๖
พระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงได้พากันไปสู่เมืองมรุกขนคร เข้าไปบิณฑบาตตามริมแม่น้ำที่พระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานรอยบาทไว้ให้แก่พญาปลา พระอรหันต์ทั้ง ๕ ครั้นออกจากพระนครมา ได้เอาข้าวให้ทานแก่ปลาทั้งหลายณที่นั้น แล้วกล่าวว่า “ทีฆายุโก โหตุ” ปลาทั้งหลายจงมีอายุยืนเทอญ คนทั้งหลายได้ยินถ้อยคำของพระอรหันต์ดังนั้น จึงให้ชื่อบ้านที่นั้นว่า “บ้านเชียงยืน” แต่นั้นมา
แล้วพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงได้กลับข้ามแม่น้ำไปฉันข้าวที่พราหมณ์ทั้ง ๕ ว่าเมืองมรุกขนครจะย้ายขึ้นมาตั้งอยู่ณที่นี้ เมื่อพระอรหันต์กระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว จึงพากันไปสู่ภูกำพร้า ปฏิสัณฐารซึ่งกันและกัน ครั้นรุ่งแจ้งมา มหารัตนเถระพี่น้องจึงเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอินทปัฐนคร โปรดพระยาอาว์ที่เป็นจุลบิดาของเธอทั้ง ๒
ส่วนมหาสุวรรณปาสาทพี่น้องนั้น ไปบิณฑบาตในเมืองที่ตนเกิด เพื่อโปรดพระยาปุตตจุลณีพรหมทัตและนางปัจฉิมเทวี ที่พระบิดาและพระมารดา เพื่อจะให้มาช่วยฐปนาพระอุรังคธาตุกับด้วยพระยาสุมิตตธรรม ส่วนพระสังขวิชเถระเข้ามาบิณฑบาตในพระราชฐานพระยาสุมิตตธรรมมรุกขนคร พระยาและนางเทวีแก้วทอดพระเนตรเห็นพระสังขวิชเถระห่มผ้ามีสีประดุจดังสีดอกคำที่พญานาคถวายนั้น ทรงพระปีติเลื่อมใสซาบซึ้งไปในพระขันธสันดาน ประดุจดังลูกราชสีห์ที่พลัดจากพ่อแม่มานานแล้วจึงได้มาพบกันเข้า และมีความกระสันด้วยกันฉันนั้น
พระยาสุมิตตธรรมพร้อมด้วยพระราชเทวี บ่มิอาจทรงพระองค์อยู่ได้ มีพระทัยหวั่นไหวเหมือนดังช่อธงที่กวัดแกว่งด้วยลมฉะนั้น จึงได้เสด็จลงมาจากปราสาท อุ้มพระมหาเถระขึ้นไปสถิตในปรางคปราสาท แล้วถวายภัตตาหารอันปราณีต แล้วพระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวีจึงตรัสถามพระมหาเถระว่า เจ้ากูมีอินทรีย์อันหมดจดสะอาดแล้ว และเป็นที่เจริญตาเจริญใจของโยมยิ่งนัก เจ้ากูลุกแต่ที่ใดมาโปรดโยมเล่า
ขณะนั้น มหาสังขวิชเถระจึงทูลว่า อาตมาลุกแต่เมืองร้อยเอ็จประตูโพ้น มาเที่ยวแสวงหาบิดามารดา พระยาสุมิตตธรรมพร้อมด้วยพระราชเทวี จึงตรัสว่า บิดามารดาเจ้ากูอยู่ณที่ใดเล่า พระมหาเถรจึงทูลตอบว่า บิดามารดาของอาตมาอยู่เมืองศรีโคตรบองนี้และ ซ้ำทูลต่อไปอีกว่า บิดามารดาของอาตมาภาพหนีจากเมืองศรีโคตรบองไปมีภรรยาอยู่ที่เมืองร้อยเอ็จประตู เมื่ออาตมาภาพคลอดออกมา ท่านทั้ง ๒ ได้ละทิ้งอาตมาภาพเสีย หนีมาอยู่ที่เมืองนี้
