บทที่ ๒๒

หลังจากนั้นสามสี่วัน แม่ กฤต และ ดิฉัน เผอิญมีธุระเกี่ยวกับงานในสำนักงานชุก จึงลืมเรื่องการบวชของการุณไปชั่วคราว ยิ่งกฤตแล้วยิ่งมีราชการที่ยุ่งยากและรีบด่วน เขาต้องติดต่อกับส่วนราชการหลายต่อหลายแห่ง เร่งให้ส่งตัวเลขที่จะต้องรวบรวม และประมวลเข้าเป็นหมวดเป็นหมู่ เพื่อจะให้ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศได้ดู และช่วยชี้แจงและพิจารณากันอย่างละเอียด กฤตเกือบจะพูดเรื่องที่เป็นธุระอย่างอื่นไม่ได้เลย จะพักสมองก็โดยเล่นกับลูกเป็นมื้อเป็นคราว กฤตจึงเป็นที่ปรึกษาเรื่องงานอุปสมบทของการุณไม่ได้ ประมาณ ๗-๘ วัน ก่อนกำหนดการบวช อากรรณกับอาเธียรก็มาที่บ้าน อาเธียรมาบอกเรื่องเรือที่จะพาคุณย่าไปคลองจินดา ซึ่งเป็นคลองใหญ่แยกออกจากแม่น้ำนครไชยศรี และคลองกาญจนาเป็นคลองซอยแยกไปอีกต่อหนึ่ง อาเธียรว่าได้หาเรือไว้สองขนาด ถ้าจะใช้เรือสบาย ไปในคลองจินดาได้ ก็ต้องใช้เรือขนาดค่อนข้างใหญ่แต่กินน้ำลึก ถ้าจะให้เข้าคลองกาญจนาได้ก็ต้องใช้เรือเล็ก ซึ่งคงไม่ค่อยสบายสำหรับคุณย่า อาเธียรอยากทราบความต้องการโดยเร็ว เพราะจะต้องติดต่อกับเจ้าของเรือ และเจ้าของเรือจะได้นัดหมายวันและเวลาให้แน่นอนให้ได้ และงดเว้นธุระที่จะต้องใช้เรือให้ได้เหมาะแก่ความต้องการ

เมื่อฟังอาเธียรเล่าจบแล้ว แม่ก็อุทาน “ต๊าย ตาย ฉันก็ยุ่งจังเลยที่โรงแรม เขากำลังจะมีสัมมนาอะไรกัน จัดห้องหับที่ทาง สิ่งของเครื่องใช้กันให้วุ่นไปทีเดียว ยังไม่ได้คิดเรื่องของที่จะต้องให้การุณเลย ลูกแก้วล่ะ คิดอะไรไว้หรือเปล่า”

“ลูกแก้วก็ยุ่งเหมือนกันค่ะ” ดิฉันตอบ “ตั้งแต่พูดกันค้างไว้วันนั้นแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรอีกเลย”

“ฉันเตือนแล้วนะ ว่าไอ้การที่หาอะไรแปลกๆ น่ะ มันต้องรู้ว่าไอ้ที่ไม่แปลกน่ะมันเป็นยังไง” คุณพ่อลำเลิก

จำได้แล้วน่า” แม่ทำเสียงแสนงอนเหมือนวันก่อน “ก็ว่าจะให้กฤตไปถาม แล้วก็พอดีเขาก็ยุ่งราชการเขาจนแทบไม่ได้พูดกัน กลับมาก็เห็นหน้าดำคร่ำเครียด เห็นแต่พูดถึงตัวเลขๆ คุณเกลาก็สนุกไปกับสถิติด้วย แล้วฉันจะไปคิดอะไรออก”

กฤตเข้ามาร่วมการสนทนาพอดีได้จังหวะ เขาก็เล่าเหมือนวันก่อน “ของถวายพระไม่ว่ามีอะไร เขาต้องเข้ากระบวนแห่ทั้งนั้นละครับ คุณแม่ก็คงเคยเห็นเวลาเขาแห่นาคกัน”

“ทีนี้กฤตก็บอกว่าไม่รู้จะแห่จากไหนไปไหนใช่ไหมล่ะ” แม่ทวนถาม

“ผมว่าต้องยังงี้แน่ครับ” กฤตสันนิษฐาน “ของถวายพระที่ให้เอาไปจากกรุงเทพฯ ก็เพราะจะได้ไม่ต้องขนออกมาจากในคลองเล็ก เขาจะขนจากในคลองเล็กก็เฉพาะที่ใช้กับการทำขวัญ เช่นไตร บาตร แล้วบ้านลุงกรก็อยู่ปากคลอง ออกจากคลองกาญจนานิดเดียว ก็ไปคลองใหญ่ ผมว่าต้องแห่ทางเรือแน่ เอาให้ดัง ลุงกำนันยิ่งเจ็บใจนายสงกรานต์อย่างงี้ ต้องให้คนทั้งคลองรู้ว่าบวชหลานที่วัดใหญ่ ที่คุณปู่เคยบูรณะ”

