๏ อุตมางค์บังคมก้มศิโรตม์ ด้วยมาโนชน้อมประนตบทศรี แด่พระปิ่นมุนินโทมิ่งโมฬี อันเป็นที่นำสัตว์พ้นจัตุบาย ทั้งพระธรรมคำสอนศาสนะ ให้หลีกละล้างโทษโลภโกรธหาย ขจัดจากราคกำม์หักทำลาย ไม่เกิดตายลุถึงซึ่งนิพพาน อีกพระสงฆ์ทรงศีลชินบุตร์ บริสุทธิ์เพียรธรรมกรรมฐาน ล่วงบรรลุมรรคผลพ้นมือมาร ควรสักการบูชาทั่วสากล อนึ่งเคารพจอมนราสยาเมศร์ ซึ่งปกเกษหล้าแหล่งทุกแห่งหน ประดุจดวงสุรศรีมีมณฑล ประชาชนอุ่นเกล้าอยู่เช้าเย็น ไหว้ชนกนนทลีมีพระคุณ ที่การุญมิให้เคืองราคีเข็ญ ถนอมเลี้ยงเช้าค่ำไม่ลำเค็ญ ปลาศเว้นจากวิบัติกำจัดพาล อนึ่งไหว้ครูผู้สอนศิลปะ เสวนะในสิ่งที่แก่นสาร มีพระคุณถ้าคิดพิศดาร เหลือจะจานจำจดรจนา

๏ ขอแสดงแจ้งบทพจนาท เรื่องนิราศจากถิ่นที่เคหา โดยเสด็จวรพงษ์องค์นุชา จอมนราอยุทธเยศร์สยามินทร์ เสด็จโดยพระประสงค์ทรงตรวจกิจ ทั่วทุกเมืองฝ่ายทิศอุดรสิ้น หวังทรงทราบกิจจาในธานิน ประเทศถิ่นคามเขตรเกษตรา หนึ่งแผนที่แถววิถีชนบท ผลูจดวัดทั่วทุกทิศา สอบจำนวนส่วนพิกัดในอัตรา ภาษีอากรสรรพ์สะริราย ทั้งเครื่องมือจับสัตว์มัศยา บาญชีพาหนะมีที่หมู่หมาย จำนวนเลขหมวดกรมสมทนาย พลนิกายกองส่วยสังกัดพรรค์ เสด็จดลศุโขไทยในวันที่ ยี่สิบสามพฤศจิกายนวะสันต์ ศกร้อยสิบเอ็ดเสร็จฝนชนเหมันต์ ประชุมสรรพ์กรมกิจพานิชา พร้อมเจ้าเมืองเนืองแน่นน้อมคำนับ โสตรสดับพระกระแสซึ่งปัณหา ทรงปราไสไต่ถามความภารา พระกรุณาอย่างยิ่งสิ่งแสดง ประทับเนาธานีตรีวาระ เสด็จจะสู่เบื้องเมืองระแหง ทรงโปรดจ้างตัวไพร่ให้ค่าแรง ไม่ถูกแพงพอควรส่วนอัตรา ให้หาบหามตามเสด็จโดยประสงค์ พระองค์ทรงแสะเสวตรดุรงค์กล้า พวกขุนนางต่างภักดีขี่อาชา ดังดาราล้อมจังหวัดรัชนี พลช้างผูกช้างที่นั่งประทับ สับประคับล้วนสุวรรณ์อันเรืองศรี ดังเวไชยยันต์ทรงองค์ศุลี สถิตย์ที่หลังพระยาเอราวรรณ ๏ ขอขยายฝ่ายเราชาวศุโข อรุโณทัยไถงกระยาหงัน เตรียมกระบวนเครื่องครัวออกพัวพัน ทั้งหวานมันคาวส้มสรรประจง ทั้งถ้วยชามรามไหมโอ่งไหหม้อ บันทุกล้อลากมาตามความประสงค์ เป็นเสบียงเลี้ยงไพร่ที่ในดง พิทักษ์องค์พระมหาเสนาบดี เครื่องเสวยเคยถวายทุกค่ำเช้า แล้วเลี้ยงเหล่าขุนนางสำอางศรี มหาดเล็กจีนไทยไพร่โยธี ได้เปรมปรีดิ์ชื่นบานการนิยม ๏ โอ้ตัวเราคราวนั้นเหมือนจันทระ ได้พบปะอสุรินทร์เมื่อกินขนม พอจับเงาเข้าก็คายคลายอารมณ์ รักษาพรหมจรรย์มาก็กว่าปี แม้ลืมตัวคลัวเคลียเหมือนเสียทวีป ครั้นจะรีบละไกลก็ใช่ที่ จะหมายเคียงดาริศร์เห็นผิดที เหมือนมณีไร้เรือนสุวรรณา แล้วหวนจิตร์คิดถึงบุตรสุดสวาศ ต้องบำราศชนนีอนาถา ได้รับความการุญเจ้าคุณตา ท่านอุส่าห์เลี้ยงรับประคับประคอง ถ้าหาไม่ไหนจะปลอดรอดชีวิตร์ โอ้คิดๆขึ้นมาอุราหมอง สู้กล้ำกลืนขืนทะเวศน้ำเนตรนอง ยิ่งตรองๆก็ยิ่งช้ำระกำกาย ๏ ถึงท่าหินให้ถวิลสังเวชจิตร์ โอ้คิดๆขึ้นมาน่าใจหาย เหมือนเขาชวางกลางทะเลเอกากาย จะมาตรหมายแม่เรือนไม่เหมือนใจ เห็นสะพานคลองโพโอ้อนาถ กระดานพาดผุป่นไม่ทนได้ เหมือนกองขันธ์สรรพสัตว์วัฏโลกัย ชราภัยผูกพันผันทุพล พอจิตร์ปลงลงในพระไตรย์ลักษณ์ อารมณ์หักลงได้บ้างเป็นครั้งหน รฦกถึงราชกิจที่ติดตน การกังวลน่าที่มีประจำ ดำริห์พลางทางเร่งสินธพเต้น ไปตามเส้นทางระยะไม่ถลำ ถึงบ้านกล้วยให้ระทวยฤไทยระกำ เหมือนจะทำสนเท่ห์ให้คนทาย การนิยมนามนิคมทุกคามเขตร ทั่วประเทศถิ่นอื่นก็ดื่นหลาย โดยสังเกตเหตุสำคัญบรรยาย จึงควรหมายนามนั้นเป็นสัญญา นี่บ้านกล้วยเป็นไฉนมาไร้กล้วย น่าจะงวยงงคามเที่ยวถามหา มีแต่ไผ่ล้อมเป็นเขื่อนเหมือนจะพา ให้อุราเรียมร้อนเมื่อลังเล ตำแหน่งพลนี้ประดลมคธแถลง แปลว่าแรงด้วยกำลังไม่พลั้งเผล ไยไม่สมดังมานะที่คะเน กรรมบุเรภพสร้างแต่ปางใด จะดูกายฝ่ายโรคก็รุมรัด ทรัพย์สมบัติเล่าก็พร่องไม่ผ่องใส ทั้งปัญญาก็เขลาเชาวน์ไม่ไว จะใช้ได้ก็แต่การกะตัญญู ๏ ถึงหลุมเข้าดังจะเล่ากิระเรื่อง ว่าบ้านเมืองขุ่นหมองด้วยตองซู่ ม่านพม่าพาเข็ญเป็นริปู มาพันตูไทยพ่ายต้องถ่ายครัว เอาโภชนามาฝังปิดบังไว้ ที่ภายใต้ต้นโพธิ์นิโครธ์ทั่ว จึงถือเอานามนั้นมาพันพัว อยู่จนชั่วบุตรหลานตั้งบ้านเรือน มาสมัยได้ร้อยสิบสังวัจฉร์ พงษ์กระษัตริย์ครองประเทศเป็นเขตร์เขื่อน ดัษกรรอญประลัยไม่ต่อเตือน นิยมเยือนยอมถวายราชไมตรี ได้ดับเข็ญเย็นเกล้าเหล่าทวยราษฎร์ พึ่งพระบาทบงกชบทศรี สมณะพราหมณาพญารีย์ กะฎุมภีพานิชจิตรสำราญ ๏ ถึงบ้านขวางกังขาไม่สามารถ จะคิดคาดเอาอันใดมาไขขาน ผิดสังเกตเหตุจะถามความบุราณ ประมาณบ้านกว่าร้อยหลังคาเรือน พอพ้นวัดทัศนาบรรดาล้อ มาจอดรอแรมอยู่ดูออกเกลื่อน แม่ทองคำเห็นก็ทักไม่ยักเฟือน มาเชิญเตือนรับประทานสำราญใจ ดูสำรับคับคั่งตั้งไว้เลี้ยง ทั้งของเคียงคาวหวานในจานใส่ ตรุณิศร์นรลักษณ์ภักตร์ประไภ งามละไมเหมือนจะแย้มให้เรียมยล ต่างจัดแจงแต่งเครื่องไว้รับเสด็จ พร้อมสำเร็จสาระพัดไม่ขัดสน รู้ธรรมเนียมเรี่ยมดีนิฤมล แต่ละตนเหมือนจะเตือนไมตรีมี ต้องพูดจาปราไสทำไขซื่อ ครั้นจะรื้อเรื่องร้อนกลัวหล่อนหนี เลยไถลไปเป็นท่าสามัคคี ขึ้นพาชีควบขับไปลับตา ๏ ถึงเพ็ดไฝไขคำนิคมเล่า ว่าผู้เฒ่าหนึ่งไซ้แก่ใจกล้า ชื่อตาเพ็ดไฝมีที่กายา ล้มรุกขาทำไร่ในลำเนา ขนานนามตามเหตุสังเกตทราบ เป็นการหยาบย่อมรู้เพราะผู้เฒ่า พอแก้กันสงไสย์ให้บันเทา แต่โศกเราสุดทายที่หมายชม สัตตบุษย์ยังไม่ผุดขึ้นพ้นน้ำ จะด่วนดำได้ที่ไหนด้วยไม่สม เหมือนยลฉายในกระจกหัวอกกรม สุดจะก้มกลืนชลน์ด้วยจนใจ ๏ ถึงเมืองเก่าเห็นเขาตั้งพลับพลา พบหลวงนากับปลัดวิ่งขวัดไขว่ พากันร้องทุกข์ออดทอดอาไลย ว่าพวกไพร่ไม่มีทำเหลือกำลัง ขอให้ช่วยด้วยสักหน่อยจึงค่อยจร กลัวจะร้อนถึงหวายเสียดายหลัง เราก็คิดถึงตัวกลัวจะพลั้ง ว่าฉันยังช่วยไม่ได้จนใจจริง เจ้าคุณบัญชาให้ทำปรำไว้ จะรีบไปบ้านด่านไม่นานนิ่ง แต่กำนันนั้นหันเป็นระวิง ยายเมียวิ่งช่วยผัวตัวเป็นเอ็น สุรชาติ์ราชศักดิ์อรรคถาน จะเปรียบปานวาสุกรีใช่มีเล่น ถึงเมตตาปราโมทย์โปรดให้เย็น ก็จำเป็นสรรพสัตว์ควรอัศจรรย์ ลาหลวงนาขวบม้ามุ่งเขม้น อาชาเผ่นด้วยกำลังดังกังหัน เห็นวัดเก่าเปล่าร้างกลางอารัญ หลังหนึ่งนั้นเสาเป็นท่อนศิลาแลง หลังหนึ่งอิฐปูนประจำโบกทำสนิท ภาพวิจิตรในศิลาเลขาแถลง มีอักษรแต่บุรำคำแสดง ดูไม่แจ้งอ่านไม่จังที่หลังเรียญ อยู่ในผนังว่างโว้งอุโมงค์คลุ้ม เป็นเซิงซุ้มจนตลอดยอดเสถียร ชั้นบันไดแลโล่งดูโปร่งเตียน คั้งคาวเวียนบินว่อนเข้านอนเนา อันวัดนี้มีชื่อว่าสีชุม ชนชุมนุมไหว้พระเมื่อขึ้นเขา เวลาตรุศสุดสนุกศุขไม่เบา ไปขึ้นเขาไหว้พระบาทนารถมุนินท์ ยังวัดอื่นดื่นดายหมายไม่ทั่ว เห็นหลายชั่วผู้เฒ่าสุดเราถวิล ไม่มีที่กำหนดบทระบิล เหลือจะจินตนาเหตุสังเกตการ พิเคราะห์ดูชะรอยหมู่ชนแต่ก่อน ในนครนี้คงศุขสนุกสนาน พุทธสาศน์สมบูรณ์พูนศฤงคาร บริพารพงษ์กระษัตริย์คงวัฒนา อนึ่งพระปฏิมาศก็กลาดเกลื่อน ชำรุดเลื่อนหักพังน่ากังขา ทำด้วยทองเหลืองสัมฤทธิ์อิฐศิลา เวทนาดูอนาถอนาทร อนิจจังหวังไม่เที่ยงพระนิเทศ สมดังเหตุธรรมาอุทาหรณ์ ที่หมายแน่นแก่นสารคงราญรอน เพราะข่ายบรมัจจุราช์มายายี หนึ่งของสูญปูนอิฐสัมฤทธิ์เหล็ก ถึงใหญ่เล็กคงจะต้องเป็นปัถวี ท่านที่เป็นสมณะละโลกีย์ คิดจะหนีไปนิพพานบนชั้นพรหม ถ้าแม้ยังอยู่ในสังสาระวัฏ ที่ขุ่นขัดคงจะข้องเพราะซ่องสรม ถ้าหลงศุขคงได้ทุกข์ฤไทย์ระทม เพราะงงงมโมหะอวิชา บุถุชนเช่นเราเมาไม่ยั้ง อนิจจังท่านก็บ่งไม่เบี่ยงท่า รู้ไว้บ้างดีกว่าคร้านการไตรตรา ถึงเวทนาจะมาเนาเราเสบย ๏ โมทะนาอาวาศลิลาศเต้า ตามลำเนามรรคาไม่ช้าเฉย ถึงศาลาหนามแท่งไม่แจ้งเลย ยินเขาเคยเรียกนามตามสัญญา มีแต่ต้นหนามแทงดังแจ้งเหตุ พิศสังเกตริมผลูหมู่รุกขา เหมือนหนามแทงแกล้งกลัดขัดอุรา อาทะวาวังเวงในเพรงเรา ถ้ามีคู่อยู่ประจำเป็นกัมสิทธิ์ คงจะติดมาบ้างเหมือนอย่างเขา เมื่อยามเข็ญเห็นหน้าพาบันเทา ดีกว่าเหล่าไพร่ใช้ผู้ชายเคียง เห็นนกเขาเคล้าคู่คูออกจ้า ทั้งกะทาขันจ้อกรอกกรอเสียง หมู่ขมิ้นบินจับต้นโมกเมียง นกแก้วเคียงคู่พลอดบนยอดจันทน์ สาลิกากาเหว่าแขกเต้าเอี้ยง เค้าโมงเมียงจับมหาดอยู่เหหัน เหล่ากะลิงร่อนร้องก้องอารัญ เบ็ญจะวรรณ์จับหว้าดูหน้าชม นกกะไนจับไม้เจาะจิกหนอน เหมือนเสียงค้อนเคาะฟังดังขรม นกเอี้ยงโครงโป่งแป้นทั้งแอ่นลม ในพนมนานาสาระพัน พิเคราะห์ดูหมู่ปักษาทิชาชาติ คงไม่ขาดคู่สองประคองขวัญ ไร้แต่เราเปล่าอุราเอกาครัน