ขณะนั้น พระยาสุมิตตธรรมและพระราชเทวี ไม่ทรงทราบในถ้อยคำนั้น ๆ ทรงนึกหัวเราะอยู่แต่ในพระทัยว่า มหาเถรหลงพ่อแม่เธอประกอบไปด้วยความทุกข์ ทันใดนั้นมหาเถระเจ้าจึงทูลถามว่า มหาราชทั้ง ๒ เสด็จจากที่ใดมาประทับอยู่ที่นี้ พระราชาจึงไหว้ว่า โยมทั้ง ๒ มิได้จากที่ใดมา โยมหากเกิดแต่ตระกูลวงศาในที่นี้เอง มหาเถระเจ้าจึงทูลว่า อาตมภาพมิได้ทูลถามหาเชื้อพระวงศ์ อาตมภาพทูลถามถึงชาติก่อนนั้น พระยาและพระราชเทวีจึงตรัสว่า เจ้ากูเป็นอรหันต์มิใช่หรือ มหาเถระถวายพระพรว่า ถูกแล้ว
ในขณะนั้น อัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เทพดาที่อยู่รักษาภูมิฉัตรของพระองค์ และเทวดาที่รักษาภูกำพร้าทั้งสิ้น จึงพร้อมกันเป่ายังหอยสังข์ขึ้นประโคมทั่วในพระราชฐาน และในที่นั้น ๆ เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก คนทั้งหลายได้ยินแต่เสียงสังข์ หาได้เห็นเทวดาไม่ จึงพร้อมกันให้เสียงสาธุการเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระนคร
แล้วเจ้าสังขวิชเถระจึงถวายพระธรรมเทศนาแด่พระยาสุมิตตธรรมและพระราชเทวีว่า ดูรามหาราช อาตมานี้มาแต่เมืองพระยาจันทบุรี เพื่อโปรดมหาบพิตรทั้ง ๒ พระองค์ เมื่อชาติก่อนโพ้นมหาราชได้เป็นพระยาติโคตรบูร ครั้งเมื่อพระศาสดายังมีพระชนม์อยู่ ได้เสด็จมาประทับแรมที่ภูกำพร้า พระศาสดาทรงทราบในพุทธวิสัย ครั้นรุ่งเช้าทรงผ้ากาสาวพัต อุ้มเอายังบาตรเสด็จไปอิงต้นรังใต้เมือง เพื่อโปรดมหาราชให้ถึงสุข แล้วพระพุทธองค์จึงได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองศรีโคตรบอง มหาราชได้ถวายบิณฑบาตแล้วทรงปรารถนาค้ำชูพระพุทธศาสนา ฉะเพาะพระพักตรพระศาสดา พระศาสดามิได้ทรงรับเอาซึ่งบาตรจากมหาบพิตร เสด็จลีลาคืนสู่ที่ประทับใต้ต้นรัง มหาราชทรงปีติยินดี อุ้มเอายังบาตรนำไปถวายพระศาสดาถึงต้นรัง
ครั้งนั้น อาตมาเป็นน้องของมหาบพิตร เมื่อมหาบพิตรจุติจากชาตินั้น จึงได้ไปเกิดในเมืองสาเกตนคร เป็นพระยาเสวยราชสมบัติในเมืองร้อยเอ็จประตู ส่วนนางศรีรัตนเทวีก็เคยได้เป็นราชเทวีมาแต่ก่อน
ส่วนอาตมาภาพ ครั้งนั้นได้เป็นพระยานันทเสน เสวยราชสมบัติในเมืองศรีโคตรบองได้ ๑๓ ปี พระศาสดาจึงได้เสด็จเข้าสู่นิพพาน แล้วพระอรหันต์ ๕๐๐ มีพระมหากัสสปเถระเจ้าเป็นประธาน นำเอาพระบรมธาตุหัวอกของพระศาสดามาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า อาตมาภาพและพระยาทั้ง ๔ ได้พร้อมกันก่ออุโมงค์ที่ภูกำพร้า ประดิษฐานพระบรมธาตุหัวอกของพระศาสดา ครั้งนั้นพระยาทั้ง ๔ พร้อมด้วยตัวอาตมา ได้ปรารถนาให้ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่ออุปสมบทแล้ว ขอให้ได้สำเร็จพระอรหันต์ ฉะเพาะหน้าพระอรหันต์ ๕๐๐ มีพระมหากัสสปเถระเจ้าเป็นประธาน พระอรหันต์ทั้งหลายพร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนาทุกองค์ อาตมาภาพจึงได้มาบวช และได้สำเร็จพระอรหันต์ในชาติอันนี้ เมื่ออาตมาจุติจากชาติอันเป็นพระยานันทเสน ได้ไปเกิดในท้องแห่งนางศรีรัตนเทวี พระราชเทวีพระยาร้อยเอ็จประตู ก็คือ มหาราชเจ้า กับทั้งพระนางเทวีแก้วบัดนี้แล