“ถ้างั้น เราก็ต้องขนของจากกรุงเทพฯไปที่วัดก่อนจะบวชเลยใช่ไหม” แม่ไล่เลียงต่อไป

“ต้องอย่างงั้นแน่ครับ ขืนขนไปไว้ที่บ้านก่อน คงจะวุ่นกันใหญ่” กฤตออกความเห็น “แหม ผมมันกระดิกตัวไม่ได้เสียจริงๆ ด้วย จะถูกโกรธอีกหรือไหมยังไม่รู้เลย เดี๋ยวก็จะว่าได้ดิบได้ดีจนน้องบวชก็ช่วยวิ่งเต้นอะไรไม่ได้ แต่วันบวชต้องปลีกตัวไปให้ได้ครับ”

“แม่เห็นใจละซิ ถึงได้รับปากว่าจะช่วยเต็มที่ ทีนี้ทำไมจะรู้ล่ะว่าจะซื้ออะไร ห่อหุ้มยังไงถึงจะแปลกตาสมใจ”

ปรึกษากันอยู่สักครู่ใหญ่ ไม่มีใครตัดสินใจได้ แล้วคุณพ่อแนะให้เรียกสุพินมาถาม เพราะเป็นชาวปทุมธานี และได้ไปบวชน้องชายมาเมื่อปีก่อน แม่ขัดว่าสุพินไม่เคยไปสามพราน จะรู้ได้อย่างไรว่าชาวสามพรานเขานิยมอะไร แต่ครั้นได้ตัวสุพินมาแล้ว ปรากฏว่าสุพินผู้เป็นสัตรูเก่าของการุณนั้น ได้สกิดให้แม่เกิดความนึกคิดขึ้นมาได้เป็นประโยชน์ สุพินกับการุณหายโกรธกันมามาหลายเดือนแล้ว ด้วยเหตุการุณมีเพื่อนคนหนึ่ง ชอบดูภาพยนต์ไทย ยินยอมไปเป็นเพื่อนสุพินเมื่อสุพินอยากดูภาพพยนต์เรื่องหนึ่งอย่างมาก แต่หาเวลาไปดูในเวลากลางวันไม่ได้ ต้องพึ่งบุรุษเพศในยามกลางคืนตั้งแต่นั้นมาสุพินก็ไม่ตั้งหน้ากล่าวหาการุณในทางไม่ดี และภายในเวลาไม่ช้าก็เป็นมิตรกันต่อมา

คุณพ่อบอกว่าคุณพ่อจะเป็นคนไปถามสุพิน แล้วคนฟังจะเกิดความคิดขึ้นมาได้จากการโต้ตอบ คุณพ่อเริ่มคำถามว่า

“สุพิน สมมุติว่าสุพินจะบวชน้องชาย สุพินจะซื้ออะไรถวายพระ”

เดี่ยวนี้เขามีให้เป็นชุดๆ หมดค่ะ” สุพินตอบ “ที่เขาแห่กันเป็นขบวนนะค่ะ เขาห่อกระดาษสีเหลือง ๆ เขาทำสวยออกค่ะ แถวเสาชิงช้านี้เขามีขายเสร็จ”

ทันใดกฤตก็ร้อง “เออ จริง ผมนึกไม่ออก จริงครับ ผมเห็นที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน คือมาซื้อตลาดเดียวกันนี่แหละ ไอ้ที่เป็นห่อ ๆ แล้วเขาจับขยุ้มเข้าแล้วก็ผูกเป็นโบ ที่ไหน ๆ ก็เห็นเดินเข้าเป็นกระบวน จริงของสุพิน”

“ไหมล่ะ เท่านี้ก็ได้คำตอบ” คุณพ่อว่าอย่างผู้ชนะ “ทีนี้เราก็ไม่เอากระดาษแก้วสีเหลือง ๆ ห่อ ที่ในห่อเขามีอะไรมั่ง เราจะต้องหาอะไรมั่ง”

“เดี๋ยวนี้เขามียาตำราหลวงค่ะ” สุพินอธิบายอย่างผู้รู้ “แล้วมียาอุทัย นอกนั้นก็มีอะไรแล้วแต่”

“ไอ้ยานี่มันของดีแน่ แต่ว่ายาตำราหลวงนี่อะไรมั่ง ออกจะรู้ว่าตัวโง่จริง ๆ เป็นประโยชน์แก่ตัวดีพิลึก” แม่ว่า

“เห็นจะเป็นยาขององค์การเภสัช กระทรวงสาธารณสุข เขามียาแก้ไข้ยาระงับท้องเดิน ยาที่ควรมีไว้ตามบ้านนี่แหละครับ” กฤตสันนิษฐานต่อไป

