๘
เมื่อท้าวพระยาทั้ง ๕ เสด็จจากกันไปแล้ว พระยาอินทาธิราช พร้อมด้วยวิสสุกรรมเทวบุตร ก็เสด็จมากระทำสักการบูชาพระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้า วิสสุกรรมเทวบุตรจึงหันมายังเทวบุตรเทวดาทั้งหลาย ที่มีชื่อบัญญัติตามสกุลวงศา เทวดาที่มีชื่อบ่มิได้ปรากฏให้มาชุมนุมกัน แล้วสั่งให้ถือเครื่องสักการบูชาและเครื่องอุปัฏฐากพร้อมกันสิ้น ส่วนจตุรังคเทวบุตรทั้ง ๔ มีบริวาร ๑,๐๐๐ ให้เป่าหอยสังข์นำหน้า
ถัดนั้น เทวดาทั้งหลาย เป็นต้นว่า ถือธง ๑,๐๐๐ ตน ถือดอกสังกา ๑,๐๐๐ ตน ถือดอกโกมุท ๑,๐๐๐ ตน ถือดอกโกสุม ๑,๐๐๐ ตน ถือทานตะวัน ๔๐ ตน ถือเสวตรฉัตร ๕๐ ตน ถือพัดโบก ๔๐ ตน ถือจามร ๔๐ ตน เทวดาทั้งหลายนี้ เมื่อเสด็จมาถึงภูกำพร้าแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระยาอินทร์ ๆ จึงให้บุปผาเทวบุตรนำไปบูชาอุโมงค์พระอุรังคธาตุ ทุก ๆ ด้าน
ส่วนเทวดาทั้งหลายอีกพวกหนึ่ง ถือประทีปทองคำ ๔๐๐ ตน ถือพานเงินรองเทียนทองคำ ๔,๐๐๐ ตน ถือพานนากรองเทียนทองคำ ๔๐๐ ตน ถือพานทองคำรองเทียนทองคำ ๔๐๐ ตน ถือพานทองคำรองธูป ๔๐๐ ตน ถือพานข้าวตอกทองคำ ๔๐๐ ตน ถือโคมไฟ ๔๐๐ ตน เครื่องทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเทวดาทั้งหลายแห่ห้อมมาถึงภูกำพร้า แล้วก็นำไปถวายพระยาอินทร์ ๆ ตรัสสั่งให้อัคคิหุตเทวบุตร นำไปตั้งเรียงรายบูชาให้เสมอกันทุก ๆ ด้าน
ส่วนอัสสวลาหกเทวบุตร มีบริวาร ๑,๐๐๐ ถือหางนกยูงทอง นรคนธรรพเทวบุตร มีบริวาร ๑,๐๐๐ ถือเครื่องประโคม ปัญจสิกขเทวบุตร มีบริวาร ๑,๐๐๐ ถือพิณทองคำ อังกุรเทวบุตร มีบริวาร ๑,๐๐๐ ถือติบ สุมิตตเทวบุตร ถือน้ำเต้าแก้วมณีฝาทองคำประดับเพ็ชร์ สุวรเทวบุตรถือพานทองคำรองอูบเมี่ยงแก้ว บริวารอากาศสัจจารินิเทวบุตร ถือพานหมากแก้วมรกต มีเต้าปูน ซองพลู จอกหมาก อูบยา อูบนวด มีดด้ามแก้ววชิรเพ็ชร์ พร้อมสรรพ์ มีหมากจีบ พลูพัน ไป่รู้เหี่ยว ตลอด ๕๐๐๐ พระวรรษา นางสุชาดาเป็นผู้ทรงตกแต่ง
ถัดนั้น อุทกเทวบุตร ถือน้ำเต้าแก้วเขียวมีฝาปิด เท้ามีลวดลาย สุภัททเทวบุตร ถือพานทองคำรองอูบเมี่ยงแก้วผลึก สุปติฏฐิตเทวบุตร ถือพานแก้วไพฑูรรองพานแก้วมหานิล นางสุจิตรา เป็นผู้ทรงตกแต่ง
ถัดนั้น โธธนาคเทวบุตร ถือพานทองคำรองน้ำเต้าทองคำประดับเพ็ชร์ อุชชกเทวบุตร ถือพานทองคำรองอูบเมี่ยงทองคำ สุเทพเทวบุตร ถือพานทองคำเครื่องแก้วผลึก นางสุนันทา เป็นผู้ตกแต่ง
ถัดนั้น มัณฑกเทวบุตร ถือพานเงินรองน้ำแก้ววรรณคำ อุลุกเทวบุตร ถือพานทองคำ รองอูบทองคำประดับแก้วมุกดาหาร มัฏฐกุณฑลเทวบุตร ถือพานหมากทองคำไป่รู้เหี่ยว เท่า ๕๐๐๐ พระวรรษา เครื่องเหล่านี้ นางสุธรรมา เป็นผู้ตกแต่ง สุปิยเทวบุตร ถือพานทองคำรองน้ำอบน้ำหอม มาตลิเทวบุตร ถือพานทองคำรองข่ายดอกมะลิเทศ