ครั้งนั้น เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย พร้อมใจกันอพยพหนีจากเมืองศรีโคตรบอง มาสร้างเมืองอยู่ที่ป่าไม้รวก แล้วจึงพร้อมกันราชาภิเษกโอรสแห่งนางเทวบุปผา ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระยามรุกขนคร เมื่อนางศรีรัตนเทวีประสูติอาตมาภาพออกมาได้ ๗ วัน นางก็จุติมาเกิดในวงศ์พระยามรุกขนคร แล้วพระยามรุกขนครขอเอานางมาเป็นพระราชธิดา เมื่อมหาราชเจ้าจุติจึงได้มาบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระยามรุกขนคร
แต่ชาติก่อนนั้น มหาราชเจ้าและนางเทวีแก้ว เป็นพระบิดาและพระมารดาของอาตมาแท้จริง ด้วยเหตุนี้อาตมาภาพจึงได้รับคำเรียกมหาราชเจ้าทั้ง ๒ ว่า ว่า เป็นพระบิดาและพระมารดาหลงมาอยู่ในที่นี้ทั้ง ๒ พระองค์ เมื่อได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาอดีตชาติจากมหาเถระวันนั้น มีพระทัยประดุจดังว่าระลึกได้ยังพระชาติหนหลัง มีน้ำพระเนตรตกลงมาฉะเพาะหน้ามหาเถระ
ขณะนั้น อำมาตย์และข้าทาษบริวารในหัตถาศ ได้เห็นยังน้ำพระเนตรมหาราชทั้ง ๒ หยดย้อยตกลงมามิได้ขาด ก็บังเกิดโทมนัสร่ำร้องไห้ไปตาม ๆ กัน มีเสียงอันมี่นันทั่วทั้งท้องพระโรงหลวง ทันใดนั้น นางเทวีแก้วจึงไหว้พระมหาเถระเจ้าว่า เมื่อโยมจุติทิ้งเจ้ากูเสียแต่เมื่อยังเยาว์อยู่นั้น ใครผู้ใดเป็นผู้อุปถัมภ์เจ้ากูนั้นเล่า มหาเถระเจ้าจึงทูลว่า น้าเลี้ยงพ่อนมพร้อมทั้งนางที่เป็นบาทบริจาพระยาร้อยเอ็จประตูได้เอามาเลี้ยงไว้
เมื่อบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ ครั้งนั้นนางทั้งหลายเหล่านั้น ลางคนก็ตาย ลางคนก็หนีกลับคืนไปสู่บ้านเมืองเดิม น้าเลี้ยงพ่อนมจึงได้นำเอาอาตมภาพอพยพหนีมาอยู่เมืองสุวรรณภูมิแต่ยังเล็กอยู่ เจ้าสังฆรักขิตเถระจึงได้นำเอาอาตมาไปบวชและสั่งสอนจนได้สำเร็จพระอรหันต์ ท่านจึงได้กลับไปสู่เมืองราชคฤห์ตามเดิม
ขณะนั้น พระยาสุมิตธรรมทรงระลึกถึงพระยาจันทบุรี ที่ได้ทำรูปแปนและปราสาทมุงด้วยผ้าสาฎก พร้อมทั้งดอกบุณฑริกมาถวายครั้งนั้น พระองค์จึงตรัสถามมหาเถระเจ้าว่า พระอรหันต์มีในเมืองสุวรรณภูมินั้นกี่องค์ มหาเถระเจ้าทูลว่า มี ๑๐ องค์ กลับไปสู่เมืองราชคฤห์แล้ว ๓ องค์ นิพพาน ๒ องค์ มากับด้วยอาตมานี้ ๔ องค์
ทันใดนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๔ มาจากเมืองอินทปัฐนครและเมืองจุลณีพรหมทัต ก็เข้ามาสู่ปรางคปราสาทกับด้วยเจ้าสังขวิชเถระนั้น จึงทูลว่า ดูรามหาราช มหาบพิตรทรงปรารถนาค้ำชูพระพุทธศาสนาตราบเท่า ๕๐๐๐ พระวรรษา และพระยาทั้ง ๕ ที่มาก่ออุโมงค์ที่ภูกำพร้า ประดิษฐานพระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าครั้งนั้น ก็คือเจ้าสังขวิชเถระโอรสของมหาราชนี้องค์หนึ่ง พระยาทั้ง ๔ นั้น ก็คืออาตมาภาพทั้ง ๔ ที่มาโปรดมหาราชเจ้า บัดนี้แล
ขณะนั้น นางเทวีได้ทอดพระเนตรเห็นพระอรหันต์ ทรงผ้าดอกคำที่พญานาคถวาย เข้านั่งเรียงกันโดยลำดับในปรางคปราสาทงดงามยิ่งนัก พร้อมทั้งได้ทรงสดับเสียงของพระอรหันต์มาถูกต้องโสตประสาท ก็ยิ่งเพิ่มความปีติขนพองสยองเกล้า ประดุจดังว่าจะลอยขึ้นไปบนอากาศ
ครั้งนั้น เทวดาทั้งหลายจึงพร้อมกันเป่าสังข์ประโคมขึ้นพร้อมกันทั่วพระราชฐานเป็นครั้งที่ ๒ พระยาสุมิตตธรรมและพระราชเทวี จึงตรัสสั่งให้พ่อครัวจัดโภชนาหารเข้ามาถวายพระเถระทั้ง ๕ ครั้นสำเร็จภัตตกิจแล้ว เสียงสังข์ที่ประโคมนั้นก็เงียบไป พระราชาจึงตรัสถามพระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้นว่า พระยาทั้ง ๕ ได้มาบวชสำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันบัดนี้ เจ้ากูองค์ใดที่เป็นพระยาเมืองใดแต่ก่อนเล่า มหารัตนเถระจึงทูลว่า อาตมานี้คือพระยาสุวรรณภิงคาร กินเมืองหนองหานหลวง ครั้งนั้นพระศาสดาได้เสด็จไปโปรดอาตมา ๆ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระโอฐพระศาสดาโดยแท้
จุลรัตนเถระนี้ น้องของอาตมา คือ พระยาคำแดง ที่กินเมืองหนองหานน้อย มหาสุวรรณปาสาทเถระนั้น คือ พระยาจุลณีพรหมทัต จุลสุวรรณปาสาทเถระองค์น้อง ก็คือ พระยาอินทปัฐนคร ส่วนเจ้าสังขวิชเถระนั้นเล่า คือพระยานันทเสน กินเมืองศรีโคตรบองแทนมหาราช เมื่อครั้งมหาราชเป็นพระยาติโคตรบูร ได้จุติไปเกิดในเมืองสาเกตนคร ทันใดนั้น พระยาสุมิตตธรรมพร้อมด้วยพระราชเทวีกับทั้งข้าทาษบริวาร ทรงยกและกระพุ่มแห่งมือขึ้นเหนือเศียร ให้เสียงสาธุการ เทวดาทั้งหลายก็ให้เสียงสาธุการขึ้นพร้อมกันว่า สาธุ สาธุ มีเสียงอันไพเราะยิ่งนัก แล้วพระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงนำเอาฉันทะว่า ภูกำพร้านั้นได้ชื่อว่าดอยกัปปนคิรี พระพุทธเจ้าฉะเพาะซึ่งมหาราช เพื่อจะให้ได้ฐปนาพระอุรังคธาตุ พระยาสุมิตตธรรมทรงเลื่อมใส จึงตรัสว่าโยมจะไปก่อสร้างฐปนา พระอรหันต์ทั้ง ๕ ก็ถวายพระพรลาไปสู่ภูกำพร้า
ครั้งนั้น พระยาสุมิตตธรรม พระองค์ทรงตรัสสั่งกับด้วยพลเทวอำมาตย์ ผู้ฉลาดด้วยการตกแต่ง ให้เอากำลังรี้พลตามพระอรหันต์ไป และให้สร้างวิหารไว้ด้านทิศตะวันตก ๒ หลัง นอกอาณาเขตต์ชั่ว ๑๐๐ วา ให้มหารัตนเถระเจ้าอยู่องค์ละหลัง ให้สร้างวิหารไว้ด้านใต้ ๒ หลัง ให้มหาสุวรรณปาสาทพี่น้องอยู่องค์ละหลัง และให้สร้างทางทิศด้านเหนือหลังหนึ่ง ให้เจ้าสังขวิชเถระอยู่