“ง่ายนิดเดียว” คุณพ่อทำเสียงเป็นผู้ชนะต่อไป และแนะนำต่อไป “เธอก็ไปที่เสาชิงช้า ไปดูว่าเขามีอะไรถวายพระกันบ้าง แล้วเราก็อย่าซื้อให้เหมือนเขา คงแปลกพอใช้แล้วละสำหรับตาการุณ ถ้ามันออกมาจากหัวคิดของเธอ”

อาเธียรขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเข้าทุกทีนั่งฟังการปรึกษาของแม่และคุณพ่อ “แล้วเมื่อไหร่มันจะมาเข้าเรื่องของผม คือจะเอาเรือใหญ่หรือเรือเล็ก นาน ๆ ทีผมจะได้ประจบแม่ยาย”

“อ้าว คุณเธียร มันต้องรู้ก่อนซิว่าจะต้องขนอะไรมั่ง เสียแรงจะได้เรือของกรรมการโรงแรมทั้งที” แม่พูดแล้วยิ้มให้ดูหวาน “เดี๋ยวฉันลำเลิกมั่งน่ะ”

“ครับ ครับ ที่จริงผมก็ตั้งใจจะประจบพี่สะใภ้ด้วย ไม่งั้นก็ไม่มาด้วยตัวเองถึงที่นี่ ใช่ไหมล่ะครับ”

แม่ตรึกตรองดูสักครู่หนึ่งแล้วก็บอกอาเธียร “เอาละ ฉันว่ายังงี้ละดี คือว่าเรือน่ะได้ลำเดียวใช่ไหม”

“อ้าว เห็นว่าเอาละแล้วไงกลายเป็นคำถาม” คุณพ่อขัดขึ้น

“เถอะน่า” แม่ว่า “ฉันว่าเอาเรือใหญ่เถอะ” แม่ตัดสินไปโดยอาเธียรยังไม่ทันตอบ “เราจะได้อาศัยขนของไปเสียเที่ยวหนึ่งก่อน แล้วใกล้เวลาจะบวชถึงค่อยให้คุณย่าท่านไป ท่านไปนานท่านก็เหนื่อยเปล่า ๆ ” แล้วแม่หันมาทางดิฉัน “เออ หรือว่าลูกแก้วต้องไปค้างก่อน ว่าไง กฤต”

“ผมไปไม่ได้จริงๆ ครับ” กฤตทำเสียงอ่อนใจ “แล้วผมว่าอย่าไปค้างเลย พอถึงคืนทำขวัญวันก่อนบวชน่ะ ยุ่บยั่บไปหมด นอนกันเต็มระเบียงละ ทั้งบ้านพ่อบ้านลุงกร บ้านย่าพัด ไม่ต้องไปค้างหรอกไปวันบวชเลยนั่นแหละ”

“แล้วเวลาฉลองล่ะคะ อย่าง เอ้อ คุณการุณเขาเป็นหลานกำนัน เขาต้องมีงานฉลองกันใหญ่โตแน่เชียว” ผู้เชี่ยวชาญสุพินเตือนขึ้น

“เออ แล้วเขาฉลองกันตอนไหนล่ะ” แม่ถาม

เขาก็ฉลองกันวันบวชนั่นซีครับ” กฤตตอบ “แหม ผมมัวไปเป็นชาวชนบททุรกันดาร ชักจะลืมชนบทสวนองุ่นสวนส้มเสียหมด ผมเห็นจะไม่พ้นถูกด่าแน่แล้ว ผมอยู่ฉลองไม่ได้จริงๆ งานจะทำไม่ทันอยู่แล้ว”

“อ้อ พอบวชเสร็จก็ฉลองกันเชียวเรอะ” คุณพ่อถามอย่างประหลาดใจเหมือนกัน “เออ เพิ่งรู้ธรรมเนียมชนบทเหมือนกัน พวกเราต้องบวชแล้วตั้งเดือนถึงจะฉลองกัน คงกลัวว่ายังไม่ได้เรื่องได้ราว เลยยังไม่นิมนต์หรือไงก็ไม่รู้”

“เอ บ้านผมเขาทำกันไง” อาเธียรชักสนใจขึ้นมาบ้าง “ตอนพี่ชายผมบวช ดูเหมือนเขาฉลองกันภายในอาทิตย์หนึ่งหรืออะไรนี่”

“ก็เป็นองค์พระแล้วนี่ค่ะ ก็ฉลององค์พระไงค่ะ” สุพินเถียงขึ้น “คราวก่อนที่ดิฉันลาไปบ้าน เขามีทั้งยี่เก ทั้งลูกทุ่ง ทั้งภาพยนต์ญี่ปุ่น”

“เออ” คุณพ่อถอนใจ “ว่าไงนักพัฒนา” ท่านหันไปทางกฤต

“โอ ผมอยู่ไม่ได้จริงนะ” กฤตคร่ำครวญเรื่องงานต่อไป

“แต่เรากลับได้ใช่ไหมล่ะ แต่ลูกแก้วล่ะต้องเอาลูกอยู่ด้วยซี ยังงั้นเรอะกฤต” แม่ทำหน้าใกล้จะกลั้นหัวเราะไม่ได้เต็มทีแล้ว ดิฉันจึงต้องหาโอกาสให้แม่หลบไปเสียก่อนที่กฤตจะจับได้ว่าแม่เกิดมีอารมณ์ขันขึ้นโดยพูดว่า