ถัดนั้น จตุรังคเทวบุตร ๔ ตน ถือขรรค์ไชยศรีด้ามแก้ววชิรเพ็ชร์ฝักทองคำ เดินตาม ๒ ตราบข้างพระยาอินทร์ ถัดนั้น อินทจิตตเทวบุตร ถือแส้แก้ววชิรแข่วคาจัดเตือนพระยาอินทร์ พระหัตถ์ขวาถือดอกมะลิทองคำ ๑๕ ดอก จตุรังคาวุฒเทวบุตร ๔ ตน ถือดาบด้ามแก้วมรกต เดินตามทางขวาพระอินทร์ จตุรังคาวุทธเทวบุตร ๔ ตน ถือดาบด้ามแก้วไพฑูร เดินตามทางซ้ายพระอินทร์
ถัดนั้น นางโรหิณี ถือพานเทียนแก้วมหานิล นางสารวัตติเกสี ถือพานธูปทองคำ นางปติบุปผา ถือพานดอกมะลิกาทองคำ นางคันธาลวดี ถือพานขวดจันทน์ทองคำ นางสุชาดา ถือดอกบัวทองคำ ๑๕ ดอก นางสุจิตรา ถือดอกบุณฑริก ๑๕ ดอก นางสุนันทา คือดอกนิลบล ๑๕ ดอก นางสุธรรมา ถือดอกจงกลณี ๑๕๐ ดอก จตุรังคาวุทธเทวบุตร ๔ คน ถือดาบด้ามแก้วผลึกฝักทองคำ หมอบอยู่ข้างหลัง
ถัดนั้น นางเทวดาทั้งหลาย ๓๐๐,๐๐๐ ตน ถือช่อธงดอกไม้และธูปเทียนตามปรารถนา ถัดนั้น เทวทูต เทวบุตร และเทวทูตเทวดา มากกว่าชุมโถง๑และช่วงใช้เหล่านี้ ๓๐๐,๐๐๐ ตน ถือทวนดอกกางของต่างร่ม กางกั้นเทวบุตรและเทวดาทั้งหลายสิ้น
ถัดนั้น มาตลิเทวบุตรและอนุมาเทวบุตรนังคสารถีแนบราชรถประคือไยย ถัดนั้นเทวดาทั้งหลาย ถือเทียน ๑๐๐,๐๐๐ ถือธง ๑๐๐,๐๐๐ ถือดอกไม้ ๑๐๐,๐๐๐ ถัดนั้น พระยาทั้ง ๔ ถือระฆังทองคำ บริวาร ๑๐๐,๐๐๐ ถือช่อธงเทียนดอกไม้ ถัดนั้น สุริยเทวบุตรและจันทรเทวบุตร พระหัตถ์ซ้ายถือดอกเองเทศ พระหัตถ์ขวาถือสังข์ เทวดาทั้งหลาย ๓๐๐,๐๐๐ ถือดอกมัททวรี และธงเทียนตามความปรารถนา หมอบอยู่ข้างหลังทั้งสิ้น วิสสุกรรมเทวบุตร เป็นผู้ดูแลตกแต่ง
แล้วจึงให้สีสุนทเทวบุตร และสีมหามายาเทวบุตร วิสาขาเทวบุตร พร้อมด้วยบริวาร ๑๐๐,๐๐๐ ลงมาชำระกวาดแผ้วเปิดประตูอุโมงค์ไว้คอยท่า วิสสุกรรมเทวบุตร พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัว พระหัตถ์ขวาถือมีดควัด๒ด้ามแก้วมรกต ยาว ๙ วา ธรรมกถิกเทวบุตร พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวทองคำ พระหัตถ์ขวาถือขวดแก้วน้ำมันทิพย์ ลงมาสู่ภูกำพร้าตั้งแต่เวลาเที่ยงไปถึงค่ำ วิสสุกรรมเทวบุตรกระทำสักการบูชากราบไหว้และปทักษิณ ๓ รอบ แล้วจึงเอามีดด้ามแก้วมรกต ยาว ๙ วาควัด ส่วนธรรมกถิกเทวบุตรนั้น ก็กระทำสักการบูชากราบไหว้และปทักษิณ ๓ รอบแล้ว จึงควัดลายดินสุกเบื้องทิศตะวันออก เวียนไปเบื้องขวา แล้วกล่าวคาถามงคลโลกไว้ว่า “พุทฺธสฺส มงฺคล โลเก” ดังนี้ แล้วจึงควัดรูปพระยาติโคตรบูรทรงม้าพลาหก รูปพระยาสุวรรณภิงคารทรงม้าอาชาไนยเสด็จไปทางอากาศ ควัดรูปพระยา ๒ องค์นี้ก่อน ธรรมกถิกเทวบุตรจึงเอาน้ำมันให้กับสีสุนันทเทวบุตร สีมหามายาเทวบุตร และวิสาขาเทวบุตรทาลวดลาย แล้วจึงได้ควัดรูปพระยาจุลณีพรหมทัตทรงช้าง รูปราชบุตรทรงม้า และรูปเสนาอำมาตย์เจือปนไปด้วยลายดอกไม้