พลเทวอำมาตย์จึงให้คนทั้งหลายแผ้วถางภูกำพร้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสร้างยังราชสำนักพระยาสุมิตตธรรมไว้เสมอปากน้ำเซ และสร้างราชสำนักขึ้นอีก ๒ หลัง ไว้สำหรับพระยาปุตตจุลณีพรหมทัต และพระยาจุลอินทปัฐนคร ก้ำใต้ปากน้ำก่ำแห่งหนึ่ง ครั้นเสร็จแล้ว พลเทวอำมาตย์จึงกลับคืนไปคอบ๑พระพระยาสุมิตตธรรม เมื่อพระองค์ทรงทราบ จึงตรัสสั่งให้จัดเครื่องสักการบูชาทุกสิ่งสรรพ์ และให้ตกแต่งเรือพระที่นั่งมงคลปราสาทณท่ามกลาง ส่วนรี้พลช้างม้านั้นให้ไปทางสถลมารคทั้งสิ้น ส่วนพระองค์เสด็จทางชลมารค มีกระบวนเสด็จเสมอ ๒ ส่วน ไปทางสถลมารค ๓ ส่วน ผู้ที่ไปในกระบวนให้แต่งตัวนุ่งขาวห่มขาวทั้งสิ้น
ครั้งนั้น ประตูอุโมงค์ก็ปรากฏเห็นว่าปิดเสียสิ้น เมื่อพระองค์เสด็จถึงแล้ว จึงตรัสสั่งให้ตั้งเครื่องสักการ และมีการมหรสพสมโภชบูชาที่ลานอุโมงค์ พอเวลาเที่ยงคืน พระอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าก็กระทำปาฏิหารย์ เป็นประดุจดังเมื่อครั้งอินทราธิราชลงมาบูชา วันนั้นประตูอุโมงค์ก็หากเปิดออกไว้ทั้ง ๔ ด้าน พระยาและนางเทวีแก้วพร้อมด้วยบริวาร มีความอัศจรรย์ยิ่งนัก เทวดาทั้งหลายที่อยู่รักษาในที่นั้น จึงพร้อมกันให้เสียงสาธุการ และประโคมด้วยเสียงสังข์กึกก้องตลอดไปในราวป่าที่นั้น เป็นวารอันถ้วน ๓
พระยาสุมิตตธรรม จึงตรัสสั่งแก่พลเทวอำมาตย์ ให้ไปบอกกล่าวแก่คนทั้งหลายว่า บุคคลเหล่าใดยังพอใจในการพระราชศรัทธา เราจะให้รับราชการให้เป็นข้าอุปัฏฐากพระมหาธาตุ เราจะอภัยโทษเว้นเสียจากราชการบ้านเมือง และให้ยังที่ดินไร่นาไว้แก่เขาเหล่านั้น
ขณะนั้น คนทั้งหลายพวกหนึ่งจึงขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสาตำซะทาย อีกพวกหนึ่งขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสาหาเปลือกไม้ เป็นต้นว่า เปลือกกระโดนและยางบง อีกพวกหนึ่งขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสาทำสวนอ้อย อีกพวกหนึ่งขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสาสานตะกร้าและเครื่องหาบเครื่องหาม อีกพวกหนึ่งขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสาปั้นปางเอาคำมาพอก อีกจำพวกหนึ่งขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสาขุดเอาแห่๒มาให้ถม อีกจำพวกหนึ่งขานขึ้นว่า ข้าน้อยจะรับอาสารักษาต้นโพธิ์ห้อยบาตร และหาหนังหาปูนมาเป็นเครื่องซะทาย๓