เฝ้านับวันเดือนลับต้องนับปี ๏ ถึงคลองสวนป่วนจิตรให้คิดหวน เออก็สวนอยู่ที่ไหนในไพรสี หรือสวนเก่าคราวบูราณบ้านเมืองมี จึงเป็นที่เรียกนามตามสำคัญ ชลใสไหลออกจากซอกเขา ตามลำเนาแนววนะเมื่อวะสันต์ ถึงยามแล้งก็ไม่แห้งเป็นนิรันดร์ แต่ทุกวันนี้ไม่เป็นเหมือนเช่นเคย ไม่มุสากว่าสิบปีเท่านั้น มาแปรผันไปเสียสิ้นวารินเอ๋ย ต้องขุดบ่อรอไม่ใคร่จะไหลเลย ขาดสะเบยเพราะตำบลวิบัติเป็น โอ้อกอาตม์ขาดคู่เหมือนคลองแห้ง เมื่อฝนแล้งจึงได้รับความคับเข็ญ สักเมื่อไรฝนจะลงให้คงเย็น กนแต่เร้นไปรเวศเจตนา จนบุตรสาวชาวบ้านย่านขยาด ไม่สามารถกลัวจะเป็นเช่นมุสา ต้องโอนอ่อนผ่อนผันด้วยปัญญา จึงเมตตารักตอบเพราะปลอบโลม ดอกพยอมหอมหวนยวนนิไสย ไม่ชื่นใจเหมือนอย่างรศโอสถโสรม อยู่กลางเถื่อนเดือนสว่างใช้ต่างโคม แอบกระโจมเต๊นเหมือนกับเรือนนอน ๏ ถึงเขาค่ายหมายแม้นแดนน่าด่าน เป็นปราการเชิงเทินเนินศิงขร แต่ทิศใต้ไปจนสุดทิศอุดร เป็นสองตอนตั้งหว่างหนทางเดิน พึ่งเจ้าคุณบุญคล้ายกับค่ายเพ็ชร์ รับเสด็จคราวยุคไม่ฉุกเฉิน เป็นหัวหน้าพาให้ใจเจริญ ถ้าท่านเมินเราคงเลอะเซอะสิ้นที ๏ ถึงบ้านด่านชนบทลงปลดม้า ฝ่ายอาชาล้มพับลงกับที่ มันเป็นลมมิได้สมประฤๅดี วิสัญญีเสือกกลิ้งลงนิ่งงัน น่าสมเพชนักหนาม้าหนูชิต พอขุกคิดขึ้นหาสุพรรณ์ถัน เอาห่อผ้าจุดอัคคีให้มีควัน นาสิกมันสูบพอชื่นฟื้นอารมณ์ เป็นบุญเตือนเหมือนกุศลมาดนจิตร พบขนิฐแน่งน้อยมาสอยส้ม ได้พบภักตร์ทักถามตามนิยม แม่ซื้อส้มอยู่กับต้นกี่ผลไพ จงเมตตาปรานีเถิดศรีสวัสดิ์ ว่าควรขัดขุ่นข้องที่คำไข เหมือนดับร้อนผ่อนเข็ญให้เย็นใจ ถ้าแม้ได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย ฝ่ายยุพินผินภักตรมาเผยพจน์ มธุรศเหลืออารีไม่มีเฉย ไม่ชอกช้ำทำเนียบที่เปรียบเปรย แต่ไม่เอ่ยที่เราเอื้อนเหมือนภิปราย ดีฉันหรือซื้อส้มห้าใบเฟื้อง ไปยำเครื่องมังสะทูลถวาย เขาถือมั่นขันตีไม่คลี่คลาย เราต้องอายอ้นอั้นตันอุรา อันที่จริงหญิงกับชายที่ทายทัก ถึงจะรักก็ต้องไว้แต่ในหน้า เป็นสุดหมายในจิตรวนิดา กิริยาเหมือนจะเย้ยให้ยียวน จวนจะค่ำสำราญบ้านหลวงปราบ กำนัลทราบไล่พหลไม่หันหวน ไพร่ก็หลบขาดไม่ครบในจำนวน เสียกระบวนปัจุบันไม่ทันการ ต้องเกาะกุมตลุมบอนไพร่วอนง้อ บ้างก็ขอตัวไว้ใช้กับบ้าน บ้างบอกป่วยไข้เส้นเป็นมานาน ดูสาธารณ์ทั่วไปหมดปดก็มี ต้องซักไซ้สอบสวนแต่ควรได้ แท้ที่ไพร่หลอกเล่นเหมือนเช่นผี เร่งให้ไปทำปะรำค่ำวันนี้ ไม้ก็มีแบกขนไปจนพอ สุริเยศร์เสร็จย่ำพลบค่ำลง พบพระกงออกท่าน่าหัวร่อ เสียงออกเผงเก่งไม่เบาเราต้องง้อ ไปหาหม้อโอ่งไหมาให้แก อ้ายพวกไพร่ตักน้ำประจำไว้ แล้วขอไต้เตือนอึงคนึงแสร้ รำคาญหูอยู่ไม่ได้ไกตอแย จำต้องแชเชือนไถลไปที่นอน ประเดี๋ยวใจได้ยินเสียงเกวียนครัว ดังออกรัวมาถึงแกแสร้สลอน ซ้ำพิโรธโกรธกระไรดังไฟฟอน ให้คนจรมาที่เราเอาครุคาน ชั้นก้อนเซ่าก็ต้องเอาไปให้ด้วย กลัวแกฉวยฟ้องเจ้าคุณจะงุ่นง่าน ท่านเชื่อเขาเราก็รับอับประมาณ ราชการถ้ารังเกียจคงเกิดความ ๏ ครั้นอุไทยไขแสงแจ้งจังหวัด อำเภอจัดเกณฑ์พลมาล้นหลาม ทั้งสำรับคับคั่งนิคมคาม ขนมาตามตั้งถวายอยู่รายเรียง ๏ บัดสำเนียงเสียงคะเชนทร์ที่เกณฑ์ส่ง ออกแซ่ดงกระดิ่งลั่นสนั่นเสียง ทั้งพังพลายหลายช้างสะพรั่งเรียง มาพร้อมเพรียงที่พักอยู่อักแอ ๏ ปางพระองค์พงษ์นรานุชาราช ด้วยสามารถขับดุรงค์ทรงพระแสร้ ขุนนางเรียงเคียงคลอมาจอแจ ไม่ห่างแหเป็นขนัดจัดกระบวน อันขยมสมประดีขึ้นขี่ม้า ขับอาชารับเสด็จถึงคลองสวน น้อมศิโรเภทสลามตามที่ควร แล้วโดยด่วนนำเสด็จอันดับมา พอเจ้าคุณฉุนใช้ให้ไปก่อน จัดหาผลมะพร้าวอ่อนไว้คอยท่า ถวายองค์พงษ์นรินทร์ปิ่นประชา เป็นสุธารศเสวยเคยประจำ ผลมะพร้าวสั่งให้เขาเตรียมไว้เสร็จ แต่ว่าเข็ดกลัวไม่ทันท่านจะพร่ำ ต้องรีบร้อนจรตะบึงถึงปะรำ เห็นเขานำเอามาไว้ดังใจจง ๏ สักครู่หนึ่งจึงเสด็จดลประทับ มาคำนับถวายหวังดังประสงค์ พร้อมกระบวนบริษัทจัตุรงค์ พวกพระกงเชิญเครื่องเนื่องกันมา ๏ จานฝรั่งตั้งรายถวายเสร็จ ใส่หมูเป็ดไก่มังสะมัจฉา บันจงแต่งแสร้งสรรค์พรรณนา พระกระยาเสวยขาวราวมาลี ๏ ทรงเมตตาข้าบาทราชกิจ พระสฤษดิ์พจน์กรหลวงกรุงศรี