหลังมา | ต้นไม้หญ้าขึ้นทำลายเสียดายจริง |
ตามวัดวาว่าได้มิใช่น้อย | มิได้ค่อยทิ้งถอนทำนอนนิ่ง |
จนรากไม้ไซตลอดเพราะทอดทิ้ง | หักพังวิ่งตะโกนก้องร้องเรี่ยไร |
เขาว่ากันดีกว่าแก้ออกแซ่หู | ช่างไม่รู้ไม่เห็นเป็นไฉน |
งานนิดหน่อยปล่อยให้มากจะยากใจ | ขอเตือนไว้โดยดีอารีรัก |
แต่เที่ยวท่องอยู่นับกว่าสัปดาห์ | เยี่ยมบรรดาท่านผู้เคยรู้จัก |
พระยาอรรถกวียังที่พัก | ตำแหน่งศักดิ์เจ้าเมืองเรืองจรูญ |
ท่านต้อนรับนับฐานเพื่อนบ้านเก่า | บำรุงเหล่าไมตรีไม่มีสูญ |
เยี่ยมบุตรหลานเผ่าพงศ์วงศ์ประยูร | ต่างเพิ่มพูนโสมนัสหัทยา |
ค่อยเสื่อมคลายหายเหงาบรรเทาโรค | ซึ่งวิโยกโศกสร้อยละห้อยหา |
ด้วยเพลิดเพลินเกินเหตุเจตนา | ทั้งร่วมอารมณ์กับหม่อมถนอมรักษ์ ฯ |
ของพื้นที่มีก็พอประมาณ | มีนัดการซื้อแลกไม่แปลกหนัก |
พอเลี้ยงตัวได้ดีที่สำนัก | ที่เป็นหลักสินค้าหากำไร |
มีไม้เสาต่าง ๆ เป็นอย่างมาก | แต่ตัดถากด้วยแรงคนพ้นสมัย |
ไม่ยักย้ายถ่ายทางทำอย่างใด | ก็ทำไปตามตำราปู่ตาทำ |
ถ้ารวมข้อต่อมื้อซื้อเครื่องจักร | มาเลื่อยชักกันได้ผลไม่ต่ำ |
นี่ก็เห็นเป็นคล้ายละม้ายคลำ | ไม่เป็นล่ำสันขอแต่พอกิน ฯ |
อันมณฑลราชบุรีมีเหมืองแร่ | คนไทยแท้ไม่มองตรองถวิล |
เขาอยู่ถึงเมืองไกลเอาไปกิน | บ่อพลอยหินอย่างดีล้วนสีงาม |
แขกฝรั่งตั้งกองประลองขุด | ผลที่สุดพวกเราชาวสยาม |
นั่งดูปากเขากินแลบลิ้นพลาม | หรือคิดความเป็นลูกจ้างหมดยางอาย |
ไม่ตั้งใจตั้งตัวมัวขี้เกียจ | คอยแต่เบียดเบียนกันมิ่งขวัญหาย |
ทำงานหนักสักหน่อยคอยหลีกกาย | จะลอยชายอย่างเดียวไม่เหลียวแล |
บ้างร้องวุ่นทุนไม่มีเอาที่ไหน | ไม่มีใครอุดหนุนให้ทุนแน่ |
ตัวของเรานั่นแหละหนุนเป็นทุนแท้ | ถ้าเริ่มแต่หนุ่มสาวคราวกำลัง |
เหมือนก้าวขึ้นบันไดถี่ทีละคั่น | จะถึงชั้นที่สุดได้ดังใจหวัง |
จะเกิดทุนหนุนกายได้ลำพัง | เป็นที่ตั้งตัวหาญทำการโต |
ใครจะอุดหนุนเราสักเท่าใด | ถ้าเราไม่สามารถจะขาดโหว่ |
หนุนตัวเองเถิดนายจะหายโซ | ไม่งมโง่คอยเขาถางทางให้เดิน |
เสียเวลาอายุไปเปล่า ๆ | มือเท้าเรามีช่วยไม่ขวยเขิน |
ดูอย่างหอยปูปลาดูอย่าเมิน | ยังเลี้ยงกายได้เจริญขอเชิญดู |
เราเกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ | ไม่ได้เกิดมาสำหรับรับอดสู |
มีสติปัญญากว่าหอยปู | จะนิ่งอยู่ยากจนไม่พ้นอาย |
ยิ่งตรึกไปใจคอให้ห่อหู่ | ด้วยมาอยู่หลายเวลาพาเบื่อหน่าย |
คิดถึงบ้านการมีอยู่นั่งดูดาย | ต้องผันผายกลับเขตนิเวศน์ทาง |
แล้วอำลาญาติมิตรเสร็จกิจสรรพ | ขึ้นรถกลับกรุงไกรหัวใจหมาง |
หวลอาลัยใช้ตาลาถิ่นพลาง | จนรถห่างเหินหายลับสายตา |
ถึงสถานสะพานพระรามหก | องค์ดิลกราชเลิศบรรเจิดหล้า |
พระราชทานพระนามตามเดชา | ให้ยืนอยู่คู่ฟ้าสุธาธาร |
ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยารถพาแล่น | ถึงเขตแดนรถไฟอันไพศาล |
เลยตลอดลอดไปใต้สะพาน | นามขนานกษัตริย์ศึกจารึกมี |
ถึงสถานีใหญ่รถไฟหลวง | ลงเดินล่วงเลยหลามตามวิถี |
ต่างล่ำลาอาลัยในไมตรี | จรลีกลับบ้านสำราญครัน ฯ |
การไปเที่ยวราชบุรีที่สนุก | คิดถึงทุกข์ญาติมิตรจิตกระสัน |
จึงเขียนเป็นอักษรกลอนประพันธ์ | มาฝากกันอ่านเล่นตามเห็นมา |
นามนิยมส้มจีนสร้อยเขื่อนเพ็ชร | กล่าวไว้เสร็จตามชำวลของเลขา |
พ.ศ. สองสี่เจ็ดเศษเอกา | ฝากวาจาไว้กับท่านผู้อ่านเอย ฯ |
จบ นิบาทคลาดคล้อย | ดำเนินทาง |
นิราศ เพื่อลืมครวญคราง | อยู่เหย้า |
ถ้ำ วิจิตรพิศมิวาง | เนตร์เบื่อ |
จอมพล พระจุลจอมเกล้า | ทรงตั้งนามงามสม |
----------------------------