แล้วพลเทวอำมาตย์กด๔เส้นเอาได้ ๓,๐๐๐ คนบริบูรณ์ ให้ล่ามรองเอาเส้นแล้วให้เป็นเจ้าเวียกจับการ๕ จึงนำเส้นเจ้าเวียกจับการเข้าไปถวายพระยาสุมิตตธรรม ๆ พระองค์จึงให้เอาพระเนียนเงินคำและเครื่องใช้ในการงานทั้งสิ้น ให้กับพลเทวอำมาตย์ ไปพระราชทานแก่คนทั้งหลาย พลเทวอำมาตย์รับเอาไปให้ล่ามนำไปแจกจ่ายแก่นายด้านนายกอง เงิน ๑๐,๐๐๐ คำ ๑,๐๐๐ เสื้อผ้า ส่วนคนทั้งหลายนอกนั้นได้รับพระราชทานเงิน ๑,๐๐๐ คำ ๑๐๐ เสื้อผ้า พร้อมทั้งเครื่องใช้ในการงาน เป็นต้นว่า มีด พร้า จก๖ เสียม ขวานเล็ก ขวานใหญ่ สิ่ว ชี๗ ให้พร้อมสรรพ ควายคู่หนึ่ง เกวียนเล่มหนึ่ง เรือลำหนึ่ง เสมอกันทุก ๆ คน และให้เขาพาเอาลูกเมียญาติพี่น้องวงศ์วานเข้ามาตั้งบ้านสร้างเมืองอยู่ในที่นั้น
สรรพเงินทองข้าวของทั้งหลายที่จ่ายออกพระราชทานนี้ เป็นเครื่องราชบรรณาการ พระยาร้อยเอ็จพระนครนำมาถวายแด่พระองค์ปีละ ๒ ครั้ง ด้วยกุศลบุญที่พระองค์ได้ใส่บาตรแล้วอุ้มบาตรไปถวายพระศาสดา และปรารถนาค้ำชูพระพุทธศาสนา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้นโพ้น เมื่อแจกจ่ายพระราชทานเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับคืนสู่พระนครพร้อมด้วยพระราชเทวีแก้ว คนทั้งหลายจึงได้ก่อสืบต่อตั้งแต่พลานอุโมงค์ชั้นต้นนั้น ขึ้นเป็นพลานชั้นถ้วน ๒ เหลือไว้
ครั้งนั้น พระยาปุตตจุลณีพรหมทัต พร้อมด้วยนางปัจฉิมราชเทวี พระยาจุลอินทปัฐนคร พร้อมด้วยพระราชเทวี เสด็จมาประทับที่ภูกำพร้า อมรฤษีและโยธิกฤษีก็มาสู่ที่ภูกำพร้าที่นั้น พลเทวอำมาตย์จึงให้ล่ามรองเข้าไปกราบทูลพระยาสุมิตตธรรม เมื่อพระองค์ทรงทราบก็เสด็จออกมาประทับในพระราชสำนัก แล้วเสด็จไปสู่ภูกำพร้า เชิญพระอุรังคธาตุออกมาประดิษฐานบนพานทองคำ
พระยาปุตตจุลณีพรหมทัต และพระยาจุลอินทปัฐนคร พร้อมด้วยฤษีทั้ง ๒ จึงเอาอุโมงค์หินยอดภูเพ็กนั้นขึ้นไปตั้ง พระยาสุมิตตธรรมจึงเชิญเอาพระอุรังคธาตุขึ้นไปฐปนาไว้ พลเทวอำมาตย์นำพระเต้าขึ้นไปถวาย พระยาสุมิตตธรรมทรงรับเอาโสรจสรงพระอุรังคธาตุ เสนาอำมาตย์ทั้งหลายจึงได้นำเอาพระพุทธรูปเงินและธาตุพระอรหันต์ที่ตนได้ส่วนน้อย มาฐปนาไว้ตามมุมและริมอุโมงค์นั้น
พระยาทั้ง ๓ ก็เสด็จขึ้นไปบนยอดด้วยพระองค์เอง คนทั้งหลายลางพวกก็ขับร้อง ลางพวกก็ฟ้อนรำ ลางพวกก็ดีดสีตีเป่าดุริยดนตรี เทวดาทั้งหลายประโคมด้วยเสียงสังข์ และให้ฝนตกลงมา บุคคลจำพวกใดชอบชุ่มเย็น ฝนก็ตกลงมาถูกต้องบุคคลจำพวกนั้น บุคคลจำพวกที่ไม่ชอบ ฝนก็ไม่ตกลงมาถูกต้อง บุคคลที่เป็นพาธิ เป็นต้นว่า เจ็บไข้ หูหนวก ตาบอด ทูดเรื้อน เมื่อได้เข้าไปพร้อมในการกุศลนั้น ๆ พยาธินั้น ๆ ก็หายสิ้น เทวดาทั้งหลายก็โปรยปรายข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ลงมาสักการบูชา ทั่วบริเวณภูกำพร้าที่นั้น
พระยาทั้ง ๓ มีพระยาสุมิตตธรรมเป็นประธาน พระองค์ทรงปรารถนาให้ได้เสวยราชสมบัติทั่วทุกพระนครที่มีในชมพูทวีปทั้งสิ้น และให้ได้เป็นผู้ค้ำชูพระพุทธศาสนา ตลอด ๕๐๐๐ พระวรรษา ครั้นจุติให้ได้ไปเสวยสุขในชั้นดุสิต ลงมาพร้อมด้วยพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์