พระวรพุฒิ์โภไคยไวยวุฒี ที่สี่หลวงไพศาลปฤชาญเชาวน์ ทั้งเจ้าคุณทรงการุญอารีย์โปรด ได้รับพระทานโภชน์ในที่เฝ้า ๏ เสร็จเสวยพันพระชงฆ์ทรงซับเพลา เสร็จเนาอาศนอัศวา พวกนายไพร่ใหญ่น้อยพลอยอิ่มเสร็จ ตามเสด็จเดียรดาษเกลื่อนกลาดป่า บ้างหาบลุ้งถุงย่ามตามกันมา หอบตะกร้าหิ้วกะทอขึ้นล้อเกวียน กระบือเทียมเตรียมกระบวนถ้วนทุกผู้ ตามผลูรัฐยางค์หนทางเลี่ยน สงสารแต่แม่สาวๆเข้ากราบเรียน ว่าขี่เกวียนไปไม่ได้ให้สเทือน ๏ ฝ่ายเจ้าคุณท่านการุญอารีย์ล้อม ช่างโอบอ้อมเอาใจใครจะเหมือน ด้วยรู้ทีกิริยาถ้าจะเชือน กระบวนเบือนบิดไถลไม่ไปตาม จึงเผยรศพจนาทประภาษสั่ง จำนงหวังสิ่งใดมิได้ห้าม จะขี่ช้างแย่งทองที่ของงาม แล้วแต่ความประสงค์ที่จงใจ ๏ เหล่าอนงค์นารีศรีสมร ฟังสุนทรยิ้มย่องสนองไข สวนระริกซิกซี้ด้วยดีใจ จะใคร่ไปเมืองตากไม่ยากเย็น ศิโรราบกราบกรานประทานโทษ เจ้าคุณโปรดเกษาเมื่อคราเข็ญ ขอสนองรองบาทไม่คลาดเว้น ไม่ว่าเล่นไปไหนจะไปตาม ๏ เจ้าคุณชอบขอบจิตรเหมือนสิษย์หา จะอาษากันเองอย่าเกรงขาม สรรพยอกเรียมล้อแต่พองาม ไม่ล่วงลามเหมือนอย่างเราท่านเข้าใจ ๏ เหมือนบรรเลงเพลงฆ้องของเก่าเหลือ ตีแต่เนื้อโหน่งเหน่งผิดเพลงใหม่ ลงลูกกลองแต่ละตูมไม่ชุ่มใจ ต้องปล่อยให้ตะโพนท้าน่ารำคาญ ไม่เหมือนเพลงเทพบรรทมชมสวนสวรรค์ ทั้งบุหลันลอยล่องซ้องประสาร ปี่ก็ตอดสอดฆ้องก้องกังวาล ระนาดขานรัวเกรียวเดี่ยวกราวใน ถึงสามชั้นสันทัดไม่ขัดข้อง เพราะเป็นของซึ่งประดิษฐคิดขึ้นใหม่ เพลงฝรั่งฟังเพลินเจริญใจ แล้วย้ายไปออกตะเขิงติดเปิงมาง ๏ ธรรมดาโลกียไม่มีสุด วรนุชนิ่มน้องอย่าหมองหมาง นักเลงกลอนนอนเปล่าไม่เข้าทาง ถึงหนาวครางก็ต้องทนนิพนธ์เพลิน ๏ พวกนารีขี่ช้างบ้างขี่ล้อ เสียงแจจอตามสนัดไม่ขัดเขิน ที่แก่เฒ่าเขาไม่ดูต้องสู้เดิน พูดไม่เพลินฟังไม่เพราะเคราะห์ของไก ๏ จากบ้านด่านยลศาลาขรัวตาพริก อรัญญิกอาศรมล้มไถล พังเกเรพื้นเพก็บันไลย หญ้าคาไม่มีบังยังแต่ตอ พระเจดีย์มีอยู่ดูชำรุด อิฐลุ่ยหลุดกองลอมลงซอมซ่อ เขาฦๅว่าแกขุดแร่ไว้เหลือพอ เอามาหล่อได้เนื้อเป็นเชื้อเงิน จึงสร้างพระเจดีย์ที่ผลู อ้ายโจรรู้ต่อยแยกแตกตระเพิ่น ไม่นิ่งดูอยู่ช้าเร่งม้าเดิน ไปตามเนินแนววะนัศทัศนา เป็นป่าแดงแจ้งโล่งดูโปร่งลิ่ว ที่แถวทิวเถื่อนทางหว่างรุกขา มีมูลแรงแท่งใหญ่ๆในสุธา ดูดาษดาเดินสะดุดแทบซุดซาน เหมือนหนึ่งเราเมาไม่หยุดสะดุดรัก อกจะหักเสียด้วยรายหมายสมาน เพราะถือมั่นสัญญาอุปาทาน จึงทรมานหม่นไหม้ในไฟกาม ที่นักปราชญ์ท่านฉลาดดำริห์คิด จึงไม่ติดชนตระหลบเวียนภพสาม ตัดกิเลศเขตรสวาดิมาตุคาม ไม่ลามปามปนปะชะนะจริง บุถุชนวนว่ายในสายสมุท ไม่สิ้นสุดความประสงค์ที่ตรงหญิง แม้บุพเพสันนิวาศมาพาดพิง เหมือนทากปลิงเกาะไม่หลุดสุดทำลาย ๏ มาถึงบ้านลานหอยต้องน้อยหน้า จำเภาะพาเสด็จเชือนไม่เหมือนหมาย หนทางเก่าเขาไม่ถางอย่างปีกลาย เป็นเคราะห์ร้ายเหมือนประมาทราชไภย ข้างฝ่ายข้าราชกิจติดจะวุ่น ชุนละมุนวิ่งกลุ้มไม่คุมได้ ไม่ทันตรองช่องมรรคาจะคลาไคล ประเดี๋ยวไพร่หนึ่งมานำให้ดำเนิน ๏ เจ้าคุณเราคราวนั้นท่านมั่นคง ออกนำหน้าม้าทรงไม่ห่างเหิน รับสั่งอะไรทูลไม่ขัดทรงตรัสเพลิน แต่เลยเจิ่นทางเก่าถึงเขาปูน เป็นชั้นเชิงเซิงซ้อนสลอนสลับ ประดุจแสร้งแกล้งประดับจับแสงสูรย์ เขียวขะจีสีคล้ายดังไพฑูรย์ รุกขรุ่นเรียงลอดขึ้นสอดแซม เหมือนไม้ดัดตอนตัดมาปลูกไว้ บ้างแตกใบผลิดอกออกแฉล้ม ตะเคียนข่อยแคหว้าตุมกาแกม ช้างน้าวแนมอินทนินกะถินพิมาน ที่เชิงเขาเหล่าต้นเตงสล้าง ทั้งอ้อยช้างชงโคตะโกซ่าน พลวงพยอมแดงเสดาเถาโคคลาน เหลือจะจานจดไม้บรรดามี ๏ ถึงท่าตะคล้อพอเพลาภาณุมาศ ล่วงลีลาศลับป่าพฤกษาสี ประทับตั้งเต๊นพลับพลาแรมราตรี อยู่ริมที่ท่ามกลางหว่างมรรคา ๏ พวกนายหมวดตรวจตราเกณฑ์น่าที่ กองอัคคีนั่งยามตามชายป่า ระวังเวียนเปลี่ยนผลัดเป็นอัตรา ฆ้องสัญญาตีสำหรับนับทุ่มยาม ๏ ฝ่ายกองครัวหัวน่าบรรดาล้อ จะออกจากท่าตะคล้อเมื่อทุ่มสาม เป็นกลางคืนดื่นดึกให้นึกคร้าม หลวงกำแหงสงครามเป็นนายกอง อาตมารับบัญชาเจ้าคุณกำชับ ต้องกำกับไปด้วยเขาทั้งเศร้าหมอง จะขี่ม้าไม่สันทัดขัดทำนอง วาตะต้องคลื่นเหียรให้เวียนวิง