ส่วนด้านใต้นั้น ควัดรูปพระยาอินทปัฐนครทรงช้าง รูปพระอนุชาทรงม้า รูปเสนาอำมาตย์และบริวารเจือปนไปด้วยลายดอกไม้ ด้านตะวันตก ควัดด้วยรูปพระยาคำแดงทรงช้าง รูปเสนาอำมาตย์ขี่ม้า รูปบริวารเจือปนไปด้วยลายดอกมัททวรี ด้านเหนือควัดรูปพระยานันทเสนทรงช้าง รูปพระอนุชาทรงม้า รูปบริวารเจือปนไปด้วยลายดอกไม้ ส่วนรูปพระยาสุวรรณภิงคารนั้น ควัดไว้ทุก ๆ ด้าน ส่วนบน ควัดรูปสีสุนันทเทวบุตร สีมหามายาเทวบุตร และวิสาขาเทวบุตร เรียงรายไว้ทุกด้าน
แล้วจึงให้วิสสุกรรมเทวบุตรเข้าไปในอุโมงค์ ควัดรูปพระยาอินทร ผินพระพักตรไปทางเหนือ พระหัตถ์ขวาถือดอกมะลิทองคำร่วง พระหัตถ์ซ้ายถือพัด แล้วควัดรูปนางสุชาดา พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประณม พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว รูปนางสุจิตรา พระหัตถ์ขวายกขึ้นประณม พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบุณฑริก รูปนางสุนันทา พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประณม พระหัตถ์ขวาถือดอกนิลบล รูปนางสุธรรมา พระหัตถ์ขวายกขึ้นประณม พระหัตถ์ซ้ายถือดอกจงกลณี รูปนางโรหิณี พระหัตถ์ขวาถือพานทองคำ พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประณม รูปนางสารวัตติเกสี นางปติบุปผา และนางคันธาลวดี พระหัตถ์ขวาถือพานทองคำ หัตถ์ซ้ายยกขึ้นประณม รูปทั้งหลายเหล่านี้ ควัดไว้ด้านตะวันออกทั้งสิ้น
แล้วจึงควัดรูปวิสสุกรรมเทวบุตร พระหัตถ์ขวายกขึ้นประณม พระหัตถ์ซ้ายถือมีดสำหรับควัด รูปธรรมกถิกเทวบุตรนั้น พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประณม พระหัตถ์ขวาถือขวดน้ำมัน รูปสีสุนันทเทวบุตรและรูปสีมหามายาเทวบุตรทั้ง ๒ นี้ ยกพระหัตถ์ขึ้นประณมเหมือนกัน ควัดไว้ด้านใต้
แล้วจึงควัดรูปพระยาทั้ง ๖ ทรงจูงพระหัตถ์กัน เป็นต้นว่ารูปพระยาสุวรรณภิงคาร ทรงจูงพระหัตถ์พระยาคำแดง รูปพระยาจุลณีพรหมทัต ทรงจูงพระหัตถ์พระยาอินทปัฐนคร รูปพระยาติโคตรบูร ทรงจูงพระหัตถ์พระยานันทเสน ผินพระพักตรไปทิศตะวันตก จึงควัดรูปนางศรีรัตนเทวี เสด็จออกหน้า ผินพระพักตรคืนหลัง แล้วควัดรูปพระยาติโคตรบูร ทรงดำเนินตามหลังนาง ผินพระพักตรสู่ทิศตะวันตก
ส่วนรูปพระมหากัสสปเถระเจ้านั้น มือซ้ายถือไม้เท้า มือขวาแบไว้ รูปพระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้น สะพายบาตร ยกมือทั้ง ๒ ขึ้นประณม รูปทั้งหลายเหล่านี้ ควัดไว้เบื้องบนรูปท้าวพระยาทั้ง ๖ มีพระยาสุวรรณภิงคารเป็นต้น อยู่ทิศตะวันตกด้านเหนือ