“แม่ไปดูนมในตู้เย็นให้ลูกแก้วก่อนเถอะ ลูกแก้วคิดอะไรออกยังเลือนๆ ราง ๆ แต่ว่าขอเรือใหญ่อาเธียรไว้เถอะ ถ้าคุณย่าอยากขึ้นบ้าน ให้ไปบ้านย่าพัดมีที่จอดเรือใหญ่ได้ เพราะอยู่ทางปากคลองอีกปากหนึ่ง จวนจะถึงตัวคลองจินดา กฤศจำได้ไหมจากตรงนั้น คุณย่าท่านพอจะเดินไปได้ ท่านไม่ได้เจ็บไข้อะไร ดีนะให้ท่านพบกับอาพงศ์ ท่านจะได้ไม่คร่ำครวญว่าท่านมีลูกพิการ จะได้เห็นย่าพัดว่องไวยังไง แล้วอยู่กับอาพงศ์ได้ยังไง”

“ลูกแก้วอย่าเอาความคิดใส่หัวคุณย่าให้ท่านมาเรียกพ่อไปอยู่กับท่านสำหรับท่านจะได้ปรนนิบัตินะ” คุณพ่อเกิดร้อนตัวขึ้นมา

แม่กลับจากไปดูน้ำนมของลูกแก้วแล้ว ก็กลับมานัดอาเธียรว่าให้ส่งเรือไปรอที่ท่าหน้าที่ทำงานอำเภอให้เช้าที่สุดที่จะเช้าได้ การุณจะบวชเวลา ๑๔ นาฬิกา แม่กะว่าจะต้องขนของจากกรุงเทพฯแต่เช้าตรู่ นำของไปลงเรือแล้วให้เรือรออยู่จนหมดภาระเกี่ยวกับการเข้ากระบวนแห่แล้ว จึงให้กลับไปรอรับคุณย่า

ประเดี๋ยวคุณแม่อยากดูเขาแห่นาคขึ้นมาจะทำยังไง” อากรรณยังไม่หมดกังวล

“อย่าไปเอ่ยขึ้นให้ท่านรู้ว่าเขาจะแห่ก็แล้วกัน” แม่แนะนำ

“ฉันขอดูคนนึงละ น้ารวงรัตน์บอกกล่าว “สักสิบปีแล้วมั้งไม่ได้ดูแห่บวชนาค บวชพี่เรืองพี่โรจน์ไม่เห็นสนุกเลยคุณพ่อไม่ยอมให้ทำอะไรทั้งนั้น เสื้อครุยก็ไม่ยอมให้ใส่ ให้นุ่งขาวห่มขาวเฉย ๆ กรวยอุปัชฌาย์ก็ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนใส่ชามแก้วถวาย เคราะห์ดีมีคนเขามาช่วยทำดอกไม้ ถึงได้มีศิลปะอะไรมั่ง”

“ถ้างั้นเธอเป็นคนคุมของไปเข้ากระบวนแห่” แม่มอบหน้าที่ “แล้วถ้าลูกแก้วจะต้องอยู่ฉลองพระ ก็ขอลางานเขาสักวันก็ได้นี่นา จะได้ช่วยแก้หน้ากฤตไว้ไม่ให้ลุงกำนันโกรธ”

“เอาเถอะ ถ้าจะค้าง ขอไปค้างบ้านย่าพัดก็แล้วกัน จะได้นอนหลับหน่อย แล้วอาพงศ์คงดีใจมีเพื่อนคุย” กฤตแนะนำ

เมื่อตกลงกันเรื่องเรือแล้ว อาเธียรกับอากรรณก็ลาไป แม่กับดิฉันช่วยกันคิดจะหาของถวายพระและจะห่อให้สวยแปลกตาอย่างไร แล้วจะต้องให้ขนย้ายง่ายด้วย กฤตไม่อยู่ร่วมปรึกษาด้วยเขาบอกว่า เขาจนทั้งปัญญาและเวลา “แม่แก้วเป็นคนรับวาน ก็ให้แม่แก้วคิดไปเองเถอะ” เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกล้อดิฉันตามญาติของเขา