พลอยอาศรัยอัยรามาด้วยเขา พอบันเทาทางโรคที่โศกสิง ไม่มีกูบอานเปล่าหนาวจริงๆ จำต้องนิ่งนอนทนอยู่คนเดียว จึงยอกรวอนไหว้ไทเทเวศร์ เนาประเทศเถื่อนไม้พฤกษ์ไพรเขียว ทิพกรรณพันเนตรประเทศเทียว ที่ท่องเที่ยวคัคนัมอัมพรา มีพระญาณปานดวงวิเชียรโชติ เมตตาโปรดพรหวังอย่ากังขา ความประสงค์จงถวิลจินตะนา วิริยาอย่างยิ่งสิ่งภักดี ด้วยตัวข้าสามารถรับราชกิจ สุจริตมิได้อางขนางหนี หมายเป็นหนึ่งพึ่งบุพพะการีย์ โดยยินดีอย่างยิ่งสิ่งทั้งปวง ไม่สมหมายเหมือนจะวายวางชีวิตร ถ้าสมคิดศุขคงเท่าภูเขาหลวง เหมือนจันทรจรเด่นมาเห็นดวง แม้โปรดร่วงลงมาให้คงได้เชย ๏ มาถึงหนองจิกลีวิถีเถื่อน ข้างแรมเดือนมืดอัมพรไม่ผ่อนเผย ดาราเดียรดาศพะโยมลมรำเพย ช้างก็เลยล่วงทางไปกลางคืน โอ้ดูดวงดาราในอากาศ เหมือนหมายมาตรมารศรีเป็นที่ชื่น รัศมีศรีสว่างนภางค์พื้น สุดจะยื่นมือคว้าลงมาชม แม้วัชรินทร์อินทร์บรมสยมเมศร์ ท่านสังเวชเราไซ้คงได้สม เสี่ยงกุศลหนสร้างปางนิยม ที่อบรมย์มาแต่ก่อนคงผ่อนปรน กะตัญญูรู้คุณการุญรักษ์ สาพิภักดิ์แล้วคงเห็นจะเป็นผล ถึงยากแค้นแสนระกำจำต้องทน บุญคงดลดังที่ตั้งหวังสัจจา ๏ ถึงหนองจิกสุนักข์ผีสี่ทุ่มเศษ พิศสังเกตหมู่ไม้ไพรพฤกษา เหมือนจิ้งจอกหลอกเล่นเช่นวิญญา เป็นที่น่าอัศจรรย์ขันจริงๆ แม้จับได้ตัววิญญาณปานนักปราชญ์ ความที่หวาดเสียวสดุ้งไม่สุงสิง ถึงจะมีที่รักมาพักพิง ก็คงนิ่งได้เพราะรู้ไม่สู้กระไร ไม่รู้จริงจึงได้วิ่งเหมือนวัวเพลิด ประดักประเดิดดันหนังรั้งไม่ไหว ไม่รู้สิ้นรู้สุดสมุทไทย เพราะนิไสยซ้อนซับนับอนันต์ ๏ ถึงหนองจิกเชิงเนินเดินไม่หยุด ช้างก็รุดเร็วรี่ขมีขมัน เสียงล้อเกวียนกาหลระคนกัน แสร้สนั่นไพร่พร้องกู่ก้องเกริ่น ๏ ถึงหนองโพธิ์โฮเต็ลเป็นที่พัก หยุดสำนักนิ์น้ำท่าหาไม่เขิญ พอเบาใจไพร่พลที่คนเดิน ไม่นิ่งเมินแม่ครัวทุกตัวคน ตักน้ำท่าหาฟืนออกครื้นครึก จนดื่นดึกมิได้หลับวิ่งสับสน เสียงยายแขแสร้ดังเป็นกังวล แกร้อนรนรีบจริงไม่นิ่งนาน ทั้งต้มแกงขั้วผัดจัดกับเข้า ปอกมะพร้าวคั้นกะทิทำของหวาน บ้างตะบอยต่อยไข่ใส่น้ำตาล เหลือจะจานจำจดไม่หมดจริง เรื่องขนมอันขยมไม่รู้จัก เป็นพนักงานเขาเหล่าผู้หญิง เขาทำมาเราก็กินสิ้นประวิง ดูสรรพสิ่งคาวหวานตระการตา เป็นที่ชอบขอบใจไว้มากๆ เพราะเขาจากบ้านถิ่นที่เคหา ทั้งหญิงชายหมายเหมือนเพื่อนชีวา สู่อาสาท่านเจ้าคุณจนคุ้นเคย ถึงสาวๆเข้ามาอิงพูดพิงพะ ท่านก็ละเว้นได้ด้วยใจเฉย ถ้าแม้เราแล้วก็จะไม่ละเลย คงจะเอ่ยปากพร้องสนองคำ ๏ พอตรวจครัวทั่วสรรพกลับไปนอน ตำบลบ่อนร้านมีเป็นที่สำ นักสบายคลายอารมณ์ร่มปรำ หลวงสุนทรพิทักษทำแทบมรรคา ๏ ครั้นอุไทยไขแสงแจ้งเวหาศ ทิชาชาติเพรียกพร้องก้องพฤกษา ต่างก็ตื่นฟื้นกายจากไสยา ตั้งกะทะโภชนาหุงเลี้ยงพล ๏ สองโมงครึ่งจึ่งพระองค์พงษ์นรา เสด็จมาพร้อมด้วยเหล่าชาวพหล ถึงพลับพลาปราลีที่มณฑล ประทับบนเสนาศน์อาศน์อำไภ พนักงานพระกระยาเชิญมาตั้ง พร้อมสระพรั่งรายเรียงเคียงไสว ถวายองค์พงษ์นรินทร์ปิ่นไผท แล้วยกไปเลี้ยงขุนนางต่างบุรี สวรรคโลกศุโขไทยพิไชยทั้ง พร้อมกำลังเหล่าพหลพลหัดถี ๏ เสวยเสร็จพระเสด็จทรงพาชี พวกโยธีพร้อมพรั่งตั้งกระบวน พระควบขับอาชาม้าที่นั่ง ด้วยกำลังเร็วจริงยิ่งลมหวน แต่ม้าเราไม่เป็นผลวิ่งซนซวน ออกเรรวนโลดเต้นเผ่นลำพอง เหลือกำลังรั้งไม่อยู่ลู่เข้ารก ดั่งหัวอกจะแยกแตกเป็นสอง ให้แค้นขัดอัศวาน้ำตานอง ซื้อสิบสองตำลึงถึงราคา ๏ อัปปิเยหิสัมปะโยโคทุกขะ เป็นคำพระตรัสธรรมเทศนา มีสิ่งไม่เป็นที่รักมักจะพา ให้ทุกขาข้อหนึ่งนำคำแสดง เหมือนมีบุตรภรรยาปาปะมิตร ประทุษฐ์จริตเสวนาพาแสลง เป็นนักเลงเก่งข้างทางพลิกแพลง จะชี้แจงสอนสั่งไม่ฟังคำ หนึ่งทาษีทาษาพาหนะ ถ้าปนปะแล้วคงได้พิไรร่ำ ที่ชั่วช้าสามาญการกระลำ เหลือจะกำหนดโทษทุชนพาล ๏ ปลงสังเวชเจตนาพาหนะ ที่โทษะสร่างได้ด้วยใจสานต์ ถึงคลองบ่อเจตวาอุราราญ เห็นไม้กานกิ่งรุ่นอยู่เรียงราย ราษฎรทอนทิ้งกลิ้งเกลื่อนกลาด ด้วยสามารถลากลงประสงค์ขาย ที่เมืองตากกรากกรำกรรมของควาย ตะเกียกตะกายเต็มตรอมจนผอมโซ เห็นต้นลานก้านไสวใบสะลั่ง เป็นกอตั้งตามผลูดูอักโข เอามามุงร่มก็ได้ด้วยใบโต