รูปอินทจิตตเทวบุตร ปัญจสิกขเทวบุตร อังกุรเทวบุตร สุปิยเทวบุตร และมาตลิเทวบุตร แล้วจึงควัดรูปเทวบุตรทั้งหลาย ถือเครื่องอุปัฏฐาก มีรูปบุปผเทวบุตร อัคคิหุตเทวบุตร และเทวบุตรที่มีนามปรากฏตามตระกูลวงศาทั้งสิ้น จึงได้ควัดเป็นดาวขั้นไว้ แล้วจึงควัดรูปท้าวจตุโลกบาล รูปสุริยจันทเทวบุตร และรูปนางเทวดาทั้งหลาย ยกพระหัตถ์ขึ้นประณมตามกันโดยลำดับ วิสสุกรรมเทวบุตรลงมาสู่ภูกำพร้า ควัดรูปและลวดลายนั้น ๆ ไว้ที่อุโมงค์พระอุรังคธาตุ ครั้งนั้น เดือน ๑๒ เพ็ญวันอังคาร ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน จึงเสร็จบริบูรณ์
ครั้งนั้น จตุรังคเทวบุตร เป่าสังข์นำหน้าพระยาอินทร์ เสด็จจากชั้นดาวดึงส์ ลงสู่ริมแม่น้ำธนนันทีทิศตะวันตก วิสสุกรรมเทวบุตรจึงเข้าไปรับเอาดอกมะลิทองคำร่วง พระยาอินทร์พร้อมด้วยนางทั้งหลาย เสด็จเข้าไปแทบใกล้อุโมงค์พระอุรังคธาตุ แล้วคุกเข่าลงเหนืออาศนะทิพย์สักการคารวะพร้อม ๆ กัน เทวบุตรเทวดาทั้งหลายก็กระทำฉันเดียวกัน แล้วก็เสด็จออกไปประทับอยู่ในที่ควร เทวดาทั้งหลายจึงได้นำเครื่องสักการเข้าไปถวายโดยลำดับ จึงตรัสสั่งให้อัคคิหุตเทวบุตร และบุปผเทวบุตร รับเอาเครื่องสักการนั้น ๆ ไปตั้งเรียงรายสักการบูชาไว้ ๔ ด้าน
วิสสุกรรมเทวบุตร จึงเข้าไปในอุโมงค์ เปิดพระอุรังคธาตุไว้ พระยาอินทร์เสด็จเข้าไปในอุโมงค์พร้อมด้วยนางทั้งหลาย ประทับในที่อันสมควร เทวบุตรที่เชิญเครื่องอุปัฏฐากก็ตามเสด็จเข้าไปด้วย จตุรงคเทวบุตรทั้ง ๔ ถือดาบหมอบอยู่ข้างหลัง จตุรงคเทวบุตรทั้ง ๔ ที่ถือขรรค์ไชยศรีนั้น อยู่รักษาประตูตนละด้าน อินทจิตตเทวบุตรถือแส้แก้วเดินไปมา คอยตรวจตราดูแลตักเตือนเทวบุตรทั้งหลายอยู่ทุกด้าน นรคันธรรพทั้งหลายประโคมด้วยเครื่องประโคม ปัญจสิกขเทวบุตรดีดพิณทองคำ
ขณะนั้น พระยาอินทร์เสด็จทอดพระเนตรรูปและลวดลายทิศตะวันออก ทอดพระเนตรเห็นรูปของพระองค์และรูปนางทั้งหลาย ทรงยิ้ม นางทั้งหลายก็ยิ้มด้วย เทวดาทั้งหลายที่เชิญเครื่องสักการจึงนำเครื่องสักการนั้น ๆ เข้าไปตั้ง มีพานหมาก น้ำเต้า และอูบเมี่ยง ตั้งเรียงไว้โดยลำดับ พระยาอินทร์ทรงจบ ๗ ครั้ง แล้วทรงรับเอาเทียนจากนางคันธาลวดีและนางโรหิณีจุดบูชา แล้วทรงรับเอาธูปจากนางสารวัตติเกสีขึ้นจบแล้วตั้งบูชาไว้ ทรงรับเอาพานดอกไม้จากนางปติบุปผาขึ้นจบแล้วตั้งสักการบูชาไว้ ตลอด ๕๐๐๐ พระวรรษา แล้วพระองค์ทรงรับเอาขวดไม้จันทน์จากนางคันธาลวดี โสรจสรงพระอุรังคธาตุเสร็จแล้วรับสั่งให้ปิดไว้ดังเก่า แล้วเสด็จออกมาภายนอก ทรงรับขันน้ำอบน้ำหอมจากนางสุปิยเทวบุตร โสรจสรงอุโมงค์ภายนอก จึงทรงรับเอาข่ายดอกมะลิเทศจากมาตลิเทวบุตร ปกคลุมอุโมงค์พระอุรังคธาตุเสร็จแล้ว ทรงจบ ๗ ครั้ง นางทั้งหลายก็กระทำตามโดยลำดับ จึงรับสั่งให้นางสุธรรมาเรียงรายดอกจงกลณี ๑๕๐ ดอก บูชาไว้ตามมุมอุโมงค์ให้เท่ากันทุก ๆ มุม