คุณพ่อคอยเตือนให้ไปสำรวจตลาดสำคัญ คือ เสาชิงช้าเสียก่อน แม่จึงทำตาม แต่ก็คิดเรื่องการที่จะห่อของให้ดูครึกครื้นสมกับที่จะเข้าขบวนแห่ไม่ได้ คิดไม่ออกกันอยู่หลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณพ่อว่าเป็นเพราะแรงใจกุศลของแม่ ก็มีคนจากอิสาณมาขายผ้าที่บ้าน มีผ้าขาวม้า หรืออีกนัยหนึ่ง ผ้าฝ้ายตาหมากรุกขนาดเล็กมาขายด้วย แม่คิดจะซื้อไว้ให้คุณพ่อใช้ เพราะสีสุภาพแต่ก็สวยชวนดู เป็นสีเหลืองปนกับสีน้ำตาลอ่อน ๆ คนที่นำมาขายบอกว่าเป็นลายที่ฝรั่งพ่อค้าผ้าไหมสั่งใช้ทำ แล้วมีสีเหลืออยู่ มารดาของคนขายจึงย้อมและทอด้วยฝ้ายเป็นผ้าชิ้นขาว ๆ ซึ่งอาจใช้ได้หลายทางตามที่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร

น้ารื่นออกความเห็นขึ้น “ผ้าฝ้ายอย่างนี้พับเป็นรูปอะไรต่าง ๆ ง่ายดีนะคะ คุณ”

“อือ จริง แต่เราจะพับให้มันเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ” แม่ถาม “ก็คิดจะช่วยซื้อสักสามหลา คุณเกลาบางทีก็ชอบใช้พันตัวเวลาออกจากห้องน้ำ”

“ตัดเป็นผ้าสี่เหลี่ยมได้นี้คะ ถ้าถวายพระท่านก็เอาไว้เช็ดอะไรต่ออะไรได้ ใช้ผ้านี้ห่อของถวายพระอันดับของการุณแทนกระดาษไงคะ เห็นคุณลูกแก้วร้องว่า ไม่เอาพลาสติก ไม่เอากระดาษแก้ว”

“แล้วพับเป็นอะไรถึงจะใช้ห่อของไปได้ด้วยล่ะ” แม่ยังไม่แลเห็นภาพตามน้ารื่น

“พับเป็นดอกบัว อิฉันว่าได้ถือกันเป็นขบวน สวยดีนะคะ” น้ารื่นแนะต่อไป

“คนชาวบ้านเขาไม่ชอบหรอก” คุณพ่อขัด “มันไม่แพรวพราว”

“จะให้แพรวก็ได้ เอาให้มีเกสรโผล่ออกมาเป็นทองๆ มันเข้ากันได้กับตาของผ้า คุณดูซีคะ” น้ารื่นชักจะเชื่อความคิดของตนขึ้นมาแล้ว “เอาฝักอ่อนโผล่ออกมาด้วยก็ได้ ฝักข้างในดอกน่ะ” แล้วน้ารื่นก็หยิบผ้ามาพับให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อน แล้วก็พับเป็นรูปดอกบัวเหมือนที่เคยพับผ้าเช็ดมือที่โต๊ะอาหาร

“แล้วมันจะอยู่หรือรื่น” แม่วิตก “เราจะต้องเอาของถวายพระใส่ในนั้นใช่ไหม”

“ก็เราเอาถาดกลมเล็ก ๆ ทำกันซีคะ ถวายถาดด้วย ไม่แพงเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ต้องยอมพลาสติกนะข้างในนี่ คุณลูกแก้ว” น้ารื่นสนุกกับความคิด “ก็ยาตำราหลวงเขาทำเป็นห่อเรียบร้อยนี่คะ สมัยนี้ เอาห่อยาวางบนถาด เราเย็บกลีบพอให้ต่อกัน แล้วจะถวายผ้าชุบอาบ เอาใส่ข้างในให้แน่นไม่เขยื้อน แล้วก็เอาธูปเทียนเสียบให้โผล่ออกมา แล้วซื้อเกสรดอกไม้ญี่ปุ่นที่มันยาวๆ ชุบผงทองผงเงิน ผงเพ็ชรด้วยก็ได้ ให้มันโผล่ออกมาให้แพรวพราว”

“ดอกบัวสีเหลืองกับน้ำตาล มันจะเข้าเรื่องยังไง” คุณพ่อขัด

น้ารื่นชักจะจนต่อเหตุผลของคุณพ่อ แต่คนขายไม่ยอมจำนน “สีชมภูก็มีค่ะ ถ้าจะถวายพระสำหรับเป็นผ้าเช็ดถ้วยเช็ดชาม ไม่ต้องใช้สีเหลืองก็ได้นี่คะ นี่ค่ะสีชมภูกับสีขาว”

น้าเรืองเดินมาร่วมประชุมด้วยพอดี แม่เล่าความคิดของน้ารื่นให้ฟัง น้าเรืองซึ่งเคยอุปสมบทแล้วก็รับรองว่า ผ้าสำหรับเช็ดภาชนะ จะใช้สีอะไรก็ได้