ส่วนอมรฤษีจึงปรารถนาเป็นพระพุทธบิดาในภายหน้า พระยาปุตตจุลณีพรหมทัตและพระยาจุลอินทปัฐนคร ว่าได้เสด็จก่ออุโมงค์ครั้งแรกนั้น มีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา มิได้ปรารถนาแม้แต่อย่างใด พระอรหันต์ ๕๐๐ มีพระมหากัสสปเถระเจ้าเป็นประธาน ได้เห็นแจ้งแก่ตาแท้จริง
พระยาปุตตจุลณีพรหมทัต จึงได้ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระยาจุลอินทปัฐนคร ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา เมื่อพระยาสุมิตตธรรมได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โยธิกะฤษีปรารถนาบวชเป็นภิกษุในศาสนา และให้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์วิเศษ พลเทวอำมาตย์ปรารถนาไปเกิดในเมืองสาวัตถี สืบพระพุทธศาสนาตราบเท่าถึงเมืองสุวรรณภูมิ ครั้นจุติจากชาตินั้น ๆ ขอให้ไปบังเกิดในชั้นดุสิต ลงมาพร้อมพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์
ส่วนนางเทวีแก้ว ปรารถนาเป็นเทวีแก้วของพระยาสุมิตตธรรม ตราบเท่าจนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพาน นางปัจฉิมราชเทวีปรารถนาเป็นมารดาพระยาสุมิตตธรรมทุก ๆ ชาติ ตราบเท่าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นางเทวีมารดามหารัตนเถระทั้ง ๒ ปรารถนาเป็นอัครสาวิกาองค์หนึ่ง
ครั้งนั้น พระอรหันต์ทั้ง ๕ พร้อมกันอนุโมทนาในพระราชกุศลนั้น ๆ ด้วยคำว่า ความปรารถนาของมหาราชทั้ง ๓ ขอจงสำเร็จโดยพระราชประสงค์จงทุกประการ ขออย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากั้นกางความปรารถนาของมหาราชแม้แต่น้อยเทอญ ถึงแม้ว่าความปรารถนาของฤษีทั้ง ๒ ก็ดี พระนางทั้ง ๓ ก็ดี พลเทวอำมาตย์ก็ดี ขอให้ได้สัมฤทธิ์ดังความปรารถนาจงทุกประการ ด้วยอานิสงส์ผลที่เราผู้อรหันต์นี้ก็ดี จงได้ค้ำชูญาติเผ่าพงศ์วงศาที่ได้กล่าวพระนามและนามมาแล้ว จงสัมฤทธิ์ทุกประการเทอญ
ทันใดนั้น พระยาสุมิตตธรรม พร้อมด้วยพระยาทั้ง ๒ ทรงพระโสมนัสยิ่ง จึงตรัสว่า สาธุ สาธุ แล้วพระองค์จึงให้แต่งเครื่องอุปัฏฐากพระอุรังคธาตุ เป็นต้นว่าพานทองคำ ๒ ลูกพร้อมด้วยเครื่อง มีเต้าปูน ซองพลู จอกหมาก อูบยา๘ อูบนวด๙ มีดด้ามทองคำ รวมทั้งสิ้นหนัก ๗,๐๐๐ บาท พานทองตั้งรองอูบเมี่ยงคำ๑๐ลูกหนึ่ง พานนากตั้งรองน้ำเต้าทองคำลูกหนึ่ง หนักเสมอพานเงิน พานเงินตั้งรองพานทองคำใส่ซองผ้าเช็ดหน้า หนัก ๓,๐๐๐ ตำลึง
