คำนำ
มหาเสวกโท พระยาพจนปรีชา (ม.ร.ว. สำเริง อิศรศักดิ์ ณกรุงเทพ) จะปลงศพคุณหญิง (พยอม) พจนปรีชา ปราถนาจะพิมพ์หนังสือเปนของแจกเนื่องในทักษิณานุปทานที่บำเพ็ญอุทิศให้แก่ภรรยาสักเรื่อง ๑ มาขอให้ข้าพเจ้าช่วยเลือกหาหนังสือที่ในหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครให้พิมพ์ ข้ามเจ้านึกได้ถึงบทละคอนเรื่องขุนช้างขุนแผนพระราชนิพนธ์ของสมเด็จบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์มีอยู่ในหอพระสมุด ฯ ซึ่งข้าพเจ้าได้หวงไว้เพื่อจะพิมพ์ให้เหมาะกับโอกาศเห็นว่าควรจะให้พระยาพจนปรีชาพิมพ์ได้ ด้วยเปนปนัดดาสืบสาโลหิตมาแต่สมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้น อิกประการ ๑ พระยาพจนปรีชาเปนนักเรียน มีมิตรสหายในพวกชอบทางวรรณคดีอยู่มาก หนังสือเรื่องนี้เปนหนังสือแปลกยังไม่เคยพิมพ์ แลเข้าใจว่าจะไม่มีฉบับอยู่ที่อื่นอิก ถ้าพิมพ์แจกผู้ที่ได้รับก็เห็นจะพอใจ ทั้งจะเปนประโยชน์รักษาพระราชนิพนธ์ไว้มิให้เสื่อมสูญด้วย ข้าพเจ้าบอกความคิดเห็นแก่พระยาพจนปรีชา ๆ ก็เห็นชอบด้วย จึงรับฉบับไปจัดการพิมพ์ตามประสงค์
หนังสือซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ทรงพระราชนิพนธ์ แลมีพระราชบัณฑูรให้แต่งขึ้น หอพระสมุดฯ รวบรวมไว้ได้หลายเรื่อง แต่ต้นฉบับที่มีอยู่ไม่ใคร่จะบริบูรณ์ หนังสือที่ทรงพระราชนิพนธ์เองมักเปนบทกลอนเปนพื้น ที่หอพระสมุด ฯ ได้พิมพ์แล้วคือ ลิลิตนิราศเสด็จยาตราทัพไปปราบพม่าข้าศึกทางแขวงกาญจนบุรีเรื่อง ๑ เพลงยาวโต้ตอบกับพระองค์เจ้าหญิงดาราวดีเรื่อง ๑ บทละคอนเรื่องเบ็ดเตล็ดสำหรับเบิกโรงชุด ๑ บทละคอนเรื่องพระลอชุด ๑ บทละคอนเรื่องหนุมานอาสา (สังเกตสำนวนดูเหมือนจะเปนของผู้อื่นแต่งตามรับสั่ง) เรื่อง ๑ หนังสือซึ่งมีพระราชบัณฑูรให้ผู้อื่นแต่งนั้น มีหนังสือเรื่องพิไชยสงครามเปนสำคัญ ปรากฎในบานพแนกว่า ทรงตั้งกรรมการให้รวบรวมหนังสือพิไชยสงคราม เข้าเปนเรื่องเดียวกัน เปนหนังสือ ๑๒ เล่มสมุดไทยแต่ที่ในหอพระสมุด ฯ ได้ฉบับไว้หาครบไม่
ส่วนบทละคอนเรื่องขุนช้างขุนแผนนี้ ทรงพระราชนิพนธ์เปนตอนๆจะทรงกี่ตอนทราบไม่ได้ แต่ที่มีฉบับอยู่ในหอพระสมุด ฯ ๓ ตอนด้วยกัน ตอนที่ ๑ ตรงนางวันทองพบกับนางลาวทองเกิดหึงส์กัน ตอนที่ ๒ ตรงขุนแผนลอบลักนางวันทองจากขุนช้าง ตอนที่ ๓ ตรงอสูรกายนางวันทองห้ามทัพ ต้นฉบับตอนที่ ๓ ไม่บริบูรณ์ พระยาพจนปรีชาจึงรับไปพิมพ์แต่ตอนที่ ๑ กับตอนที่ ๒