“ใกล้วันเต็มทีแล้วละ ตกลงเถอะค่ะ” น้ารื่นเริ่มทำเสียงสั่งแม่

แม่แสดงความวิตกต่อไปอีกเล็กน้อย แล้วก็ยอมตามความคิดของน้ารื่น จึงซื้อผ้าตาหมากรุกสีชมภูกับขาวไว้เป็นปริมาณเพียงพอกับความประสงค์ คนขายผ้าดีใจบอกลงราคาให้เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการกุศล รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง น้ารื่นก็เริ่มงาน ไปซื้อถาดกลมพอดีกับความต้องการ และหาที่ทำด้วยไม่ได้ เพราะถาดพลาสติกไม่ทำเป็นรูปกลม หาได้ถาดไม้ซึ่งเขาทำไว้สำหรับขายให้ชาวต่างประเทศใช้ใส่ของแก้มเหล้า เช่นถั่วลิสงและมันทอด พอน้ารื่นทำตัวอย่างมาให้ดูชิ้นหนึ่ง ทุกคนก็เห็นชอบร่วมกันว่าสวยและเหมาะแก่วัตถุประสงค์ แต่จะถูกใจนาคหรือไม่นั้นก็ต้องเสี่ยง น้ารวงบอกว่าให้โรยผงเพ็ชรให้ทอแสงมาก ๆ เมื่อเสร็จงานแล้ว พระท่านก็ชักออกของท่านเอง

“พระท่านไม่เอาออกทำผ้าเช็ดอะไรหรอก” น้าเรืองพยากรณ์ “ท่านจะเก็บไว้ที่หน้าที่บูชา พนันกันก็ได้”

ดิฉันต้องพยายามทำงานของสำนักงานให้เสร็จแต่วัน แล้วก็รีบกลับบ้านมาช่วยน้ารื่นจัดของถวายพระในงานบวชการุณให้เสร็จสมความปรารถนาของลุงกร กฤตเกือบไม่ได้เห็นเลย เพราะกฤตกลับบ้านค่ำ และมีงานมานั่งทำจนดึกเกือบทุกวัน

ดอกบัวของน้ารื่นมองดูน่าชื่นชมพอใช้ทีเดียว ระหว่างที่ทำอยู่ด้วยกันสามคน คือน้ารื่น น้ารวงรัตน์กับดิฉัน เราก็คุยกันสนุกสนาน ดิฉันตั้งข้อสังเกตในใจว่า คนเรานั้นเคยชินกับสิ่งที่ไม่รบกวนประสาทได้ง่าย นึกถึงน้ารื่นน้ำตาไหลรินเมื่อได้ทราบว่าดิฉันจะแต่งงานกับกฤต นึกถึงยงโกรธเคืองและดูหมิ่นน้ารื่นว่ามีฐานะเป็นคนใช้ และสัมพันธภาพระหว่างการุณกับคนในหมู่บ้านของดิฉัน แล้วมาถึงคราวที่การุณจะบวช ดูทุกคนก็เต็มใจจะช่วยงานกันเต็มที่ ดิฉันพูดแก่น้ารวงรัตน์ว่า

“ไปๆแล้ว ดูเหมือนอะไรๆก็ไม่สำคัญเท่าความเคยชิน”

ครั้นถึงกำหนดวันที่จะขนของไปคลองกาญจนา ที่บ้านดิฉันก็ต้องตื่นกันตั้งแต่เวลา ๕ นาฬิกา แม่ได้พึ่งอาเธียรอึกครั้งหนึ่งในข้อที่อาเธียรให้รถคันใหญ่สำหรับคนนั่งด้วย และขนของได้ด้วยมาใช้ ต้องมีคนนั่งดูแลของไปไม่ให้โดนความกระทบกระเทือนมากเกินไป ต้องหากล่องกระดาษมาบรรจุดอกบัวที่ทำด้วยผ้าฝ้ายของน้ารื่น และหากระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ สอดแซงให้แน่น แล้วจึงยกกล่องกระดาษนั้นขึ้นวางที่ท้ายรถ นายหล่อคนที่ร้องโวยวายเรื่องขโมยสวมรองเท้าปีนประตูบ้านเมื่อการุณเข้าบ้านอย่างผิดประเพณี เป็นคนนั่งคุมของในส่วนท้ายของรถยนต์ ซึ่งเป็นรถชนิดที่เรียกว่า รถตรวจราชการ น้ารื่นอุ้มลูกดิฉัน นั่งไปกับดิฉันตอนกลางรถ น้ารวงรัตน์นั่งไปข้างหน้า แม่จะตามไปในตอนสายพร้อมกับน้าโรจน์ น้าเรืองขอตัวไม่ไปด้วย แต่น้าโรจน์ไม่เคยเห็นบ้านคลองกาญจนาจึงถูกน้ารวงรัตน์เคี่ยวเข็นให้ไปเป็นเพื่อน อากรรณรับหน้าที่พาคุณย่าไปให้สะดวกแก่ท่านที่สุดที่จะทำได้

“พอเราแก่แล้วก็คงอยากให้ลูกหลานเอาอกเอาใจมั่งนะ” น้าโรจน์แสดงความเห็นใจคุณย่า “คุณพ่อเราก็ดีไปอย่าง ท่านยังมีเพื่อนของท่าน ถูกนิสัยกันเสียด้วย”