พิรุโณโปรยไม่ต้องละอองเลย เสด็จพักที่สำนักนิ์น้ำดิบน้อย นักงานคอยถวายสุธารศชาเสวย ขุนนางไพร่ใหญ่น้อยค่อยเสบย ตรัสภิเปรยปฤกษาจะคลาไคล ได้กราบทูลมูลความตามระยะ หลักที่กะวัดแจ้งแถลงไข ประทับอยู่ครู่หนึ่งจึ่งครรไล ไปตามในแนววะนาเป็นป่าแดง ที่สองข้างมรรคาศิลาสะพรั่ง เป็นก้อนตั้งอยู่กับดินหินทั้งแท่ง โตเท่าช้างบ้างเท่าเรือเหลือชี้แจง เป็นชะแง่งเงื้อมชะโงกดูงดงาม คิดถวิลศิลลาน่าประหลาด เหลือที่ชาติมนุษย์จะแบกหาม หรือเมื่อครั้งหริวงษ์องค์ลักษณ์ราม เสด็จตามสีดายุพาพาล ถมสมุทยุทธนาลงกาทวีป มล้างชีพอสุราอันกล้าหาญ หินจึ่งทิ้งกลิ้งอยู่แต่บูราณ คิดประมาณตามประสาปัญญาเยาว์ ๏ หนึ่งพระรามความยากลำบากจิตร เมื่อจากมิตรมารศรีมีแต่เศร้า พยายามตามองค์อนงค์เยาว์ กระบิลเผาลงกาฆ่าดัษกร ได้คืนอรรคชายาวราราช โดยอำนาจบุญฤทธิ์มหิศร เสวยศุขทุกทิวาสถาวร ในนครกรุงศรีอยุทธยา ๏ แต่ตัวเราเศร้าไม่หยุดด้วยสุดฤทธิ์ ที่จะคิดเสาะแสวงที่แห่งหา ดังตกชลวลวงในคงคา เห็นแต่ฟ้ากับน้ำทุกค่ำคืน ๏ ถึงโป่งแคแลเห็นคลองให้หมองจิตร ยิ่งคิดๆขึ้นมาอุราตื้น แห้งกระไรไม่มีน้ำจะกล้ำกลืน แต่พอชื่นคอหายคลายระทม ไอ้เคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ชั่งทวีความทุกข์มาทับถมทุกข์อะไรไม่เท่ารักหนักอารมณ์ ดังตกตมติดตังเพราะหวังเชย จะหาคู่สู่สมภิรมย์รัก ให้ชูภักตรเพราเพริศที่เปิดเผย ก็ขัดสนจนใจกระไรเลย หรือกรรมเคยสร้างไว้แต่ไรมา ๏ ถึงที่น้ำดิบใหญ่ใจรันทด โศกกำศรดเซซังเหมือนดังบ้า ครั้นรู้สึกนึกพรั่นหวั่นวิญญา ขับอาชาตามเสด็จดุษดี อกผู้ใดในโอฆสงสาร ไม่ทระมานมุ่นหมกเหมือนอกพี่ ดังคนไข้คอยยาทุกราตรี แสนทวีพูนทะเวศไม่เว้นวาย อนงค์อื่นดื่นไปทั้งไตรจักร ไม่สมัคเหมือนมิตรที่คิดหมาย ถึงประสบพบบ้างก็ซังกะตาย เหมือนกลืนทรายต่างเข้าเมื่อคราวโซ ๏ ถึงหนองสีคงยศรันทดจิตร สุขุมคิดคำพระวายยะโส โลกธรรมงำเงื่อนเชือนเฉโก อีกลาโภสรรเสริญศุขสำราญ เป็นสี่ยุคแยกกันพลันเปลี่ยนผลัด อนุวัตรเวียนวงในสงสาร ว่าแต่ย่อพอบันเทาเบารำคาญ ท่านผู้ปรีชาญเชาวน์จงเข้าใจ ๏ ว่ามียศยามเปรื่องรุ่งเรืองศักดิ์ เวลาหักท่านประหารผลาญไกษย์ สูญทั้งยศหมดทั้งทรัพย์ยับประไลย สกดใจอย่าคนองลำพองตน ๏ หนึ่งลุลาภหลงโลภละโมภมาก ถึงคราวยากลาภวิบัติต้องขัดสน ๏ กิติแซ่สรรเสริญเจริญดล หน่อยก็วนเวียนกลับรับนินทา ๏ หนึ่งมีศุขเสพย์สมภิรมย์โลกย์เมื่อยามโศกสิ้นศุขต้องทุกขา เมื่อตรองเห็นเป็นของธรรมดา อาจพาใจสบายคลายกังวล ๏ มาถึงหางคลองศักไม่พักผ่อน ม้าก็อ่อนเหงื่อชุ่มทุกขุมขน จวนจะบ่ายชายแสงพระสุริยน เสด็จดลลานป่าพฤกษ์พลับพลาพลัน ๏ เขาจัดแจงถางไว้ยังไม่ราบ ต้องทุบปราบที่เต๊นเป็นจ้าละหวั่น เร่งไปตัดไผ่ป่ามาให้ทัน จะได้กั้นที่สรงลงบังคล ๏ หลวงประเทศราชอาญาออกคว้าไขว่ ไปตัดไม้ไผ่ป่ามาสับสน ทำสำเร็จเสร็จพลันทันบัดดล ได้พักพลพวกไพร่ใจสำราญ แล้วเชิญเครื่องเนืองแน่นมาถวาย ทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมเกษมสาน ครั้นพลบค่ำย่ำสนทะยากาลพนักงานเวียนระวังเหมือนอย่างเคย ๏ อาตมาอาไศรยใต้ต้นพฤกษ์ เมื่อยามดึกมิได้หลับกับเขนย ลุกขึ้นผิงอัคคีไม่มีเสบย แล้วก็เลยมาที่เขาทำครัว ได้ยลภักตร์ลักขณาสุดาสมร ดังอับษรสรรพางค์สำอางทั่ว กระจ่างแจ้งแสงอัคคีไม่มีมัว คิดถึงตัวเหมือนกระต่ายที่หมายจันทร์ จะออกปากฝากพจน์รันทดท้อ ให้รีรอร้อนจิตรคิดกระศัลย์ ด้วยเกรงจิตรบิดรอาวรณ์ครัน อกพี่ตันเพียงจะแตกเป็นสองตอน แสนจะเศร้าเปล่าอารมณ์ไม่สมคิด ที่จะชิดเชยโฉมประโลมสมร ถ้ามีฤทธิ์เหมือนอย่างวิทยาธร จะเขจรรับน้องล่องพะโยม มาสู่สะถานบ้านเรือนเป็นเพื่อนศุข บันเทาทุกข์เพราะได้ยลวิมลโฉม เหมือนดวงเดือนเลื่อนมาจากฟากพะโยม เรียมจะโสมนัศสิ้นถวิลวาย ๏ ดวงยี่หวายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะสมจิตรที่คิดหมาย ยิ้มละไมในภักตร์ไม่ทักทาย หรืออำอายเรียมนักที่อักอวน กลับมานอนกรพาดภักตร์รันทด เสียวกำสรดโศกใจอาไลยหวน แสนละห้อยคอยข่าวเฝ้าแต่ครวญ ประจวบจวนรุ่งแจ้งแสงอุไทย ๏ เจ้าคุณตื่นเตือนให้คืนลิลากลับ สั่งกำชับอย่าให้เชือนเลื่อนไถล ไปชำระเงินส่วยด้วยเร็วไว