อธิบายความว่า ดอกจงกลณีทิพย์นั้น เมื่อนางนำไปบูชาไว้ตามมุม ยังเหลืออยู่ในพระหัตถ์นางเท่าใดก็บังเกิดขึ้นมาอีกเท่านั้นไม่รู้สิ้น เมื่อว่านำไปเรียงรายบูชาถูกต้องแต่ที่แรกแล้ว ดอกจงกลณีนั้นก็จะหมดจากพระหัตถ์ในครั้งสุดท้าย เมื่อนำไปเรียงรายบูชาไว้ไม่ถูก ดอกจงกลณีนั้นก็เกิดมีอยู่ในพระหัตถ์ไม่รู้สิ้น ลางทีดอกจงกลณีนั้นก็จะไม่พอเรียงรายบูชาไว้ตามมุมนั้น ๆ เสียซ้ำอีก นางสุธรรมานำเอาดอกจงกลณีไปเรียงรายอยู่ถึง ๓ ครั้งไม่ถูกต้อง นำเอากลับคืนมาไว้ก็ยังเท่าเก่าอยู่
พระยาอินทร์จึงเสด็จไปเรียงรายดอกมะลิทองคำร่วง ๑๕ ดอก เอาบูชาไว้มุมแรก ๘ ดอก ยังเหลืออยู่กับพระอรหันต์ ๗ ดอก ก็บังเกิดขึ้นมาเป็น ๑๔ ดอก แล้วเอาบูชาไว้ที่มุมถ้วนสอง ๘ ดอก ยังเหลืออยู่ที่ฝ่าพระหัตถ์อีก ๖ ดอก เกิดมาเพิ่มอีกเป็น ๑๒ ดอก แล้วเอาบูชาไว้ที่มุมถ้วนสาม ๘ ดอก ยังเหลืออยู่ที่ฝ่าพระหัตถ์ ๔ ดอก แล้วบังเกิดขึ้นเพิ่มอีกเป็น ๘ ดอก แล้วเอาบูชาไว้ที่มุมถ้วนสี่นั้นทั้ง ๘ ดอกพอดีหมด ก็ไป่บังเกิดขึ้นมาอีก ดอกมะลิทองคำร่วง ๑๕ ดอก ที่พระยาอินทร์นำไปสักการบูชาไว้ตามมุม ๆ ละ ๘ ดอก ทั้งเก่าใหม่รวมเป็น ๓๒ ดอก
นางสุชาดา นางสุจิตรา และนางสุนันทา ได้อุบายจากพระยาอินทร์แล้ว จึงได้นำเอาดอกบัวทองคำ ดอกบุณฑริก และดอกนิลบล ไปบูชาไว้ตามมุมโดยลำดับ ถูกต้องตามอย่างพระยาอินทร์ทรงกระทำนั้นทั้ง ๓ นาง ส่วนนางสุธรรมานั้น จึงได้นำเอาดอกจงกลณีออกไปบูชาไว้ตามมุมด้วยอุบาย ทั้ง ๑๕๐ ดอก เขาบูชาไว้ที่มุมแรก ๘๐ ดอก ยังคงเหลืออยู่ในพระหัตถ์ ๗๐ ดอก เกิดขึ้นมาครบเป็น ๑๔๐ ดอก แล้วเอาบูชามุมถ้วนสอง ๘๐ ดอก ยังเหลืออยู่ในพระหัตถ์อีก ๖๐ ดอก ซ้ำเกิดมาเพิ่มอีก รวมเป็น ๑๒๐ ดอก แล้วเขาบูชาไว้ในมุมถ้วนสาม ๘๐ ดอก ยังเหลืออยู่อีก ๔๐ ดอก แล้วเกิดขึ้นมาอีก ๔๐ ดอก รวมเป็น ๘๐ ดอก แล้วจึงเอามาบูชาไว้ที่มุมถ้วนสี่นั้นทั้ง ๘๐ ดอก ครบถ้วนพอดี
พระยาอินทร์ทรงเห็นว่ากระทำถูกต้อง จึงตรัสว่า “โยคา ภูริสงฺขโย” ดูกรนางทั้งหลาย เทวบุตร เทวดา และคนทั้งหลายก็ดี มีความเพียร สติปัญญาก็บังเกิดมีขึ้นตามกัน เมื่อว่ามีความเกียจคร้าน สติปัญญาก็ย่อมหดหู่สิ้นไป บัดนี้ นางสุธรรมากระทำความเพียร รำพึงดูแต่ก่อนได้นำดอกจงกลณีออกไปบูชาไว้ตามมุมถึง ๓ ครั้งไม่ถูกต้อง จึงได้มาคิดกระทำความเพียรต่อภายหลังอีก นางสุธรรมาทรงยิ้มแล้วยกพระหัตถ์ขึ้นประณม
พระยาอินทร์ทอดพระเนตรรูปและลวดลายทุกด้าน ทรงระลึกถึงครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่ภูกำพร้า จึงตรัสสั่งให้วิสสุกรรมเทวบุตร ควัดรูปและลวดลายพระพุทธเจ้า ประทับยืนอยู่ใต้ต้นรัง ไว้เบื้องบนทิศตะวันตก เสมอรูปพระมหากัสสปเถระเจ้า แล้วให้ควัดรูปพระยาติโคตรบูรยกบาตรโน้มพระเศียรลงถวายแด่พระศาสดา แล้วให้ควัดรูปภูกำพร้า และพระรูปพระศาสดา ประทับฉันข้าวในบาตร แล้วจึงควัดรูปพระอานนทเถระกำลังฉันข้าว และรูปของพระองค์เอง พระหัตถ์ขวายกน้ำเต้าถวาย พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประณม ไว้เหนือรูปภูกำพร้านั้น