คณะลำเลียงพัสดุของดิฉันไปถึงท่าเรือหน้าที่ทำการอำเภอสามพรานพอดีเวลา เรือของอาเธียรคอยอยู่แล้ว เจ้าของเรือบงการให้คนเรือเอาใจใส่ดูแลคณะของเราให้เรียบร้อย ขนลงเรืออย่างบรรจงแล้ว เรือก็เดินเครื่องยนต์ออกจากท่า ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เข้าคลองจินดาซึ่งเป็นคลองใหญ่ แล้วเรือก็เลี้ยวเข้าคลองกาญจนา ดิฉันบอกให้เรือเข้าทางปากคลองทางบ้านของย่าพัด เพื่อจะสืบจากท่านว่าเราควรขนของไปไว้ที่ไหน พบย่าพัดยังแต่งตัวอย่างอยู่กับบ้าน อาพงศ์กำลังกินอาหารเช้าอยู่ เมื่อเห็นดิฉันนั่งมาในเรือ ก็ร้องเรียกให้ขึ้นไปบนบ้านและชวนให้กินอาหารด้วยกัน

ย่าพัดเห็นของที่เราขนไปก็ออกปากว่า “แหม ต้องไปรบกวนถึงกรุงเทพ ฯ ซื้อมาห่อกันที่นี่ก็ไม่ได้ แต่ก็สวย ไม่มีใครแถวนี้คิดทำได้อย่างนี้หรอกนะ หลาน”

ย่าพัดมักแสดงความเอ็นดูดิฉัน ลูบศีร์ษะลูบหลังทุกครั้งที่ได้พบ และอุ้มลูกของดิฉันชมเชย ย่าพัดชวนเชิญให้น้ารวงรัตน์กับน้ารื่นขึ้นไปบนบ้านก่อน บอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องของ ดิฉันชี้แจงให้ทราบว่าเรือเข้าคลองกาญจนาไม่ได้ เข้าได้แต่เพียงแค่ปากคลองเพราะกินน้ำลึก และจะต้องส่งเรือกลับไปรอรับคุณย่า เพราะเรากลัวท่านจะนั่งในเรือหางยาวไม่ได้ ท่านจะต้องตรงไปที่วัดที่จะมีพิธีบวชเลยทีเดียว

“ของนี้เขาต้องเข้ากระบวนแห่ เขาจะแห่ทางบกทางเรือกันยังไงคะ ย่าพัด”

“ไม่เป็นไรหรอก มาถึงแค่นี้แล้วไม่ต้องวิตก” ย่าพัดว่า “ที่บ้านลุงกรป่านนี้เขาก็คงกำลังทำกับข้าวเลี้ยงพระเพลกัน เมื่อคืนเขาดูหนังดูละครกันอยู่จนดึก ย่าต้องไปนั่งอยู่ด้วยจนละครเกือบเลิก กลัวคนจะเลี้ยงเหล้ากันเมา ย่าบอกให้ไปเลี้ยงกันข้างในที่บ้านพ่อกิจ ย่ารำคาญชาวบ้านเรา จะทำบุญกันทีนึงก็ต้องเอะอะให้นาครวบรวมสติไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำบุญกันทำไม”

น้ารวงรัตน์ถามถึงละคร ย่าพัดบอกว่า มีคนเขามาช่วยจากนครปฐม “เขารำดีเล่นก็ดี เล่นเรื่องสังข์ศิลปไชย เขาเป็นคณะที่เล่นเวลามีงานฉลององค์พระ แล้วพวกสมัยใหม่เขาก็หาลูกทุ่งมา หมอลำก็มี แต่ก็ช่างเถอะ ช่วยกันหลายแรง ลูกพี่กำนันเขาไม่ได้บวช เจ้าคนใหญ่พ่อเจ้าอุ้ยก็เจ็บเสีย เจ้าสงกรานต์ก็ไปหลงเมืองฝรั่ง ได้บวชลูกลุงกร กำนันเขาเลยช่วยเต็มที่”

ดิฉันทำตามคำชักชวนของย่าพัด ให้นายหล่อนั่งคุม แล้วน้ารวงรัตน์กับน้ารื่นขึ้นไปกินอาหารบนเรือน น้ารวงรัตน์สารภาพว่าหิว เพราะการเดินทางมักทำให้อยากกินอาหารมากกว่าปรกติ ย่าพัดเลี้ยงข้าวต้มกับเนื้อเค็มและไข่เจียวกับกระเทียมดอง ดิฉันไม่ลืมนำหนังสือไปฝากอาพงศ์หลายเล่มตามที่เคยทำทุกครั้งที่ไปคลองกาญจนา น้ารวงรัตน์ก็ชวนอาพงศ์คุยเกี่ยวกับข่าวการเมืองระหว่างประเทศที่ได้ฟังจากวิทยุกระจายเสียง อาพงศ์ก็คุยอย่างไม่กระดาก ไม่ไว้เหลี่ยมไว้ภูมิอย่างชาวพระนคร และอธิบายเรื่องการขายองุ่นขายส้มและสินค้าอื่นๆ ให้ฟังอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