พิเคราะห์ดูเรื่องละคอนซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ทรงพระราชนิพนธ์นั้น ดูเหมือนมีพระราชประสงค์จะหาเรื่องแปลกเล่นให้ผิดกับผู้อื่น จึ่งเอาเรื่องเบ็ดเตล็ดสำหรับโขนเล่นเบิกโรง แลเอาลิลิตเรื่องพระลอมาแต่งเปนบทละคอน แลแทรกเรื่องรามเกียรติตอนหนุมานอาสา ให้เปนเรื่องนางสุวรรณกันยุมากับนางเบญกายหึงส์กัน ส่วนเรื่องขุนช้างขุนแผนก่อนนั้นก็เห็นจะใช้แต่ขับเสภาหามีผู้หนึ่งผู้ใดเล่นละคอนไม่ จึงทรงพระราชนิพนธ์เปนบทละคอนขึ้นเพื่อจะได้เล่นให้แปลกกับผู้อื่นเช่นเดียวกัน ถ้าว่าโดยทางตำนานเห็นพอจะยุติได้ ว่าละคอนที่เล่นเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ทรงริขึ้นก่อนที่ละคอนนอกเล่นเรื่องขุนช้างขุนแผนกันเปนสามัญมาเล่นต่อในรัชกาลที่ ๔ มีละคอนโรงนายเนตร นายต่าย ชำนาญเล่นเรื่องขุนช้างขุนแผน นายต่ายเปนตัวขุนช้าง นายเนตรเปนตัวพระไวย แลเปนนางได้ด้วยเล่นไม่มีใครสู้ แต่เรื่องที่เล่นมักเล่นตอนแต่งงารพระไวย กับตอนขุนช้างถวายฎีกาเอาบทเสภาไปแก้เปนบทละคอน หาได้แต่งบทใหม่อย่างสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ทรงพระราชนิพนธ์ไม่ มาจนถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงเล่นละคอนเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนพลายเพ็ชรพลายบัว จึงให้หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม) แต่งบทละคอนเรื่องขุนช้างขุนแผนขึ้นอิกตอน ๑ ละคอนเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ยังเล่นอยู่จนทุกวันนี้ ตำนานบทละคอนเรื่องขุนช้างขุนแผนมีดังแสดงมา
อนึ่งพระยาพจนปรีชาได้จดเส้นสกุลคุณหญิง (พยอม) พจนปรีชาส่งมาเพื่อให้พิมพ์ในท้ายคำนำแทนประวัติ จึงได้พิมพ์ไว้ตามประสงค์ดังต่อไปนี้
ประวัติ
( ๑ ) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
บุณย์รอด ต้นสกุลบุณยรัตพันธุ์
( ๒ ) เจ้าพระยาอภัยภูธร น้อย
( ๓ ) เจ้าพระยาภูธราภัย นุต
( ๔ ) นายจ่ารง กลิ่น-บิดา. ปุ้ย-มาดา
( ๕ ) พยอม
เกิดวัน ๔ ๘ฯ ๔ ค่ำปีเถาะเอกศก จุลศักราช ๑๒๔๑ วันที่ ๓ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๙๘ พระพุทธศักราช ๒๔๒๒
มีธิดาแลบุตรเกิดด้วยพระยาพจนปรีชา (หม่อมราชวงศสำเริง อิศรศักดิ ณกรุงเทพ) ๗ คน คงอยู่ในบัดนี้ ๓ คือที่ ๒ หญิง หม่อมหลวงผกา ที่ ๔ หญิง หม่อมหลวงมาลี ที่ ๗ ชาย หม่อมหลวงธนู
ถึงแก่กรรมวันพุธที่ ๑๒ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๒๐ รวมอายุตามโหราศาสตร์ ได้ ๓๗ ปี ๙ เดือน ๑๐ วัน
ฌาปนกิจศพ วันที่ ๓ พฤษภาคม พระพุทธศักราซ ๒๔๖๗
ข้าพเจ้าขออนุโมทนากุศลบุญราศีทักษิณานุปทาน ซึ่งมหาเสวกโทพระยาพจนปรีชาได้บำเพ็ญเปนปัตติทานมัยทางทารสังคหะ แลที่ได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้แพร่หลาย หวังว่าผู้ที่ได้รับไปคงพอใจแลอนุโมทนาด้วยทั่วกัน.
สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๒๙ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๗