เมื่อควัดสำเร็จแล้ว วิสสุกรรมเทวบุตรจึงเข้าไปกราบทูลพระยาอินทร์ว่า พระองค์ทรงรับสั่งให้ข้าพเจ้าควัดรูปทั้งหลายเหล่านี้ด้วยเหตุใดจา พระยาอินทร์จึงตรัสว่า ดูกร วิสสุกรรมเทวบุตร เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับในที่นั้นราตรีหนึ่ง พระศาสดาทรงฉันข้าวที่นั้น เราได้อุปัฏฐาก แม้ว่าตัวท่านก็ได้ลงมาถวายอาศนะและเพดานครั้งนั้นเหมือนกัน วิสสุกรรมเทวบุตรยิ้ม แล้วทูลว่าถูกแล้ว พระองค์ทรงพระเมตตาแก่ข้าพเจ้า แต่ทว่าข้าพเจ้าไม่เห็นพระองค์ พระยาอินทร์จึงตรัสว่า ท่านลงมาเมื่อตอนหัวค่ำ ครั้นรุ่งแล้วท่านก็กลับไปเสีย และในวันรุ่งเช้าวันนั้น เราได้ลงมาอุปัฏฐากพระศาสดาด้วยไม้สีฟันและน้ำ ตลอดถึงพระศาสดาเสด็จไปบิณฑบาต แล้วกลับมาฉัน พระองค์ฉันเสร็จแล้วเราจึงได้กลับ วิสสุกรรมเทวบุตรจึงทูลว่า สาธุ สาธุ
พระยาอินทร์จึงตรัสว่า ดูกร วิสสุกรรมเทวบุตร พระยาติโคตรบูรนี้ เป็นเชื้อโคตรวงศาพระโคดมเรานี้ แต่ในกาลเมื่อก่อนพระองค์ทรงคำนึงแต่ในพระทัย ใคร่เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ปรารถนาค้ำชูพระพุทธศาสนา พระศาสดาทรงทราบว่าหาอันตรายมิได้ จึงฉะเพาะซึ่งพระยาเพื่อฐปนาพระอุรังคธาตุเมื่อสิ้นสุด เพื่อเหตุนั้นแล
ถึงแม้ว่าพระยาได้ให้ทานรักษาศีล ก็ไป่ได้ไปเกิดในเมืองฟ้า พระองค์ยังจะได้ท่องเที่ยวค้ำชูพระพุทธศาสนาในเมืองทั่ว ๆ ไปในชมพูทวีป ตลอด ๕๐๐๐ พระวรรษา เมืองที่พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ก่อนนั้น อยู่ริมแม่น้ำเซ เราทั้งหลายเรียกว่า “เมืองศรีโคตโม” เหตุพระโคตมะให้คำวุฒิสวัสดีแก่พระยาติโคตรบูร และบัดนี้คนทั้งหลายชาวเมืองหลุ่ม เรียกว่า เมืองศรีโคตรบอง ด้วยเหตุว่าผู้เป็นใหญ่นั้นเป็นเชื้อโคตรและมิตรสหายกันกับเมืองสุวรรณภูมิ จึงควรกินและมีสมบัติมากนัก เราผู้เป็นอินทร์เห็นแจ้งดังกล่าวแล้ว จึงได้ให้ท่านวิสสุกรรมเทวบุตรควัดลวดลายและรูปทั้งนี้ให้เป็นมงคลค้ำชูพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้แล
บัดนี้ พระยาติโคตรบูร พระองค์มาเกิดในเมืองสาเกตนครนั้น ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ไปเกิดในที่ใด ๆ ก็ดี ท่านผู้เป็นวิสสุกรรมเทวบุตร จงตามรักษาพระองค์ให้ได้รับความสวัสดี จงทุกประการเทอญ พระยาอินทร์ทรงปฏิสัณฐานดังนี้ วิสสุกรรมเทวบุตรจึงได้จดจำเอาไว้ แล้วจึงทันยังเทวดาทั้งหลายที่อยู่ภูกำพร้าทั้งสิ้น ให้มากดเอาเครื่องอุปัฏฐากบูชาไว้ พร้อมทั้งข้าวของทองเงิน และเครื่องอุปโภคที่พระยาทั้ง ๕ บูชารองไว้เบื้องล่างนั้น กำหนดซึ่งกันและกันรักษาไว้ให้เป็นปกติ