“อิจฉาคนอย่างคุณพงศ์จัง” น้ารวงว่า “ดิฉันว่าความสุขนี่มันอยู่ที่เราไม่ต้องการอะไรที่เราไม่อาจหาได้ คุณเกลาพ่อลูกแก้วก็พิการ เดินไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ฉันก็ว่าเป็นคนมีความสุขคนหนึ่ง”

ย่าพัดให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินลัดสวนไปส่งข่าวที่บ้านลุงกร ซึ่งอยู่ใกล้ปากคลองอีกปากหนึ่ง ว่าของสำหรับเข้าขบวนแห่ไปถวายพระอันดับมาถึงแล้ว และบอกว่าใช้เราพักผ่อนให้สบาย “มีเวลาถมไป ของที่จะไปวัดเขาจะเอาลงเรือหางยาวแห่ไปจากบ้านลุงกร เขากะออกจากบ้านลุงกรหลังพระฉันเพล พอขนของลงจากเรือใหญ่หมดแล้ว ก็ให้เรือกลับไปรับคุณย่าของแม่ลูกแก้วได้”

การดำเนินไปตามที่ย่าพัดกำหนดทุกอย่าง เมื่อเรือใหญ่ไปถึงปากคลองกาญจนา พี่สมพรญาติของกฤตที่เคยมารับเมื่อครั้งแรกที่กฤตพาดิฉันไปคลองกาญจนา ก็เป็นคนคุมการลำเลียงของขึ้นไปบนบ้าน น้ารื่นไปคุมการรับวางกล่องของ มีศีร์ษะมาก้มดูของในกล่องพร้อมกันครั้งละไม่น้อยกว่า ๕ ศีร์ษะทุกครั้งและทุกกล่อง และมีอาลำใยเป็นคนมาไล่คนที่เอาศีร์ษะมาก้มดูพร้อม ๆ กัน

“พวกนี้มันป่ามาจากไหน เห็นอะไรต้องมารุม” ศีร์ษะทั้งเล็กทั้งใหญ่ก็กระจายไปจากกันครั้งหนึ่งๆ

แม่กับน้าโรจน์มาทันเวลาพระฉันเพลที่บ้านลุงกร การุณแต่งตัวเป็นนาคแล้ว คือโกนศีรษะเรียบร้อยและนุ่งขาวห่มผ้าสไบเฉียงขาว แต่ยังไม่ได้สวมเสื้อครุย และยังไม่ได้ผลัดผ้านุ่งที่จะนุ่งไปวัด การุณนั่งฟังพระสวดอย่างสำรวม จนถึงเวลาพระฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และพระออกจากบ้านไปหมดแล้ว การุณจึงไปแต่งตัวให้เต็มที่ คือ นุ่งผ้ายกดิ้นทองพื้นขาว สรวมเสื้อผ่าอกขาว กลัดกระดุมเงิน มีลักษณะคล้ายเสื้อเครื่องแบบราชการ แต่ไม่มีคอตั้ง เสื้อครุยทำด้วยผ้าโปร่งอย่างดี ปักดิ้นเงินเกือบทั่วทั้งตัว เครื่องแต่งกายนาคนี้ไม่ได้เช่าและไม่ได้ยืมอย่างที่นาคทั่ว ๆ ไปปฏิบัติ เครื่องนี้ลุงกำนันลงทุนทำขึ้นสำหรับให้ลูกหลานที่จะบวชต่อไป ดิฉันเลยคิดไปถึงกฤต ว่าเมื่อเขาวางจากราชการพอที่จะอุปสมบทเมื่อใด คงจะได้แต่งเครื่องชุดนี้ แล้วคิดต่อไปว่า เขาจะจำพรรษาที่วัดไหน ที่ตำบลนี้จะมีพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่มีความรู้พอที่จะเป็นอาจารย์ให้เขาหรือ ตระกูลกอกรีและฉัพพรรณสิริทั้งสองตระกูล นิยมธรรมยุติกนิกาย ลูกหลานผู้ชายก็บวชธรรมยุตต์กันทุกคน แต่กฤตจะต้องมาบวชที่บ้านเดิมของเขาแน่นอน แล้วลูกของดิฉันต่อไป ก็คงจะต้องรักษาประเพณีของตระกูลมีนา แล้วดิฉันก็ระงับความคิดฟุ้งเฟื่องไว้ แต่ก็ชำเลืองดูกฤตซึ่งเดินทางออกไปพร้อมกับแม่ และนั่งพูดกับอาพงศ์อยู่ที่ระเบียงเรือนอีกด้านหนึ่ง คิดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะออกหรือไม่ และถ้าหัวเราะจะหัวเราะด้วยเรื่องอะไร และถ้าไม่หัวเราะเพราะเหตุใดจึงไม่หัวเราะ ตัวเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