พลเทวอำมาตย์นำเครื่องเหล่านี้เข้าไปตั้งไว้ในอุโมงค์ พระยาสุมิตตธรรมพร้อมด้วยพระราชเทวีแก้ว เสด็จเข้ามาทรงจัดเรียงลำดับ พานทองคำจึงกะทบพานแก้ว พระยาสุมิตตธรรมและนางเทวีแก้ว พร้อมด้วยพลเทวอำมาตย์ เห็นเครื่องอุปัฏฐากพระอุรังคธาตุที่พระยาอินทร์ตกแต่งตั้งเรียงไว้งามสลั่ง จึงพร้อมกันยกขึ้นเหนือเศียรเกล้า แล้วก็มิได้ปรากฏแก่ตาคนทั้งหลาย ผู้มีบุญสมภารเทวดาจึงให้เห็น พระยาและนางจึงได้เสด็จออกเวียนปทักษิณ ๓ รอบ แล้วจึงรับสั่งให้ก่อกำแพงล้อม และถวายเขตต์แดนไว้กับพระมหาธาตุเจ้า พระราชทานคนที่มีกำลัง ๓,๐๐๐ คน มีล่ามหลวงเป็นต้น อยู่เป็นข้าโอกาสหยาดน้ำ ตราบเท่า ๕๐๐๐ พระวรรษา แล้วพระองค์ทรงหลั่งน้ำไว้ฉะเพาะหน้าพระอรหันต์ทั้ง ๕ แล้วเสด็จมาประทับที่ราชสำนัก พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พร้อมด้วยฤษีทั้ง ๒ จึงพร้อมกันเข้าไปกราบทูลลาไปสู่พระนครและที่อยู่แห่งตน ๆ
ครั้งนั้น พระยาสุมิตตธรรม พร้อมด้วยรี้พลโยธา เสด็จไปทอดพระเนตรต้นรัง ที่ว่าพระองค์ได้อุ้มบาตรนำไปถวายพระพุทธเจ้า เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วทรงเลื่อมใส จึงได้ก่ออุโมงค์มีสัณฐานเหมือนดังอุโมงค์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุ พระอรหันต์ทั้ง ๕ จึงไปสู่เมืองราชคฤห์ นำเอาพระบรมธาตุสันหลังของพระศาสดามาฐปนาไว้ ณ ที่นั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับคืนมาสู่เมืองมรุกขนคร
ครั้งนั้น พระยาสุมิตตธรรมจึงตรัสสั่งให้พลเทวอำมาตย์ไปตรวจดูเมืองร้อยเอ็จประตู จึงได้เห็นอาณาประชาราษฎรทั้งหลายที่มีเหลืออยู่ ๑๐๐,๐๐๐ คน ผ้าขาวดาวบศ ๕,๐๐๐ คน พระสงฆ์ ๕,๐๐๐ องค์ สามเณร ๗๐๐ องค์ พลเทวอำมาตย์จึงกดเอามากราบทูลให้ทรงทราบ แล้วพระองค์ตรัสถามพลเทวอำมาตย์ว่า เมืองร้อยเอ็จประตูเดี๋ยวนี้เขาอาศัยซึ่งเมืองใดเล่า พลเทวอำมาตย์กราบทูลตอบว่า ทุกวันนี้เขาได้นำดอกไม้เงินทองและเครื่องบรรณาการไปถวายพระยาอัฒภายหน้า และพระยากุรุนทนคร ที่เขาได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายมหาราชเจ้าทุกปีนี้แล
พระยาสุมิตตธรรม ละเสียจากเมืองมรุกขนคร ไปเสวยราชสมบัติในเมืองร้อยเอ็จประตูสืบพระพุทธศาสนา ครั้นจุติก็ได้ไปบังเกิดในเมืองพาราณสี แล้วออกบวชเป็นฤษี มีนามชื่อว่า “สุมิตตธรรมฤษี” อยู่ในป่าหิมพานต์ กล่าวอุรังคธาตุนิทาน ศาสนานครนิทานบาทลักษณนิทาน สิ้นข้อความแต่เท่านี้
นิทานอันนี้ พระอรหันต์ทั้ง ๕ แต่งไว้ในวัดเมืองร้อยเอ็จประตู วิสสุกรรมเทวบุตรนำเอาไปจารึกใส่ลานทองไว้ในชั้นดาวดึงส์ ครั้นถึงสมัยพระยาจันทพานิชสร้างเมืองฟากหนองคันแทเสื้อน้ำนั้น พระยาอโศกได้เกิดมาโชตนาพระพุทธศาสนา พระยาอภัยทุฏฐคามณีสร้างโลหปราสาทในเมืองลังกาทวีป วิสสุกรรมเทวบุตรจึงได้นำเอาลานทองคำนั้นไปใส่ไว้ในโลหปราสาท มหาพุทธโฆษาจารย์ไปสู่เมืองลังกา จึงได้จำลองเอามาไว้ในเมืองอินทปัฐนคร เป็นอันนานมาแล้ว