กองผู้ใดค้างเร่งอย่าละเลย แล้วนำหน้าพาขยมแลกรมการ ไปกราบกรานแล้วประมูลทูลเฉลย ทรงนุสาศน์สุนทรัศตรัสภิเปรย จงเสบยขอบใจทั้งไพร่พล ๏ ต่างคำนับรับพรถาวรสวัสดิ์ มาพร้อมจัดล้อเกวียนเปลี่ยนสับสน บ้างจะกลับบ้างจะจรดูสรวล บ้างก็ขนโต๊ะถาดภาชนา ทั้งถ้วยชามรามไหมกลับไปบ้าน ด้วยเมืองตากเขาเป็นภารธุระหา หนองขรมีที่ประทับเป็นพลับพลา พระศักดารับรองไม่หมองมัว ๏ ข้อยจะไปฝ่ายเขือเมื้อเมืองตาก ต้องจำจากมิ่งมิตร์เหมือนจิตรชั่ว มาขึ้นม้าเหลือกำลังจะตั้งตัว อาชากลัวหกผลับกลับพลิกแพลง เลี้ยวตระหลบตกสินธพเหยียบหัดถา ถูกนิ้วขวาหักซ้นขนแสยง สิ้นสะติสมประดีไม่มีแรง อุส่าห์แขงขืนจิตรคิดรีรอ ครั้นจะกลับศุโขไทยก็ไปยาก ที่เมืองตากเห็นจะดีด้วยมีหมอ ไปเคารพนบนอบที่ชอบพอ คงจะต่อติดเห็นไม่เป็นไร ๏ ความขอบคุณท่านผู้ที่ปรานีสนิท สุจริตเหมือนหนึ่งเชื้อที่เนื้อไข ให้ขี่ช้างด้วยกับเธอเสมอใจ แล้วก็ให้นัดถุ์ยาพาประทัง ที่เมื่อยชาเป็นเหน็บเจ็บสาหัศ สู้ทนกัดฟันตริสติตั้ง ๏ ว่าสังขารนั้นไม่ยงคงจิรัง นามรูปังทุกขสมุทไทย รับอำนาจชาติชะราพยาธิ อะสุจิเปื่อยภังค์ไม่ตั้งได้ ดินแลน้ำไฟลมถมไผท ย่อมประไลยสูญสิ้นทั้งอินทรีย์ ความสนุกศุขทุกข์อุเบกขา เวทนานั้นคงดำรงที่ ทั้งสำคัญจำหมายใจยินดี อีกวิถีตริตองกองบาปบุญ อนึ่งเครื่องรู้สรรพสาธาระณะ ไม่สาระเที่ยงแท้เป็นของสูญ บาปและบุญนั้นเป็นเชื้อย่อมเกื้อกูล จะพายูรได้แต่กรรมให้นำดล ๏ ที่ฉันสัมผัปลาปะวาจะนะ มิใช่จะดิ้นตะกายข้างขวายขวน แม้จะติดก็แต่จิตรเป็นบุถุชน การกังวลมีบ้างเป็นครั้งคราว แต่นิราศเกี่ยวสังวาศเป็นวิภาค มักจะบากความประสงค์ที่ตรงสาว ถ้าตัดครวญเสียก็จืดไม่ยืดยาว จำต้องกล่าวตามเพลงบันเลงลาน ๏ มาถึงคลองกะยางระหว่างเขตร สิ้นประเทศศุโขไทยอันไพศาล เข้าสู่แคว้นเมืองตากภาคพะนานต์ ภูมิ์สถานแถววิถีที่ครรไลย จากป่าแดงเข้าดงดูโปร่งลิ่ว ที่แถวทิวเถื่อนทางสว่างไสว รุกขชาติ์ลาดรื่นพื้นอำไภ วายุไกวแกว่งสะเทื้อนดูเหมือนยนต์ ทิชากรร่อนราลงเลมภักษ์ จับต้นสักส่งเสียงอยู่สับสน ฝูงกาเหว่าเร่าร้องก้องกังวล ระเบงกลกล่าวนามสะกุณิน ประสาเขาดังจะเค้าว่ากาโหวย อาดูรโดยพจนมาลย์สารถวิล เหมือนอยู่เดียวเที่ยวหาภักษากิน พลัดยุพินเพื่อนร้อนอาวรณ์ครัน ๏ พอม้าเร็วมาประสบพบอ้ายวุ่น ว่าเจ้าคุณให้มาเร่งรีบผายผัน ด้วยหยุดพักหนองขรไม่จรจรร ในกรมท่านโปรดให้หมออยู่รอคอย ขอบพระคุณฉุนชื่นเหมือนชุบชีพย์ เร่งช้างรีบไคลคลาไม่ล่าถอย ถึงที่พักทิพากรพออ่อนคล้อย แล้วค่อยเลื่อนกายลงตรงวันทา ๏ รับการุญของเจ้าคุณเสียพอโสต กำลังโกรธว่าเลินเล่อเพราะเซ่อซ่า เขาเรียนยุท่านก็มุเอาเต็มประดา ด้วยเมตตาจริงๆยิ่งบิดร ๏ หมอชื่อคุณขุนเวทวิเศษยิ่ง ไม่นานนิ่งเข้าพิทักษ์จับชักถอน ให้นิ้วกลับตรงประสานไม่ราญรอน เอาผ้าซ้อนซับพันให้บันเทา ค่อยหยอดยาพาสะบายพอคลายขัด แล้วเป่านัดถุ์ยาสว่างให้สร่างเศร้า ๏ พอเหลือบเนตรเห็นชู้คู่ของเรา เขาต้มเข้าไว้ให้กินด้วยยินดี สาพิภักดิ์รักยิ่งไม่ทิ้งสัตย์ โทมนัศภักตรน้องดูหมองสี พี่ขอบใจในสวาดิ์แสนทวี มิเสียทีที่ได้รับปฏิญาณ ถ้าแม้นขอต่อบิดาคงอนุญาต แต่ร้ายกาจป้าของน้องชั่งจองผลาญ อนิจาทาระกรรมให้รำคาญ จึงเสียการเพราะกระลำโอ้กรรมจริง ๏ บริโภคอาหารสำราญรื่น ต่างก็ชื่นชมสะบายทั้งชายหญิง แต่ตัวเราเศร้าจิตรคิดประวิง อุส่าห์นิ่งภาวนาพาประทัง คิดถึงคุณมุนินทร์ชินวร ซึ่งทรงสอนสัตว์สร่างทางทุกขัง สู่นิวาศาสะนะปัจจตัง ประดุจดังดวงแสงสุริยัน เฉลิมหลักปักตรงดำรงค์ยืน ถ้วนแปดหมื่นเศษมีสี่พันขันธ์ ควรจะรู้บูชาทั่วสามัญ เพราะนำสรรพ์สัตว์ถึงซึ่งนิพพาน ทั้งพระสงฆ์ทรงศีลาจารวัตร ปฏิบัติบ่นธรรมกรรมฐาน ตามพระพุทโธวาทะอาจารย์ ควรสักการแก่เทวาสาธุชน ได้ป้องกันสรรพไภยในพนัศ เพราะความสัตย์อธิษฐานการกุศล ดับยุคเข็ญเย็นใจทั้งไพร่พล ด้วยพระมนต์ศุขังมังคะลา ๏ แล้วยกจากหนองขรนิกรพร้อม โดยประนอมโสรมนัศสะหัศสา แซ่สำรวญศรวลสรรจำนันจา ตามประสาใจสบายคลายกังวล ๏ ถึงหนองพม่าสุริยาเกือบล่วงลับ เร่งให้ขับคชามากลางหน เสียงล้อเกวียนเดียรดื่นพื้นภูวดล แล้วรีบจนถึงสถานบ้านน้ำลืม ๏ แคว้นนิคมคามประเทศเขตรเมืองตาก เรือนก็มากหลายหลังตั้งดูขรึม มีบ่อน้ำลำท่อหล่อไหลซึม เป็นที่ปลื้มจิตรเขาเหล่าประชา ราษฎรลากไม้ขอนสักไว้เกลื่อน บ้างทำเรือนบ้างส่งขายลงท่า เป็นสะเบียงเลี้ยงชีวิตรพานิชชา ตามประสาทำกินถิ่นลำเนา ๏ พอค่ำสองทุ่มครึ่งถึงอาราม สำเหนียกนามดอยแก้วริมเชิงเขา พักศาลาผาศุกทุกข์บันเทา ดูสะเพราพื้นเลี่ยนเตียนสบาย มีฝารอบปริมณฑลสถิตย์ ดั่งเทเวศร์รังสฤษดิ์อุทิศถวาย ในสาสะนุปะถัมภ์งามเพริดพราย ท่านคุณยายเผือกสร้างทางศรัทธา ๏ แล้วเกณฑ์คนพลไพร่ให้นอนกอง เจ้าคุณท่านอยู่ในห้องกั้นด้วยผ้า ทั้งค่ำเช้าไปเฝ้าทุกเวลา ที่ตึกพระยาสุจริตประดิฐทำ เป็นชั้นๆบรรจงงามวิจิตร ดูโสภิตภูมิสมที่คมขำ โต๊ะเก้าอี้มีตั้งวางประจำ เป็นที่นำมาโนชทัศนา ควรนิยมชมชื่นในเชิงฉลาด ทั้งอำนาจปรากฏด้วยยศถา บำเรอองค์พงษ์กระษัตริย์ขัติยา อีกทั้งข้าราชการภารระวัง ๏ ฝ่ายพวกเราชาวศุโขไทยบุเรศ ด้วยความเจตนาจงจำนงหวัง ครั้นรุ่งแสงสุริยาดาประดัง ดูสะพรั่งพร้อมใจจะไคลคลา ไปซื้อของท้องตลาดลาวระแหง ต่างจัดแจงหวีผมแล้วผลัดผ้า บ้างผัดภักตร์ผิวผ่องละอองตา ลักขณาเนียรแนบอนงค์นาง ห่มสีนวนชวนชื่นระรื่นรศ ดูช้อยชดเชิงดีไม่มีหมาง กรมกิจศิษย์เจ้าคุณรุ่นสำอาง เดินห่างๆคอยระวังเป็นกังวล ที่เกี่ยวข้องพ้องพงษ์ในวงษ์ญาติ ไว้อำนาจกลัวจะเหม็นไม่เป็นผล ไปต่างเมืองอย่าให้มีราคีปน ทุกๆคนคิดควรสงวนกาย ๏ ถึงวัดพล้าวลาวต้องซู่กะแซม่าน อลหม่านมีของมากองขาย สักกระหลาดอย่างดีไม่มีระคาย ม่วงผ้าลายผ้าสะโหร่งล้วนดีๆ กล่องเชียงใหม่หลายหลากมากชนิด เป็นตอนติดตั้งใส่ไว้ในที่ เครื่องอาวุธต่างๆทุกอย่างมี ดาบกระบี่ปืนผาดาประดัง ใช่เท่านั้นพรรณนากว่าร้อยสิ่ง สมบูรณ์ยิ่งเคหามีฝาถัง ทั้งรั้วค่ายรายอ้อมล้อมระวัง อีกโรงตั้งขายหมูและสุรา ของคาวหวานการกินสิ้นทุกหมด ทั้งปลาสดโคกะทิงมะหิงษา นึกสิ่งไรได้สิ่งนั้นดังสัญญา การขายค้าเขาเมืองนี้ดีจริงๆ ๏ แต่ตัวเราเศร้าโทรมโทมนัศ ประคองหัดถ์พาดหมอนลงนอนนิ่ง หนาวสท้านปานเป็นไข้ใจประวิง ไม่มีสิ่งสรรพ์ชื่นระรื่นเลย เหล่าทนายใช้สอยก็คอยลี้ ไม่มีที่กีดขวางมันวางเฉย จะจับช้อนป้อนไม่คล่องทำนองเลย รักเป็นเตยแตกใบไกลอุรา ๏ มิตรมาเยือนเหมือนจะเย้ยพอเงยภักตร์ ก็ละรักหลบล้อเล่นต่อหน้า เออกาหลงก็ยังงงไปตามกา มะยุราฤๅจะเยี่ยมพะโยมมาน ๏ คิดถึงเชื้อเหมวงษ์ที่คงศักดิ์ จะตกปลักมิได้สรงกระแสสนาน หวญรฦกตรึกไตรอาไลยลาญ ถึงแก้วกานดาดวงแล้วทรวงตรม ด้วยพาซื่อสุจริตเพราะจิตรรุ่น ได้เคยคุ้นเหมือนขนิฐสนิทสนม พลอดก็เพลินฟังก็เพราะเสนาะชม ให้ปรารมภ์ร้อนใจกระไรเลย เหมือนดวงเดือนเลื่อนมาในอากาศ ที่หมายมาทอย่าได้หมองเลยน้องเอ๋ย เชิญมายลคนไข้ให้ใจสะเบย อย่าละเลยให้เรียมเตรียมระกำ ๏ เหลือบเห็นคุณขุนหมอมารออยู่ กลัวจะรู้เรื่องข้อเนื้อความขำ ฝืนหฤทัยไขพจน์งดเงื่อนงำ ที่ท่านทำคุณไว้ไม่เสียแรง ด้วยเป็นข้าราชกิจมหิศรา เสวนากันไว้อย่าหน่ายแหนง การข้างหน้ามาไปคงได้แสดง อย่าคลางแคลงควรต้องสนองคุณ ๏ ท่านหมอชอบขอบใจให้อนุญาต เป็นการขาดอย่าได้มีราคีวุ่น ผมรับได้ในธุระไม่ละคุณ เดชะบุญคงจะหายไม่หลายวัน ๏ หมอก็ไปใจเรายังเมารัก วิตกหนักหนาแน่นแสนกระศัลย์ จนกลับเมืองเรื่องยังมีทุกวี่วัน เฝ้าใฝ่ฝันฟังข่าวทั้งเช้าเย็น ๏ ท่านผู้อ่านปานปราชคงคาดได้ ที่เลศนัยแนะนิทัศความขัดเข็ญ โศกกระไรได้ยังค่ำหรือจำเป็น ถ้าคิดเห็นแล้วจะทราบซึ่งภิปราย ว่านักเลงเพลงกลอนนอนไม่นิ่ง คงเกลือกกลิ้งตรองอยู่ไม่รู้หาย ใช่จะแสร้งแต่งสรรค์มาบรรยาย เหมือนกลืนน้ำบ่อทรายชื่นอุรา ๏ อันสรวมชีพย์ชื่อฉอต่อสระ อาทีฆะดอสกดบทบัณหา รับสัญญาบัตรนรินทร์ปิ่นประชา สยามาโปรดตั้งกำลังการ แสดงไว้หวังจะได้เป็นที่รฦก ตามบันทึกทางกลอนอักษรสาร เฉลิมบาทราชขนิฐพิศดาร เป็นตำนานเนาในไผทเอย ๚ะ

นิ วรณ์นิเวศเศร้า ทรวงศัลย์
ราศ รัตติยาวัน ว่างว้าง
ศุ ภฤกษ์ล่วงเหมันต์ กัตติกะ มาศนา
โข อนรรฆหนาวน้ำค้าง คู่ไร้ลำเค็ญ
ไทย ราชอนุชเจ้า เสด็จจร
ไป ประทับแรมรอน ล่วงเข้า
เมือง ฝ่ายทิศาดร แดนด่าน
ตาก ต่ออัษฎงค์เต้า พม่าเงี้ยวรามัญ

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