และยังมีเทวดาตนหนึ่ง ชื่อว่า วนปคุมพ มีบริวาร ๑,๐๐๐ รักษาอยู่ด้านเหนือ เทวดาตนหนึ่ง ชื่อว่า ภุมปติรุกขา มีบริวาร ๕๐๐ รักษาอยู่ด้านใต้ เทวดาตนหนึ่ง ชื่อว่า สรุทธกา มีบริวาร ๕๐๐ รักษาอยู่ด้านตะวันออก เทวดาตนหนึ่ง ชื่อว่า โพธิรุกขปัตตะ มีบริวาร ๕๐๐ รักษาอยู่ด้านตะวันตก เทวดาทั้งหลายเหล่านี้ ให้รักษาเครื่องที่พระยาอินทร์ตกแต่งไว้สักการบูชาทั้งสิ้น
เทวดาตนหนึ่ง ชื่อ สุนทิรณี มีบริวาร ๕๐๐ อยู่ในพื้นภูกำพร้าทั้งสิ้น เป็นผู้รักษาข้าวของทองเงินที่พระยาทั้ง ๕ บูชาไว้เบื้องล่างนั้น เทวดาตนหนึ่ง ชื่อว่า วิจิตตเลขา มีบริวาร ๑,๐๐๐ อยู่วิมานอากาศ ให้ถือเส้นจัดเตือน เทวดาทั้งหลายเหล่านี้มีอายุยืนตลอดกัลป์ทุกคน
พระยาอินทร์จึงตรัสสั่งให้วิสสุกรรมเทวบุตรกำหนดไว้ดังนี้ แล้วจึงเสด็จออกจากอุโมงค์เวียนวัฏปทักษิณ ๓ รอบ สถิตอยู่ในที่นสมควร
ครั้งนั้น พระอุรังคธาตุเสด็จออกกระทำปาฏิหารย์ แต่ละด้านเสด็จออกมาถึง ๖ องค์ วกเวียนเสด็จขึ้นมารวมอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นตั้งอยู่บนอากาศ เสมอยอดอุโมงค์ ระยะ ๑๐๐ วา แล้วเสด็จออกจากยอดอุโมงค์ ๒ องค์ เสด็จขึ้นไปเบื้องบน แล้วเสด็จลงมารวมเข้ากันเป็นองค์เดียว โตเท่าลูกมะพร้าว แล้วปทักษิณไปทางขวา ๓ รอบ ประดิษฐานอยู่ที่ประตูทิศตะวันออก ฉะเพาะพระพักตรพระยาอินทร์ เทวบุตรเทวดาทั้งหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงให้เสียงสาธุการขึ้นอึงมี่ตลอดไปทั่วบริเวณ นรคนธรรพทั้งหลายประโคมด้วยเครื่องดุริยดนตรี
วัสสวลาหกเทวบุตร พาบริวารนำเอาหางนกยูงเข้าไปฟ้อนถวายบูชา เทวดาทั้งหลายลางหมู่ขับ ลางหมู่ดีดสีตีเป่าถวายบูชา นางเทวดาทั้งหลายถือหางนกยูงฟ้อนและขับร้องถวายบูชา ปัญจสิกขเทวบุตร ดีดพิณทองคำถวายบูชา อุรังคเทวบุตรปรบมือถวายบูชาพระอุรังคธาตุเสด็จเข้าไปประดิษฐานในอุโมงค์ทางประตูด้านตะวันออก ประตูก็ปิดเข้าไปพร้อมกัน มีเสียงดังยิ่งนัก เทวบุตรเทวดาทั้งหลายสะดุ้งตกใจ ถึงกับหยุดการประโคม
ครั้งนั้น เทวดา นาค ครุธ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์ ทั้งหลายที่อยู่ขอบจักรวาฬ ได้ยินเสียงพิณทองคำที่ปัญสิกขเทวบุตรดีด จึงพร้อมกันมา ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืน พระยาอินทร์พร้อมด้วยเทวบุตรเทวดาทั้งหลาย เวียนวัฏปทักษิณสิ้นวาร ๓ รอบ จึงกระทำสักการคารวะ แล้วจึงเสด็จออกไปสู่ริมแม่น้ำธนนัทที ขึ้นสู่ปราสาท ๓,๓๓๗ ยอด วิจิตรแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ตั้งอยู่ที่ท่ามกลางราชรถ เป็นชั้นเชิงลดเลี้ยวเข้าไป ระโหฐารยิ่งนัก บุคคลเข้าไปในที่นั้นเกือบหลง
นางสุชาดา นางสุจิตรา นั่งอยู่ฝ่ายขวาโดยลำดับ นางสุนันทา นางสุธรรมา นั่งอยู่ฝ่ายซ้ายโดยลำดับ นางโรหิณี นางสารวัตติเกสี นางปติบุปผา และนางคันธาลวดี ทั้ง ๔ นี้ นั่งอยู่ฝ่ายหลังโดยลำดับ อินทจิตตเทวบุตร วิสสุกรรมเทวบุตร และธรรมกถิกเทวบุตร นั่งอยู่ฉะเพาะพระพักตรพระยาอินทร์โดยลำดับ
ถัดนั้น เทวบุตรที่มีนามปรากฏฝ่ายขวา มีปัญจสิกขเทวบุตรเป็นต้น ฝ่ายซ้าย มีอุรังคเทวบุตรเป็นต้น นั่งอยู่โดยลำดับ
ถัดนั้น จตุรังคาวุธเทวบุตร ถือขรรค์ไชยศรีออกดูแลรักษาอยู่ชั้นหนึ่ง ตลอดไปทั้ง ๔ ด้าน จตุรังคาวุทธเทวบุตร ถือดาบออกดูแลรักษาอยู่ชั้นหนึ่ง ตลอดไปทั้ง ๔ ด้าน เทวดาทั้งหลายอยู่ด้านละ ๑,๐๐๐ ตน ทุก ๆ ชั้น นางเทวดาทั้งหลายอยู่ด้านละ ๑,๐๐๐ นาง ทุก ๆ ชั้น มาตลิเทวบุตรถือสายขนัน๓ม้าอาชาไนยพลาหก อนุมาเทวบุตรถือประคือไชย ๙,๐๐๐ หาง นังครสารถีอยู่ท้ายราชรถ ถือประคือไชยทองคำ ๗ หาง กวัดแกว่ง
เทวบุตรเทวดาทั้งหลายนอกนั้น เดิน ๒ ข้างราชรถ สีสุนันทเทวบุตร สีมหามายาเทวบุตร และสาขาเทวบุตร พาบริวารของตน ๆ หมอบอยู่ข้างหลัง สุริยจันทเทวบุตรพาบริวารอยู่ฝ่ายซ้าย ท้าวจตุโลก พาบริวารเดินตามราชรถ พระยาอินทร์ฝ่ายขวา เมื่อเสด็จกลับถึงชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็เสด็จลงไปเวียนวัฏปทักษิณพระจุลามณีเจดีย์ แล้วจึงเสด็จไปสู่ที่ประทับและที่อยู่ของตน ๆ
ในกาลนั้น เทวดา นาค ครุธ กุมภัณฑ์ คนธรรพ และยักษ์ทั้งหลาย ที่อยู่ขอบจักรวาฬ มาถึงภูกำพร้า ก็พากันปฏิสัณฐารกับด้วยเทวดาทั้งหลายที่เป็นใหญ่อยู่ในสถานที่นั้น จึงพร้อมกันมีการมหรสพสมโภชสักการบูชา เทวดาทั้งหลาย ลางพวกตีฆ้อง ลางพวกตีฉิ่ง ลางพวกตีกลอง ลางพวกตีกังสดาน ลางพวกเป่าสังข์ ลางพวกเปล่าลีลา ลางพวกเป่าเพง ลางพวกดีด ลางพวกสี
นาคทั้งหลาย ลางพวกขับ ลางพวกฟ้อน ครุธทั้งหลาย ลางพวกปรบปีกบินเวียนไปทางขวา ๓ รอบ แล้วจึงกระทำสักการะ ส่วนคนธรรพและยักษ์ทั้งหลายนั้น ตีดุริยดนตรี ลางพวกเต้นไต่ละเม็ง ลางพวกบินกระโดด ลางพวกบูชาตะไลไฟดอก ลางพวกจุดธูปบูชา ลางพวกจุดเทียนบูชา รุ่งเรืองตลอดไปในบริเวณพระอุรังคธาตุ แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้ลาพลากจากกันไปที่อยู่แห่งตน ๆ ก็มีในวันนั้นแล
กล่าวอัน พระยาอินทร์ และเทวดา กุมภัณฑ์ คนธรรพ นาค ครุธ เสด็จมาและมากระทำสักการบูชาพระอุรังคธาตุ ก็สิ้นข้อความลงแต่เท่านี้
----------------------------
หนังสือฉะบับนี้ อาชญาเจ้าพระอุปราช พร้อมด้วยบุตรภรรยา สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตรงกับจุลศักราช ๑๒๒๓ (พ.ศ. ๒๔๐๔) ปีจอ จัตวาศก เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพฤหัสบดี
----------------------------